ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ - ตอนที่ 67 ตีงูก็ต้องตีให้ตาย
เซี่ยเถาที่เห็นซูหนานอียิ้มก็คิดว่านางต้องมองอะไรออกแน่ เป็นไปได้อย่างไร เขาไม่อยากจะเชื่อ แม้แต่ซูซืออวี้ก็เคยผ่านมาก่อนแล้ว ยัยเด็กซูหนานอีนี่จะต้องมองอะไรออกแน่
เขาหันกลับมาแล้วกัดฟันพูดกับซูหว่านเอ้อร์: “หากเจ้ายังก่อเรื่องอีก ทำให้แม่ของเจ้าลำบาก เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเมื่อวานตอนค่ำแม่ของเจ้าพูดกับเจ้าว่าอย่างไร”
ซูหว่านเอ้อร์ที่ตอนนี้โกรธจนเลือดขึ้นหน้า ใครพูดอะไรมาก็ไม่เข้าหู ผลักเขาออก “ท่านโกหก ทุกคนล้วนโกหก! พูดเหมือนจะดี ตอนนี้ท่านแม่ของข้าถูกขับไล่ออกไป ท่านยังจะมาพูดอะไร……”
เซี่ยเถาเห็นนางพูดออกมาก็รู้สึกโกรธจนหน้าซีด รีบจับแขนของนางแล้วลากออกไป : “หุบปาก! หากเจ้ายังพูดเหลวไหลอีกแม้แต่ท่านแม่ของเจ้าก็จะถูกตัวเจ้าเองเป็นคนทำร้ายจนตาย”
นางที่สู้ขัดขืนไม่ให้ถูกลากออกไปจนเกือบจะถึงประตู น้าเซี่ยที่ได้ยินข่าวก็รีบมาทันที นางก็รู้สึกปวดหัว เมื่อคืนพูดปลอบซูหว่านเอ้อร์ดีแล้วนี่ แล้วไยถึงกลับตาลปัตรเป็นแบบนี้ได้ ตอนแรกนางก็ไม่เข้าใจในแผนการที่เซี่ยเถาให้นางออกไปอยู่ข้างนอก แต่พอได้ฟังเขาอธิบาย เขาก็พูดมีเหตุผล อยู่แต่ในเรือนไม่ได้ทำอะไร สู้ยกให้แม่นางแซ่หลิ่วนี่ทำให้ซูหนานอีหันไปสนใจตัวแม่นางแซ่หลิ่วเอง และนางก็ได้ออกไปเดินเล่นบ้าง อีกทั้งยังได้ไปตรวจดูบัญชีของร้านต่างๆ หากำไรเล็กๆ น้อยๆเข้ากระเป๋าตัวเอง
เดิมทีนั้นกำลังเก็บของจะเสร็จแล้ว คิดไม่ถึงว่าซูหว่านเอ่อร์จะก่อเรื่องขึ้นอีก นางเกรงว่าซูหว่านเอ้อร์จะโกรธจนเผลอพูดความจริงออกมาจึงได้รีบมา
ซูหว่านเอ้อร์เห็นนางก็ร้องไห้ฮือๆ เซี่ยเถาส่งสายตาให้เซี่ยชื่อ เซี่ยชื่อเลยฉุดซูหว่านเอ้อร์ออกไป
เสียงของซูหนานอีดังลอยมา: “น้องรองอย่างร้องไปเลย เมื่อสักครู่ท่านพ่อรับปากแล้วว่า จะไม่ให้น้าเซี่ย ออกไปจากจวน”
ทั้งสามถึงกับหยุดเดิน แล้วหันกลับมาด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน
เซี่ยชื่อที่ทำหน้าสงสัย เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดได้แต่ฝืนยิ้มแล้ว : “ท่านพี่……ไม่ลงโทษข้าแล้วหรือ”
ซูซืออวี้ที่โกรธโมโหซูหว่านเอ้อร์จนหอบแล้ว เดิมทีนั้นไม่อยากจะปล่อยสองแม่ลูกนี้ไป แต่ก็นึกถึงคำพูดของนักพรตจิน อย่างไรก็ตามก็ได้รับปากซูหนานอีไว้แล้วว่าให้นางเป็นคนไปตรวจบัญชีที่ร้าน ตอนนี้ก็จะกลับคำไม่ได้
เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างแรง: “ต้องลงโทษอยู่แล้ว! พวกเจ้าต้องถูกกักบริเวณอยู่แต่ในเรือนห้ามออกจากเรือนแม้แต่ก้าวเดียว”
“ใครก็ได้มานี่!” เขาเรียกบ่าวรับใช้ข้างนอก บ่าวรับใช้ก็ส่งเสียงตอบแล้วยืนที่หน้าประตู “หาคนไปเฝ้าที่เรือนของพวกนาง ไม่มีคำสั่งจากข้าใครก็ไม่มีสิทธิ์ปล่อยพวกนางออกมา อาหารก็ลดเหลือครึ่งเดียว!”
“ขอรับ”
เซี่ยชื่อถึงกับหน้าถอดสี นี่มันเป็นการลงโทษจริงๆ ห้ามออกจากเรือน อาหารอาภรณ์ก็ลดเหลือครึ่ง แล้วจะมีชีวิตต่อได้เยี่ยงไร
ซูหว่านเอ้อร์ก็ตกใจอึ้ง ปากสั่นพูดไม่ออก
เซี่ยเถาก้าวขึ้นมาด้วยท่าทีร้อนรน: “น้องเขย นี่มัน……”
ซูซืออวี้โบกมือไปมา: “ให้นางไปร้านค้าก็ไม่ค่อยจะเหมาะเท่าไหร่ ให้นางกักบริเวณอยู่ในจวนดีแล้ว ในเมื่อตัดสินใจแล้วไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรอีก”
เซี่ยเถามองไปทางแม่นางแซ่หลิ่ว แม่นางแซ่หลิ่วก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ว่าช่วยไม่ได้
ท่าทางของพวกเขาอยู่ในสายตาของซูหนานอีตลอด ยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าสิ่งที่นางคาดเดาไว้แม่นนัก
เซี่ยชื่อยังไม่ทันได้ตั้งสติซูหนานอีก็พูดกับซูซืออวี้: “ท่านพ่อ ในเมื่อท่านกักบริเวณน้าเซี่ย เรื่องภายในจวนก็ยากที่จัดจัดการ คนที่จะมาคอยจัดการเรื่องในจวนควรจะแต่งตั้งใหม่ใช่หรือไม่”
“เจ้า……” เซี่ยชื่อมีสติกลัวมาทันทีแต่กลับโต้แย้งอะไรไม่ได้
ซูซืออวี้ครุ่นคิด ถึงอย่างไรสิทธิ์ในการดูแลจัดการเรื่องในจวนที่เซี่ยชื่อรับผิดชอบก็ต้องส่งต่อให้คนอื่น ถ้าอย่างนั้นสู้ถือโอกาสนี้เสนอกับซูหนานอี
เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง : “ใช่แล้ว หนานอีพูดถูก”
เซี่ยชื่อเจ็บใจราวกับถูกมีดเฉือน แต่ซูหนานอีกลับยังไม่รามือ “น้าเซี่ย กุญแจห้องทั้งหมดเอาออกมาเถอะ พอดีข้าอยากจะตรวจดูสินสอดที่จวนอ๋องส่งมอบมาให้ก่อนหน้านี้สักหน่อย”
“มีสิทธิ์อะไรอย่างนั้นหรือ” ซูหนานอีทำหน้าแปลกใจ “น้องรองเจ้านี่ก็ถามแปลกจังเลย เจ้าถามว่ามีสิทธิ์อะไรอย่างนั้นหรือ ข้ากำลังจะอภิเษกกับท่านอ๋องเป่ยลี้อยู่แล้ว สินสอดก็ต้องเอามานับดูหน่อยสิ ว่าตรงกับรายการหรือไม่ เมื่อสักครู่ท่านพ่อก็บอกแล้วว่ารอให้งานแต่งของข้าเสร็จแล้ว ถึงจะยกเลิกกักบริเวณน้าเซี่ย หรือว่าเมื่อถึงตอนนั้นให้ข้าที่กำลังจะแต่งงานเข้าไปหานางในเรือนที่กักบริเวณเยี่ยงนั้นหรือ”
ซูซืออวี้พยักหน้า “หนานอีพูดก็มีเหตุผล ข้าเกือบลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้วเชียว ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็เอาออกมาให้หนานอีดูสักหน่อยเถอะ”
เซี่ยชื่อตะโกนขึ้นอย่างร้อนตัว: “ท่านพี่ เกรงว่าจะไม่เหมาะกระมัง”
“ไม่เหมาะอย่างไร” ซูซืออวี้ย้อนถาม
แต่เซี่ยเชื่อพูดตะกุกตะกักอยู่นานคิดหาเหตุผลไม่ได้ เซี่ยเถาเลยเดินเข้ามาเตรียมจะพูด ซูหนานอีก็พูดแทรกขึ้นเสียก่อน “นี่เป็นเรื่องภายในตระกูลซู และเกี่ยวกับเรื่องงานแต่งของข้า คนอื่นที่เป็นคนนอกอยู่เงียบๆ จะดีกว่ามั้ย”
เซี่ยเถาถึงกับสะอึกสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
“ซูหว่านเอ้อร์ตะโกน: “ไม่ได้ ของพวกนั้นล้วนให้ข้า! เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะเอาไป”
นั่นเป็นของที่ส่งมาจากจวนอ๋อง เงินทองเครื่องประดับไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ของหายาก นึกถึงตอนแรกซูหว่านเอ้อร์ก็โอ้อวดไปทั่ว ไม่รู้ว่ามีคุณหนูที่เป็นลูกขุนนาง คนไหนบ้างที่รู้สึกอิจฉานาง อีกทั้งครั้งที่แล้วที่นางไปไหว้พระยังสวมหยกสีแดง ก็เป็นสินสอดเหมือนกัน ตอนนี้ให้นางเอาออกมา ก็ไม่เท่ากับว่าขุดหลุมฝังตัวเองหรอกหรือ
ซูหนานอีระเบิดหัวเราะออกมา: “ให้เจ้าอย่างนั้นหรือ ซูหว่านเอ้อร์ หรือว่าเจ้าตกใจจนเอ๋อไปแล้ว นั่นเป็นสินสอดยกให้กับตระกูลซู ทำไม เจ้าไม่อยากแต่ง แต่จะเก็บของไว้อย่างนั้นหรือ อย่าฝันไปหน่อยเลย”
ซูหว่านเอ้อร์โกรธโมโหจนลำคอเป็นสันนูน กำมือแน่น : “ซูหนานอี เจ้าบอกมาตลอดไม่ใช่หรือว่าจวนเป่ยลี้ให้ความสำคัญกับเจ้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ควรที่จะส่งสินสอดมาอีกชุดสิ ไม่ใช่มาใช้ของที่เหลือใช้พวกนั้น อีกอย่างงหากเจ้าจะไปเอาเอง นี่ควรเป็นสิ่งที่คุณหนูควรกระทำหรือไม่”
ซูหนานอีหรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มกระหยิ่ม “ของเหลือใช้อย่างนั้นหรือ เจ้าใช้ของที่เป็นสินสอดแล้วอย่างนั้นหรือ”
ซูหว่านเอ้อร์คิดไม่ถึงว่านางจะจับใจความประโยคนี้ ก็ถึงกับพูดตะกุกตะกัก
ซูหนานอีหันมาหาซูซืออวี้แล้วคารวะ: “ท่านพ่อ โชคดีที่ลูกอยากจะนำสินสอดออกมาดูตอนนี้หากเกิดพบว่ารายการไม่ตรงกับจำนวนก่อนวันงาน เมื่อถึงตอนนั้นจะทำเยี่ยงไร”
“เรื่องนี้ลูกไม่ยุ่งแล้ว ท่านส่งคนไปตรวจดูเถอะ ป้องกันว่าถึงเวลานั้นเกินหรือขาด ลูกจะพูดก็พูดก็พูดไม่ได้”
ซูซืออวี้ก็โกรธขึ้นมาอีก เขาเขวี้ยงถ้วนชาที่อยู่บนโต๊ะไปทางซูหว่านเอ้อร์ และถ้วยชาก็ร่วงตกลงพื้นแตกกระจายดัง “เคร้ง” ใกล้กับเท้าของนาง “สามหาว! ของพวกนั้นเจ้าใช้แล้วอย่างนั้นหรือ เจ้าเอาไปใช้เท่าไหร่ก็ต้องเอากลับมาคืนเท่านั้น ตอนนี้! เดี๋ยวนี้!”
ซูหว่านเอ่อร์ที่ตอนนี้ทั้งอายทั้งโมโหทั้งหวาดกลัว ร้องไห้กระทืบเท้า: “ก็แค่ของห่วยๆ มีอะไรดีเชียว ต้องถึงขนาดนี้เลยหรือ!”
“ของห่วยๆ อย่างนั้นหรือ” ซูหนานอีสีหน้าตกใจอึ้ง “เจ้ากล้าบอกว่าสินสอดของจนอ๋องเป็นของห่วยๆ อย่างนั้นหรือ”
ซูซืออวี้ทั้งตกใจทั้งโกรธมากขึ้นกว่าเดิม โกรธจนแทบจะบ้าคลั่ง ชี้นิ้วไปทางซูหว่านเอ้อร์: “สามหาว เจ้ามาสามหาวจริงๆ !”
เซี่ยชื่อรีบไปฉุดซูหว่านเอ้อร์ไว้ไม่ให้นางพูดต่อ
และเวลานี้เองก็มีบ่าวรับใช้เข้ามา พอเห็นเหตุการณ์ก็ตกใจ
ซูซืออวี้พูดด้วยนำเสียงโกรธ “เจ้าทะเล่อทะล่าเข้ามาทำไม รู้จักมารยาทหรือไม่”
บ่าวรับใช้รีบคุกเข่าลง: “ตอบนายท่าน มีคนมาจากจวนอ๋องขอรับ”
“เจ้าว่าอะไรนะ” น้ำเสียงของซูซืออวี้ถึงกับเปลี่ยนทันที หันไปหาซูหนานอี ซูหนานอีก็ไม่รู้เรื่อง
หยุนจิ่งยังอยู่ที่เรือนของนางนี่ แล้วใครอีกล่ะ
ซูซืออวี้รีบจัดระเบียบชุดตัวเอง “รีบเร็ว รีบไปเปิดประตู ต้อนรับ!”
เขาเดินไปไม่กี่เก้าก็หันกลับมาหาสองแม่ลูกเซี่ยชื่อกับซูหว่านเอ้อร์: “ยังไม่รีบไสหัวกลับไปที่เรือนอีก และรีบเอาของคืนมาด้วย รอให้ข้อจัดการเรื่องเสร็จแล้วข้าจะมาคิดบัญชีกับพวกเจ้า!”
เซี่ยชื่ออ้าปากกำลังจะพูด ซูซืออวี้ไม่สนใจแม้แต่น้อยเดินออกไปอย่างรวดเร็วไม่เห็นแม้แต่เงา
ซูหว่านเอ้อร์จ้องไปที่ซูหนานอี “ซูหนานอี! เจ้ามันผู้หญิงร้ายกาจ ล้วนเป็นเพราะเจ้า!”
ซูหนานอีคร้านที่จะสนใจนาง: “ด่า ตะโกนด่าเลย ทางที่ดีให้คนของจวนอ๋องได้ยินด้วยยิ่งดี”
“เจ้า……”
เซี่ยชื่อรีบฉุดนางไว้ : “พอแล้วๆ อย่าพูดอีกเลย!”
แม่บ้านรีบเดินเข้ามาเร่ง: “แม่นางเซี่ย คุณหนูรอง เชิญพวกท่านกลับไปเตรียมตัวที่เรือนเถอะ!”
เซี่ยชื่อหมดความอดทน ตอนนี้ทำได้เพียงแค่กลับเรือนไปก่อนค่อยคิดหาวิธี นางลากจูงซูหว่านเอ้อร์ออกจากเรือนไป ด้านนอกก็พบกับกลุ่มคนเดินไปทางห้องด้านหน้า