ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ - ตอนที่ 36 นิ่งดูดายรอดูความพินาศ
โจวเฉิงเดินออกมาจากห้องของแม่นางจิ่นอย่างอารมณ์ดี เดินมาถึงทางเลี้ยวก็เจอเข้ากับเงาสีขาว
เขาที่อยากจะร้อง เพียงได้กลิ่นมาแตะจมูกเหมือนมีคนเอาอะไรมาอุดปากไว้ ไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้
สิ่งทำให้เขาตกใจมากกว่านั้นก็คือสติของเขาเริ่มที่จะเลือนราง และสติครั้งสุดท้ายก็จำได้เพียงแววตาที่แสนเย็นชาและเอาเรื่อง
ทางเลี้ยวมีประตูเล็ก ๆ หลังจากที่เปิดประตูเข้าไปเป็นห้องเก็บของ
ซูหนานอีนำตัวโจวเฉิงมาไว้ที่ห้องนี้ก่อน จากนั้นก็ไปเคาะประตูห้องแม่นางจิ่น
แม่นางจิ่นพึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ กำลังเตรียมที่จะแต่งหน้าเพื่อไปพบกับหยุนจิ่ง ได้ยินเสียงคนมาเคาะประตู
"เข้ามา"
น้ำเสียงแม่นางจิ่นอ่อนหวาน ทำให้คนที่ได้ยินต้องใจอ่อนระทวย แต่สำหรับซูหนานอีนั้นกลับมาเพียงความเย็นชาเท่านั้น
นางผลักประตูเข้าไป ไม่กล่าวอะไรก็เดินไปด้านหลังของนาง แม่นางจิ่นที่นั่งแต่งหน้าที่หน้ากระจกเห็นคนเขาแล้วไม่เอ่ยอะไรก็รู้สึกแปลกใจทันใดนั้นก็เห็นเงาตะคุ่มสีเขาในกระจกจากนั้นก็สลบไป
ซูหนานอีหยิบผ้าที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา แล้ววางไว้ที่ฝ่ามือของตนจากนั้นก็พลิกหน้าของแม่นางจิ่นขึ้น อาศัยแสงสว่างจากโคมไฟเพื่อพินิจหน้าตาของนาง
ผิวขาวผุดผ่อง คิ้วโก่งโค้งริมฝีปากแดงระเรื่อ มีคางเรียวถือว่าสวยงามทีเดียว
จากนั้นซูหนานอีก็หยิบขวดเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ ข้างในมีเม็ดยาอยู่ เทออกมาเป็นก้อนสีเหลืองอ่อนจากนั้นใช้ปลายนิ้วบีบสักหน่อยก็ได้กลิ่นหอมกระจายไปทั่วหน้าของแม่นางจิ่น
ซูหนานอีถึงได้ถอนตัวไปที่ประตู เปิดประตูตรวจดูสองฝั่งทาง ขณะนี้ผู้คนส่วนใหญ่จะอยู่บนพื้นเรือ คนที่อยู่ในห้องก็กำลังยุ่งเรื่องของตัวเอง ทางเดินถึงได้เงียบสงบ
นางลากแม่นางจิ่งกับโจวเฉิงมาไว้ที่ข้างบันไดทางเลี้ยว ได้ยินเสียงคนเดินมา เลยยกพวกเข้าขึ้นแล้วผลักลงน้ำไป
"ป๋อม" เสียงสิ่งของร่วงลงน้ำ ซูหน้าอีบีบคอเปลี่ยนเสียงแล้วร้องตะโกน "โอ้พระเจ้า! ช่วยด้วย ช่วยด้วย คุณชายโจวกับแม่นางจิ่นฆ่าตัวตายสังเวยรักแล้ว"
คนที่อยู่บนเรือไม่น้อยตต่างวิ่งมาจากทุกทิศทุกทาง เรือบุปผายังลอยไม่ถึงจุดที่มีน้ำลึก ห่างจากฝั่งก็ไม่ไกลเท่าไหร่ ไม่ต้องกลัวเลยว่าพวกเขาจะจมน้ำตาย แต่จะต้องลำบากอย่างแน่นอน
หลังจากร้องตะโกนเสร็จ ซูหนานอีก็ฉีกผ้าปิดหน้าออกอย่างใจเย็น แล้วใช้พัดขวางทางเด็กสาวที่กำลังจะเดินผ่านนาง แล้วรับจานจากนางมา
พอซูหนานอีนำจากขนมมาให้หยุนจิ่ง เขาที่นั่งรออยู่ด้วยท่าทีร้อนรน มีคนกระโดดลงไปช่วยโจวเฉิงกับแม่นางจิ่งแล้ว
"เหนียงจื่อ" หยุนจิ่งเรียกเบาๆ พร้อมทั้งกุมมือนางไว้ "เจ้ากลับมาแล้ว ข้าเป็นห่วงเจ้าจะตายอยู่แล้ว ทางโน้นมีคนตกน้ำด้วย"
"อืม" ซูหนานอีหยิบขนมขึ้นมาแล้วป้อนเข้าปากเขา "เหมือนได้ยินว่าโจวเฉิงกับแม่นางจิ่นจบชีวิตสังเวยรักด้วยกัน"
"อะไรคือ……จบชีวิตสังเวยรัก" หยุนจิ่งถามอย่างสงสัย
ซูหนานอีจูงเขาไปหากลุ่มคน ตั้งใจเปลี่ยนเสียงแล้วพูดขึ้นว่า "ได้ยินว่าแม่นางจิ่นอยากเป็นเหนียงจื่อของคุณชายโจวเฉิง แต่ครอบครัวของคุณชายโจวเฉิงไม่ยินยอม ดังนั้น พวกเขาเลยตัดสินใจจบชีวิตด้วยกัน"
ซูหนานอีนั่งนิ่งหน้าเรียบเฉย ทุกคนโดยรอบก็ได้ยินอย่างชัดเจน ทันใดนั้นหยุนจิ่งก็เบิกตากว้าง "ทำไมคนตระกูลโจวถึงไม่ยินยอมล่ะ"
"เพราะว่าแม่นางจิ่นมีชาติกำเนิดฐานะต่ำต้อย" ซูหนานอีถอนหายใจ "เฮ่อ ช่วยไม่ได้ คุณชายโจวเป็นถึงบุตรชายของท่านเสนาบดีโจวช่างชู พวกเขาจะให้เขาแต่งผู้หญิงอย่างนี้เข้าบ้านได้อย่างไร"
ผู้คนที่อยู่โดยรอบที่ได้ยินการปลอมเสียงของซูหนานอี ตอนนี้ยังได้ยินคำพูดอย่างนี้อีกก็รู้สึกว่าทั้งสองนั้นจบชีวิตสังเวยรักด้วยกันจริงๆ
เวลานี้ทั้งสองได้ถูกช่วยขึ้นเรือลำเล็กแล้ว ทั้งสองล้วนเปียกปอน ถึงแม้ว่าอากาศจะร้อน แต่ในน้ำก็ค่อนข้างเย็น ถูกโยนลงน้ำกะทันหันก็อดที่จะหนาวจนตัวสั่นเทาไม่ได้
เรือลำเล็กที่อยู่ข้างล่างนอกจากจะเป็นของเรือบุปผาแล้วยังมีเรือประมงที่อยู่แถวนั้นด้วย นอกจากจะมาหาปลาแล้วยังมีการทำค้าขายด้วย โดยรอบของเรือบุปผาต่างก็มีร้านเครื่องประทินโฉมต่างๆ ที่ขายดิบขายดี
ก่อนหน้านี้ได้ยินว่ามีคนจมน้ำ ต่างรุมเข้ามาราวกับฝูงผึ้ง หัวข้อสนทนาเกี่ยวกับการจบชีวิตสังเวยรักก็ได้กระจายไปทั่วแล้ว
ซูหนานอีจูงหยุนจิ่งลงเรือ "ไป พวกเราไปกันเถอะ"
"ไปไหน" หยุนจิ่งที่ทั้งเดินทั้งเอ่ยถาม
"ไปดูอะไรสนุกๆ ไง"
ลูกน้องที่ติดตามโจวเฉิงมาก็แยกย้ายไปหมดแล้ว พวกเขาคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น เดิมทีแล้วโจวเฉิงขึ้นเรือบุปผาไปนานทีเดียวกว่าจะลงมา
พอทุกคนขึ้นเรือไปแล้ว ซูหนานอีก็แฝงตัวอยู่ในฝูงชนพร้อมบีบเสียงตระโกน "คุณชายโจวของเราถูกช่วยให้ขึ้นเรือมาได้แล้ว รีบไปเอารางวัลจากจวนของท่านซ่างชูสิ!"
โจวเฉิงร้อนรนถึงกับควานหาถุงเงิน แต่หายังไงก็หาถุงเงินไม่เจอ
มีบางคนหัวคิดไวรีบวิ่งไปที่จวนช่างชู พอถึงก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง คนที่อยู่หน้าประตูก็เคยขึ้นไปเที่ยวที่เรือบุปผา พอได้ยินกระโดดน้ำสังเวยรัก ก็ไม่กล้าที่จะเสียเวลารีบเข้าไปรายงานทันที
ฮูหยินโจวที่กำลังฟังเพลงอยู่ พอได้ยินข่าวก็เกือบเป็นลม รีบให้บุตรชายคนโตรีบไปดู
คุณชายใหญ่พาคนใช้ไปถึงฝั่ง มองเห็นโจวเฉิงที่เปียกโชกไปทั้งตัวก็ตกใจ
พอโจวเฉิงเห็นเขา ก็รีบร้องเรียก: "พี่ใหญ่"
คุณชายใหญ่แห่งตระกูลโจวจ้องไปทางเข้าแล้วเอ่ยสั่ง "ไป กลับจวน"
ในกลุ่มคนนั้นก็มีคนที่ใจกล้าเอ่ยขึ้น "คุณชายใหญ่ให้รางวัลพวกเราด้วย!"
คุณชายใหญ่ได้แต่ฝืนยิ้มไปรอบๆ จากนั้นให้คนใช้นำเงินสิบกว่าตำลึงมาให้ "ขอบคุณทุกท่านมากที่ช่วยเหลือ น้องชายข้าไม่ระวังพลัดตกน้ำ โชคดีที่ทุกท่านยื่นมือเข้าช่วยเหลือไว้ทัน"
ซูหนานอีที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนก็มองอยู่ ยกยิ้มมุมปาก "ยังมีแม่นางจิ่นอีกคน! แม่นางพร้อมใจจบชีวิตสังเวยรักพร้อมกับคุณชายโจว หรือว่าจะทิ้งไว้อย่างนี้หรือ"
"ใช่ๆ คุณชายใหญ่ พวกท่านไม่สนใจแม่นางจิ่นแล้วหรือ" คนที่อยู่โดยรอบต่างก็พูดขึ้นเสริม ทำให้เกิดเสียงเอะอะโวยวายขึ้น
แม่นางจิ่งที่พึ่งฟื้นได้ไม่นาน นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปกระโดดน้ำสังเวยรักได้ยังไง ทว่าพอไตร่ตรองอีกทีก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ได้เป็นถึงศรีภรรยา นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางเฝ้าปรารถนามาตลอดหรอกหรือ พอคิดได้อย่างนี้ นางก็ปิดไม่ปากไม่พูดไม่จา
โจวเฉิงที่ไม่ได้มีความคิดอย่างนี้เลยรีบเอ่ยปฏิเสธ แต่เหตุการณ์อย่างนี้ยิ่งปฏิเสธก็เหมือนเป็นคนใจร้าย
โจวช่างชูนั้นให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมาตลอด สร้างผลงานจนได้เป็น "ขุนนางดีเด่น" คุณชายใหญ่ที่มองดูคนโดยรอบประท้วงเสียงดังขึ้นกว่าเดิม จึงทำได้เพียงพาแม่นางจิ่นกลับจวนไปด้วย
ซูหนานอีกับหยุนจิ่งไม่ได้ขึ้นรถม้า แต่กลับเดินตามกลุ่มคนไปที่จวนโจว
หน้าประตูประดับด้วยโคมไฟที่ส่องแสงสว่างเปล่งประกายสะท้อนไปยังตัวอักษร
แววตาของซูหนานอีเรียบนิ่ง ตระกูลโจวมีชื่อเสียงสูงนักหรือ งั้นข้าก็จะให้พวกเจ้าได้ลองลิ้มรสของการถูกทำลายชื่อเสียงหน่อย!
แววตาของนางที่เย็นเยือกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นก็มองเห็นรถม้าออกมาจากตรอกซอยหลังจวนตระกูลโจว รถม้าธรรมดาๆ กุมม้ายังห่อด้วยผ้า ทำให้มีเสียงเบา เสียงวิ่งของม้านี้เบาจนไม่มีใครได้ยินเสียง
เป้าหมายมาถึงที่หมาย ซูหนานก็หันไปพูดกับหยุนจิ่ง: "ไปกันเถอะ"
หยุนจิ่งก็เดินตามนางไป ก้มมองมือที่นางจูงมือเข้าไว้ ในใจก็รู้สึกดีไม่น้อย ถูกเหนียงจื่อเดินกุมมือรู้สึกดีมาก จะพาเขาไปที่ไหนเขาก็ยอม! ซูหนานอีไม่ทันสังเกตถึงความรู้สึกเล็กน้อยของเขา ก็จูงมือเขาขึ้นรถม้าไป
รถม้านั้นวิ่งไปไม่ได้เร็วอะไร และเสียงวิ่งยังเบาอีก วิ่งลัดเลาะตามถนนจนมาถึงหน้าประตูก็หยุดนิ่ง มีคนเดินลงมาจากรถม้า
ซูหนานอีมองเห็นเพียงด้านข้าง ก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
เป็นเขาหรือ