ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ - ตอนที่ 33 ขับไล่วิญญาณชั่วร้าย
ซูหนานอีคิ้วขมวดเล็กน้อย ซูหว่านเอ้อร์พูดนั้นไม่มีข้อไหนถูกเลยยกเว้นประโยคสุดท้าย
นางก็เปลี่ยนเป็นคนละคน
ซูหนานอีหัวเราะออกมาเบาๆจากนั้นก็เริ่มดังขึ้น จนทำให้รู้สึกขนลุกน่ากลัว คนอื่นล้วนอึ้งกันหมด
"ข้าไม่เปลี่ยน หรือจะให้ข้ายอมให้พวกเจ้าสองแม่ลูกรังแกอย่างนั้นหรอ ข้าไม่เปลี่ยน หรือจะให้ข้ายอมให้พวกเจ้าใส่ร้ายอย่างนั้นหรือ ถูกกดขี่ ถูกสาดโคลนสกปรก ทำให้พวกเจ้าตกต่ำอย่างนั้นหรือ อ้อใช่ ข้าเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าข้าไม่เปลี่ยนไปข้าก็คงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้หรอก!"
ซุหนานอีจ้องตาไม่กระพริบพูดออกมาทีละคำดุจมุกน้ำแข็ง "ที่ไหนของข้าทำให้พวกเจ้ารับไม่ได้ ซูหว่านเอ้อร์ เจ้าอย่าลืมนะว่าคนที่ล่วงเกินเทพเจ้าคือเจ้า!"
ซูหว่านเอ้อร์นั้นตกใจกับท่าทีของนางตอนนี้มากถึงกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว
คิ้วซูชืออวี้ขมวดขึ้นกว่าเดิม และสีหน้าเริ่มเคร่งเครียด
น้าเซี่ยลอบมองสีหน้าของเขา พบว่าเขาเริ่มหวั่นไหวท่าจะไม่ดีแล้ว เลยรีบส่งสายตาให้นักพรตจิน
นักพรตจินสะบัดพู่แล้วเอ่ย: "ประเสริฐ ประเสริฐ นายท่านซู เปิ่นเต้านั้นพูดตามสัจจริง ครั้งนี้ที่มาไม่ได้เพราะเบี้ยหรือรางวัล แต่มาเพราะว่ากำจัดสิ่งชั่วร้าย ช่วยชีวิตคนดีกว่าสร้างพระเจ็ดชั้น ได้ช่วยจวนซูกำจัดสิ่งชั่วร้าย เปิ่นเต้าก็ยอม"
น้าเซี่ยก็เอ่ยขึ้น: "ใช่แล้ว นายท่าน ตอนนี้หนานอีนั้นมีสำคัญมาก แต่พวกเราก็ต้องระมัดระวังด้วย ถ้าให้ตำหนักอ๋องเป่ยหลี้ทราบเรื่องที่จวนเรามีสิ่งชั่วร้าย เมื่อถึงตอนนั้น……เกรงว่าจะไม่ดีแน่"
ซูซืออวี้ได้ฟังก็ถึงกับกระตุก ใช่แล้ว ครั้งก่อนได้ล่วงเกินผิดต่อไท่เฟยแล้วครั้งนึง พระเจ้าคุ้มครองถึงได้ให้ซูหนานอีออกหน้ารับหน้าแทน ทำให้ตระกูลซูไม่ได้รับโทษ แต่ถ้าหากต้องทำผิดอีกครั้ง คงจะปกป้องตระกูลซูเอาไว้ไม่ได้แน่!"
พอคิดมาถึงตอนนี้ ก็เอ่ยกับนักพรตจิน: "ได้ ท่านนักพรต ท่านรีบทำพิธีเถอะ รีบกำจัดสิ่งชั่วร้ายออกไป!"
นักพรตจินก็พยักหน้าท่าทีเคร่งเครียดหยิบกับจานเข็มทิศออกมา "ข้าจะเริ่มหาก่อน ทุกท่านดูจานเข็มทิศของข้าหรือยัง เข็มชี้ไปที่ใคร ใครคนนั้นก็คือถูกสิ่งชั่วร้ายสิงร่างอยู่!"
เมื่อเขาพูดอย่างนี้ทุกคนอย่างก็ยืนนิ่งแม้แต่แสงสว่างของอาทิตย์ก็แปลเปลี่ยนเป็นมืดลง
ซูหนานอีสีหน้าไม่เปลี่ยน ยืนอยู่บันไดมองคนพวกนั้นด้วยสายตาเย็นเยือก
นักพรตจินได้ค่อยๆ เดินมาทางนาง สีหน้าเริ่มเคร่งขรึมขึ้น คนอื่นก็ถึงกับกลั้นลมหายใจ
ท้ายที่สุดนักพรตจินก็ได้มาถึงใต้บันได เขาเงยหน้าขึ้นแล้วยกแขนที่มีจานเข็มทิศขึ้นแขนเสื้อที่ใหญ่ทำให้บดบังสายตาของทุกคนที่อยู่ด้านหลังได้
ซูหนานอีกลั้นขำ กดเสียงให้เบาที่สุดเพื่อให้ได้เพียงนักพรตจินได้ยินคนเดียว
นักพรตจินได้ยินแววตาก็ถึงกับนิ่งงัน สีหน้าซีดริมฝีปากสั่นเทา
ซูหนนอียิ้มกว้างออกมา แต่ก็ไม่ได้เป็นจุดสนใจแววตาเย็นเยือกเหมือนกับคนถูกผีสิง
นักพรตจินใจเต้นตึกตัก สัมผัสได้อย่างนั้นก็ถึงกับก้าวถอยหลัง ซูหนานอียื่นมือออกไปจับเข้าที่แขนเสื้อของเขาไว้ "ท่านนักพรตจิน ระวังหน่อย ระวังจะล้มเอาได้"
นักพรตจินหายใจแรง น้ำเสียงเบาหวิว "เจ้า……"
"เจ้าต้องตรวจหาดีๆ ดูให้ละเอียด ห้ามดูผิดเด็ดขาด" ซูหนานอีพูดด้วยน้ำเสียงเบาและราวกับคมมีดที่แทงเข้าหัวใจของนักพรตจิน
นักพรตจินถึงกับสะอึกแววตาลึกลัก มือที่ถือจากเข็มทิศก็เปลี่ยนทิศทาง
เดิมทีเซี่ยชื่อกับซูหว่านเอ้อร์นั้นเห็นเขาเดินไปข้างหน้าซูหนานอีก็ร้องออกมาได้ความดีใจ เพียงนักพรตจินพูดออกมาซูหนานอีก็จะมีสิ่งชั่วร้ายสิงร่างอยู่ อย่าว่าแต่เรื่องงานแต่งงานที่จะถูกยกเลิกไป เกรงว่าแม้แต่จวนของนางก็จะถูกปิดตายไปด้วย!
แต่พิธียังไม่นาน นักพรตจินก็เปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง เกิดอะไรขึ้น
นักพรตจินหันมาทางพวกเขาที่ยืนอยู่ไม่กี่คน ก้าวมาทีละเก้า ทีละเก้าด้วยฝีเท้ามั่นคง
ซูซืออวี้หน้านิ่วคิ้วขมวด มองดูเข็มทิศที่อยู่ในมือเขา ตาก็กระตุก
ทันในนั้น นักพรตจินก็หยุดฝีเท้า จานเข็มทิศของเขาก็หมุนเร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ค่อยๆ ช้าลง ทุกคนต่างก็ใจเต้นราวกับถูกเข็มนั้นปักลงมา
นักพรตจินก็ได้เดินก้าวเข้ามาอีกก้าว สายตาของทุกคนล้วนจดจ้องอยู่ที่จานเข็มทิศ ที่ค่อยๆ หมุนช้าลง สุดท้ายก็หยุดลง
ปลายเข็มทิศชี้ไปทาง……ซูหว่านเอ้อร์
ซูหว่านเอ้อร์ถึงกับเบิกตากว้าง อย่างไม่อยากจะเชื่อ มือทั้งสองข้างกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ในหัวมีแต่ความมึนงงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
"นี่……" เซี่ยชื่อก็รู้สึกบาดตา "จะเป็นไปได้ยังไง ท่านนักพรต ท่านทำอะไรผิดไปรึเปล่า!"
นักพรตจินมีสีหน้าจริงจัง คิ้วทั้งสองข้างยกขึ้น "เป็นไปได้ยังไงงั้นหรือ ผินเต้าไม่ทำอะไรผิดพลาดแน่!"
พอเขาพูดจบ ก็หยิบเอากระบี่ไม้ออกมา ปลายกระบี่ชี้ไปทางซูหว่านเอ้อร์ "เจ้าสัตว์ร้าย! ยังไม่ออกไปอีก!"
ซูหว่านเอ้อร์ยิ่งเบิกตากว้างกว่าเดิม เหงื่อไหลซึมออกมาตามขมับ ใกล้จะร้องไห้ออกมาแล้ว
นักพรตจินยังไม่ทันพูดจบ ก็แกว่งกระบี่ไปมา ปลายกระบี่ทิ่มกระดาษยันต์ไปหลายแผ่น จากนั้นก็เกิดไฟลุกขึ้นมา กระดาษยันต์ก็กลายเป็นขี้เถ้า
ซูหว่านเอ้อร์ที่ตอนนี้รับไม่ได้ สองมือกุมหน้าร้องกรี๊ดออกมาแล้วก็เป็นลมล้มไป
เซี่ยชื่อก็รีบเข้าไปพยุงนาง "หว่านเอ้อร์ หว่านเอ้อร์!"
ซูซืออวี้หน้าซีด แต่ก็ไม่ได้เข้าไปพยุงซูหว่านเอ้อร์ แต่กับหันไปพูดกับนักพรตจิน: "ท่านนักพรต นี่……นี่มันเรื่องอะไรกันแน่"
"สิ่งชั่วร้ายอยู่ในร่างของคุณหนูรอง……" นักพรตจินกัดฟันพูด รู้สึกเหมือนกับสายตาของซูหนานอีจ้องเขาอยู่ข้างหลัง เขาก็ถึงกับเหงื่อไหลออกมา
"วิญญาณชั่วร้ายตนนี้เก่งมาก เพียงแค่ครั้งเดียวคงกำจัดไม่หมด" นักพรตจินเอ่ยต่อ "ต้องทำพิธีต่อไปอีก"
ซูหนานอีไม่ได้พูดอะไร ยิ่งนิ่งมองเหมือนกับเป็นคนนอก
ซูซืออวี้ที่ตอนนี้เชื่อสนิทใจ เดิมซูหว่านเอ้อร์ไปวันก็เกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้น และยังถูกพระสนมพูดว่านางล่วงเกินเทพเจ้า ตอนนี้ก็ถูกนักพรตจิน บอกว่ามีวิญญาณชั่วร้ายสิงร่าง เรื่องราวเหล่านี้คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วล่ะ
"งั้น ท่านนักพรตคิดว่าควรจะทำเช่นไรดี" เขาถามอย่างใจร้อน
นักพรตจินเอ่ยเสียงนิ่ง "ต้องทำการปิดจวนของคุณหนูรองไว้ ห้ามคนเข้าออก ข้าจะทำพิธีอยู่ข้างนอก และนำของบางอย่างมาติด เพียงแต่ว่าเรื่องเหล่านี้ค่อนข้างซับซ้อน หวังว่าท่านจะให้ทุกคนที่อยู่ในมือให้ความร่วมมือ"
"ให้ความร่วมมือ จะต้องให้ความร่วมมืออย่างแน่นอน" ซูซืออวี้ก็เอ่ยตอบรับทันที
"ดี งั้นก็รีบไปเตรียมการเถอะ!"
ซูซืออวี้ก็กำลังจะหันหลังเดินออกไป ซูหนานอีก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "ท่านพ่อ ท่านก็จะไปอย่างนี้หรือ"
ซูซืออวี้หยุดเดินแล้วหันกลับมาหาซูหนานอี "หนานอีอา เรื่องนี้……ไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้าในฐานะพ่อก็ขอตัวก่อน เจ้าก็พักผ่อนเถอะ ตอนเย็นอยากกินอะไร ก็บอกพ่อครัวเลย ให้พวกเขาเพิ่มอาหารให้เจ้าด้วย"
ซูหนานอีระบายยิ้มออกมา "ท่านพ่อ เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับข้าแต่เกิดเรื่องที่จวนของข้า เรื่องนี้ก็คงถูกคนในจวนเอาไปพูด ข้าก็ยังไม่พ้นมลทิน"
"ไม่มีอย่างแน่นอน เจ้าวางใจเถอะ ในฐานะพ่อข้าจะไปพูดกับพวกเขาเอง ไม่ให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป"
ซูหนานอียักคิ้วเล็กน้อย นัยตานิ่งยากจะคาดเดา "โลกใบนี้ไม่มีกำแพงที่ลมจะไม่ทะลุออกไปได้ ไม่ง่ายเลยที่จะสามารถปิดปากพวกเขาได้ ทางที่ดี……สู้พูดออกไปตามตรงเสียดีกว่า เพื่อคนอื่นจะได้ไม่คาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ"
ซูหนานอีตกตะลึง สีหน้าของเซี่ยชื่่อเริ่มซีดเผือด เอ่ยถามขึ้น: "เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง ถ้าหากนำเรื่องนี้พูดออกไป ซูเอ้อร์ของข้าจะยังหลงเหลือความเป็นคนอีกหรอ"
ซูหนานอีหัวเราะออกมาเบาๆ "ที่แท้น้าเซี่ยก็รู้อยู่แล้ว เรื่องนี้ทำให้ไม่มีทางเหลือความเป็นคน"
เซี่ยชื่ออึ้ง ตอนนี้นางถึงกับติดอ่างพูดไม่ออก
ซูซืออวี้เริ่มลังเล เขาเลี้ยงดูซูหว่านเอ้อร์มาตั้งแต่เด็กก็หวังว่านางจะได้ตกแต่งกับตระกูลสูงส่ง ในอนาคตสามารถช่วยเหลือเขาได้ ถ้าถูกทำลาย เลือดเนื้อที่เสียงไปก็จะไม่เปล่าประโยชน์หรอกหรือ
"นายท่าน ไม่ได้นะเจ้าคะ หว่านเอ้อร์……ุถ้าหากว่าพูดออกไป ต่อไปหว่านเอ้อร์จะเป็นยังไง จะหาคนดี ๆ มาแต่งงานกับนางก็คงไม่มีแล้ว นายท่าน ท่านไม่ใช่หวังว่านางได้ตกแต่งกับตระกูลดีๆ สามารถช่วยตระกูลของเราไม่ใช่หรือ"
เซี่ยชื่อเริ่มพูดพร่ำออกมา นางดูออกว่าซูซืออวี้เริ่มหวั่นไหวแล้ว
ซูซืออวี้ยังคงลังเลอยู่ ซูหนานอีเริ่มส่งสายตาให้เสี่ยวเถา เสี่ยวเถาเข้ามาข้างใน ไม่นานก็มีอีกหนึ่งคนที่เดินออกมาจากในห้อง