ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ - ตอนที่ 30 สำรวจสุสานยามค่ำคืน
ซูหนานอี มองไปยังท่าทางของเสี่ยวเถา และรู้ได้ทันทีว่าต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่
"เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?"
ริมฝีปากของเสี่ยวเถาสั่นเล็กน้อย "คุณหนู เสี่ยวชุยจือ……ตายแล้วเจ้าค่ะ"
ซูหนานอีชะงักลงทันใด "ว่าอย่างไรนะ? ตายได้อย่างไร?"
ทาสของตระกูลใหญ่โตตายลงก็มิใช่เรื่องแปลก จวนซูก็มิมีข้อยกเว้น หัวใจของเซี่ยซื่อโหดเหี้ยมนัก แม้หลังจากย้ายมาที่นี่นางก็ลดความเลวร้ายลงบ้าง แต่ก่อนหน้านี้ก็มีทาสหลายคนที่ตายในน้ำมือของนาง
เสี่ยวเถาลดเสียงของนางลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจ "คุณหนูเจ้าคะ บ่าว……บ่าวได้ยินมาว่าเสี่ยวชุยจือสิ้นชีวิตลงอย่างน่ากลัว ผิวเปลี่ยนเป็นสีดำ มีเลือดออกจากตาหูจมูก"
หัวใจของซูหนานอีเต้นรัว เมื่อคืนนี้เสี่ยวชุยจือมาวางยาที่เรือนของนาง และนางได้ให้บทเรียนกับเสี่ยวชุยจือกลับไป แต่นางมิมีเจตนาจะฆ่าใคร
จู่ๆเหตุใดจึงตายได้? อีกทั้งอาการเหล่านี้บ่งบอกว่าถูกพิษอย่างเห็นได้ชัด
"ศพอยู่ที่ไหนท" ซูหนานอีถาม
"นายท่านเพิ่งสั่งให้ลากออกไปทางประตูหลัง กล่าวว่าจะนำไปที่สุสานหมู่"
เสี่ยวชุยจือเป็นเด็กที่เกิดในจวน พ่อของเขาเสียชีวิตไปเมื่อสองปีที่แล้วแต่แม่ของเขายังอยู่ อีกทั้งเป็นคนเก่าคนแก่ในเรือนของเซี่ยซื่อ แม้ว่านางจะมิอาจสู้ซุนโมโม่และหยางโมโม่ แต่ก็ยังจัดการเรื่องต่างๆอยู่เล็กน้อย ด้วยตำแหน่งเช่นนี้ เหตุใดจึงมิส่งต่อให้ทางครอบครัวจัดการงานศพ กลับส่งไปยังสุสานหมู่? สิ่งนี้เป็นเรื่องแปลกนัก
ซูหนานอีเหลือบมองท้องฟ้าด้านนอก "อย่ากลัวไปเลยเสี่ยวเถา อย่าเอ่ยเรื่องนี้ให้คนนอกฟังรู้หรือไม่"
เสี่ยวเถาปิดปากของนางและพยักหน้า
ดึกมากแล้ว ซูหนานอีกำลังจะเตรียมตัวพักผ่อน เสี่ยวเถาถึงเอ่ยถามว่า "คุณหนูเจ้าคะ วันนี้จะให้จุดธูปหอมอีกหรือไม่?"
"อืม" ซูหนานอีเหลือบมองที่กระถางธูป
ธูปนั้นเป็นธูปชั้นดีทีเดียว แต่เมื่อผสมกับยาที่เสี่ยวชุยจือเป่าเข้ามา มันจึงกลายเป็นพิษ ซึ่งทำให้ผู้คนที่สูดดมสับสนและสติมิดี
ซูหว่านเอ้อร์ นางโหดร้ายจริงๆ
แต่คืนนี้ ก็มิได้มีเสี่ยวชุยจือรายที่สองอีก
ซูหนานอีนอนอยู่บนเตียงนึกถึงการตายของเสี่ยวชุยจือ ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลก ดูเหมือนซูซืออวี้จะกังวลมากเรื่องการจัดการกับศพ เป็นไปได้ไหมว่าเขารู้อะไรบางอย่าง? ซูหนานอีนอนมิหลับ ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นและเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินออกไปทางหน้าต่างด้านหลังอย่างเงียบๆ เมื่อเดินออกจากเรือนไป พบว่าโคมในเรือนของเซี่ยซื่อยังคงเปิดอยู่และมีเงาสะท้อนของร่างสองร่างตรงหน้าต่าง นั่นคือเซี่ยซื่อและซูซืออวี้
ซูหนานอีย่องไปตรงหน้าต่างด้านหลังอย่างเงียบๆ เสียงจากด้านในดังออกมาชัดเจน
"ในที่สุดหว่านเอ้อร์ก็สงบลงสักที ดูเหมือนว่ายาของหมอหูจะใช้ได้ดีทีเดียว" เซี่ยซื่อกล่าวอย่างเศร้าโศกว่า "น่าสงสารเสียจริงที่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้"
ซูซืออวี้ถอนหายใจ "หมอหูกล่าวแล้วมิใช่หรือว่าหลังจากใช้ยานี้เพียงสองสามครั้ง ก็จะหายภายในสามวันโดยมิทิ้งรอยแผลเป็น"
"นายท่านเจ้าคะ มิใช่ว่าข้าอยากจะบ่น ท่านก็เห็นด้วยว่าซูหนานอีมิสนใจความรู้สึกของน้องสาวเลย บัดนี้นางกำลังวางแผนจัดการข้าและร้านของข้าอีก ต่อจากนี้ไป……"
เซี่ยซื่อยังมิทันกล่าวจบ นางก็ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจอีกครั้ง
"เอาเถอะๆมิต้องร่ำไห้ไป เพียงหากมีโอกาสแล้วข้าจะขอให้นางคืนให้แก่เจ้าอีกครั้ง ก่อนหน้านี้หนานอีมิได้มีนิสัยเช่นนี้ แต่ช่วงนี้……" ซูซืออวี้หยุดลง "เจ้าคิดว่าหว่านเอ้อร์ถูกสิงจริงหรือ?"
เซี่ยซื่อตกตะลึง "จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ? หว่านเอ้อร์ของเราเป็นเด็กดีเพียงนั้น"
"ช่วงนี้นางหาได้ทำตัวดีไม่" ซูซืออวี้ขมวดคิ้ว "ฟังสิ่งที่นางทำ เจ้าบอกข้าว่านางถูกใส่ร้าย แต่บัดนี้นางได้ยอมรับเอง"
"นายท่านเจ้าคะ" เซี่ยซื่อกล่าวอย่างมิพอใจ "ท่านมองมิออกหรือ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะถูกบังคับโดยซูหนานอี หากมิกล่าวเช่นนั้นนางจะให้ผงหญ้าไฟวิญญาณแก่เราหรือ? ยิ่งนางบีบบังคับหว่านเอ้อร์ให้กล่าวออกมาเช่นนั้น ยิ่งหมายความว่านางมีสิ่งชั่วร้ายอยู่ในใจ!"
ซูซืออวี้รู้สึกว่าพอมีเหตุผลอยู่บ้าง เขาจึงมิได้กล่าวอะไรออกมาอีก
ร่างกายของเซี่ยซื่อโน้มมาอย่างนุ่มนวล "นายท่านเจ้าคะ รอให้อาการบาดเจ็บของหว่านเอ้อร์หายดีแล้ว ข้าตั้งใจจะหาคู่ให้แก่นาง เตรียมสินสอดทองหมั้นให้มากสักหน่อย หากว่านางมีอนาคตที่ดี พวกเราเองก็ได้หน้า"
ซูซืออวี้พึมพำว่า"อืม"ออกมาทื่อๆแล้วกล่าวว่า "เสี่ยวชุยจือตายอย่างน่าประหลาด หรือที่จวนนี้จะมี……"
เซี่ยซื่อตกใจ "จริงหรือเจ้าคะ?"
ซูหนานอีขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ดูเหมือนว่าซูซืออวี้จะมิทราบสาเหตุการตายของเสี่ยวชุยจือ เขาเพียงรู้สึกแปลกๆกลัวว่าจะเกิดเรื่องมิดี
ซูหนานอีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินจากกลับไปที่ห้องของนาง
นกในกรงนกตรงขอบหน้าต่างกระพือปีก ดวงตาของซูหนานอีเป็นประกาย นางหยิบพู่กันขึ้นมาเพื่อเขียนจดหมายฉบับบางๆ จากนั้นปล่อยนกออกไป "ไป!"
นางเก็บกระเป๋าผ้าใบเล็กๆแล้วมุ่งไปทางตะวันตกของเมือง
สุสานหมู่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง
นางต้องเห็นด้วยตาของนางเองถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเสียชีวิตเสี่ยวฉุยจือ
ค่ำคืนอันมืดมิด ดวงดาวบนท้องฟ้าส่องประกายดุจเพชรระยิบระยับ ซูหนานอีเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและแผ่วเบา ผ่านไปครึ่งทางนางก็ได้ยินเสียงดังจากข้างหลังเบาๆ
นางหยุดฝีเท้าและมองกลับมา "จงออกมา!"
เซี่ยหล่านจึงหัวเราะและออกมาจากความมืด "หูยังดีอยู่นี่"
"หยุดกล่าวไร้สาระได้แล้ว ไปเร็ว!"
"เหอะ!" เซี่ยหล่านกลอกตา "เจ้าทำเช่นนี้จะออกจากเมืองมิได้แน่"
"อืม ข้ารู้ มิอย่างนั้นข้าคงจะไปเอง จะให้เจ้ามาที่นี่เพื่อเหตุใด?"
"……" เซี่ยหล่าน
ประตูเมืองปิดแล้วในเวลานี้ แต่มิได้เป็นปัญหาสำหรับเซี่ยหล่านเลย ร้านค้าของเซี่ยหล่านกระจายอยู่ทั่วประเทศ แน่นอนว่าเขามีวิธีของเขา หากมิสามารถออกจากเมืองได้ เขาก็มิสมควรได้รับการขนานนามว่าเป็นพ่อค้าอันดับหนึ่งของโลก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เซี่ยหล่านก็ได้พาซูหนานอีไปยังสุสานหมู่ ที่นี่ดูเหมือนลมจะพัดเย็นกว่าเดิมเล็กน้อย
เซี่ยหล่านยักไหล่ "เจ้ามาทำอะไรที่นี่? จะชิงสมบัติจากศพหรือ? เจ้าตกอับเช่นนั้นเชียว?"
ซูหนานอีกัดฟันและกล่าวว่า "หุบปากของเจ้าเสีย! หากข้ามิมีเงิน เอ่ยปากขอเจ้าตรงๆก็ได้มิใช่หรือ?"
"จริงด้วย"เซี่ยหล่านพยักหน้าโดยมิรู้ตัว จากนั้นก็รู้สึกน้อยใจ "เจ้าจะคิดถึงข้าเมื่อตอนที่ข้ามีประโยชน์เท่านั้น"
"……" ซูหนานอีลูบจมูกของนาง "เอาละมากล่าวเรื่องจริงจังกัน หากว่าเจ้ากลัวก็จงรอข้าอยู่ที่นี่ มิต้องตามไป"
"ใครกลัว? ท่านหล่านเช่นข้าเคยกลัวสิ่งใดหรือ?"
ทั้งสองเดินสนทนากันเข้าไปด้านใน ในมิช้าก็พบกับร่างของเสี่ยวชุยจือ
สภาพศพคล้ายกับที่เสี่ยวเถาเล่าให้ฟัง ผิวหนังทั่วร่างกายเป็นสีดำ ทวารทั้งเจ็ดมีเลือดออกและแม้แต่เล็บก็เป็นสีดำเช่นกัน
เป็นพิษที่ร้ายแรงมาก!
ซูหนานอีอยากจะมองให้ใกล้ขึ้น นางจึงเปิดถุงผ้าเล็กๆที่นางถือติดตัวมาด้วย ดวงตาของเซี่ยหล่านเบิกกว้าง "เจ้าจะทำอะไร?"
"ขอข้าดูหน่อยว่าเขาถูกพิษชนิดใด" ซูหนานอีกล่าวจบก็หยิบมีดในมือทำท่าจะจัดการ
"เจ้า……"
เซี่ยหล่านยังกล่าวมิจบ เขารีบยื่นมือเข้าไปจับมือของซูหนานอีเอาไว้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
ขณะเดียวกัน ซูหนานอีเองก็ได้ยินเสียง ทั้งสองมองหน้ากันแล้วเดินไปที่ป่าเล็กข้างๆพร้อมกันด้วยความเข้าใจโดยปริยาย
หลังจากซ่อนตัวเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ยินเสียงเบาๆผ่านสายลมแว่วมา หากมิใช่เพราะหูของซูหนานอีค่อนข้างว่องไวต่อเสียง นางก็คงมิรู้ตัว
นางและเซี่ยหล่านซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งทางซ้ายต้นหนึ่ง ทางขวาอีกต้นหนึ่ง ทั้งคู่กลั้นหายใจเอาไว้
ภายใต้แสงจันทร์อันเยือกเย็น มีชายคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดไม้ เขาสวมหน้ากากสีดำที่มีตาเพียงคู่เดียวที่โพล่ออกมา เขาสวมชุดยาวสีดำทั้งตัว
มีเพียงเข็มขัดที่เอวและชายเสื้อเท่านั้นที่มีลวดลายเป็นสีแดงเข้ม เปรียบเสมือนไฟปีศาจที่กระโดดโลดเต้นยามค่ำคืน
ดวงตาของซูหนานอีหรี่ลง ท่าทางของเซี่ยหล่านก็จริงจังเช่นกัน
ทันใดนั้น สายตาของคนๆนั้นก็หันไปทางพวกเขา ซูหนานอีรีบหรี่ตาลงมิกล้ามองอีกเลย เซี่ยหล่านก็หลับตาลงเช่นกัน
ในการดวลกับปรมาจารย์ประเภทนี้ แม้แต่การจับจ้องก็อาจทำให้คู่ต่อสู้สังเกตเห็นได้
ซูหนานอีนิ่งเงียบ เหงื่อไหลลงมาจากหลังของนางอย่างเงียบ ๆ
สักพัก เมื่อลมพัดผ่านไปชายคนนั้นก็จากไปพร้อมสายลม
เซี่ยหล่านกำลังจะขยับตัว แต่ซูหนานอีส่งสัญญาณทันทีว่าอย่าขยับ
เป็นจริงดังนั้น ชายคนนั้นได้กลับมาอีกครั้งในเวลามินาน ดวงตาของเขาราวกับอสรพิษเย็นชาและเจิดจ้าในแสงสลัว
สายตาของเขากวาดมองไปทั่วป่า สายลมยามค่ำคืนพาหญ้าสั่นไหวเกิดเสียงกรอบแกรบเล็กน้อย แต่เขามิพบสิ่งอื่นใดอีก
เขายืนอยู่บนยอดไม้ครู่หนึ่งแล้วจากไปอีกครั้ง
ซูหนานอีถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นส่งสัญญาณให้เซี่ยหล่าน เซี่ยหล่านนำมือกุมที่ทรวงอกของเขา "พระเจ้า ข้าเกือบจะหายใจมิออกแล้ว คนๆ นั้นคือ……"
ดวงตาของซูหนานอีเย็นชา "เจ้าเดาถูกแล้ว"