ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ - ตอนที่ 28 จงจำคำพวกเจ้าไว้ อย่ามาขอร้องข้า
ซูซืออวี้ขมวดคิ้วและมองไปที่หยางโมโม่ที่กำลังร้องไห้ราวกับฟ้ารั่ว "เอาล่ะ เจ้ามีอะไรก็จงกล่าวมาดีๆ บัดนี้เรื่องราวยังยุ่งเหยิงมิพอหรือไร?"
"ท่านนายเจ้าคะ บ่าวไปเชิญคุณหนูใหญ่แล้วแต่มิได้พบนาง เสี่ยวเถาบอกว่าคุณหนูกำลังพักผ่อนอยู่และมิควรถูกรบกวน บ่าวจึงจะคุกเข่าร้องขอ แต่เสี่ยวเถากล่าวว่าหากบ่าวกล้าเอะอะโวยวาย ก็จะ……ก็จะขายบ่าวทิ้งไปเสียเช่นเดียวกับซุนโมโม่!"
"บ้าเสียจริง บ้าไปกันหมด!" ซูซืออวี้โกรธจัด "นี่คือจวนซู ทุกคนล้วนแซ่ซู! นางมีสิทธิ์ใดทำเย่อหยิ่งเช่นนี้?"
เซี่ยซื่อกัดฟันด้วยความโกรธ ซูหว่านเอ้อร์ก็เคียดแค้นจนสุดหัวใจ
ตำแหน่งพระชายาควรจะเป็นของนาง ซูหว่านเอ้อร์!
"ท่านพ่อ" ซูหว่านเอ้อร์เอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อน "ท่านต้องช่วยให้ข้าได้รับความยุติธรรมนะเจ้าคะ ซูหนานอีใจดำรังแกข้ามากเหลือเกิน!"
ซูซืออวี้นำมือขึ้นตบโต๊ะ "ถูกต้องแล้ว นางทำเกินไปจริงๆ ต่อให้มีจวนอ๋องเป่ยลี้คุ้มกัน นางก็มิควรรังแกน้องสาวเช่นนี้ มิได้ละ ข้าจะไปพบนาง!"
ซูซืออวี้ยังไม่ทันจะลุกขึ้น ก็ได้ยินเสียงของใครบางคนตรงประตูกล่าวขึ้นอย่างเย็นชาว่า "มิต้องไปหรอก ข้าอยู่นี่แล้ว!"
วินาทีนี้ความเงียบงันเข้ามาแทนที่ ซูหนานอีนำมือเปิดม่านเพื่อเข้าไปด้านใน สายตาส่งผ่านไปยังผ่านซูหว่านเอ้อร์
เอ๋ ใบหน้านี้ ดูเหมือนเมื่อเช้าคงจะทาแป้งหอมมามิน้อย
ซูหว่านเอ้อร์รีบเอี้ยวตัวหลบ นางมิต้องการให้ซูหนานอีพบนางด้วยสภาพตอนนี้
ซูซืออวี้ระงับความโกรธของเขาเอาไว้ "หนานอี พ่อขอถามเจ้าสักหน่อยว่า เหตุใดเจ้ามิให้ไท่เฟยออกหน้าเชิญหมอหลวงมารักษาหว่านเอ้อร์ ถึงอย่างไรนางก็เป็นน้องสาวของเจ้า เจ้าจะทนเห็นนางทนทุกข์ทรมานเช่นนี้หรือ?"
"ท่านพ่อ" ซูหนานอีกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ "เหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนั้น? ข้ามิยอมให้ไท่เฟยรักษาซูหว่านเอ้อร์ ใครเป็นผู้กล่าวเช่นนี้กัน?"
เซี่ยซื่อที่นั่งร้องไห้อยู่ด้านข้างเอ่ยว่า "ยังต้องบอกอีกหรือ? ชุนหลิงเดินทางไปที่จวนท่านอ๋องและได้ยินมากับหูของนางเอง เจ้ายังมิยอมรับอีกหรือ?"
ซูหนานอียิ้มอย่างเยือกเย็น "ชุนหลิง ดูเหมือนว่าเจ้าจะมิได้กล่าวความจริง"
ชุนหลิงสะดุ้งทันใด นางก้มหน้าลงและกัดริมฝีปากตนเอง "ข้า……ข้ากล่าวความจริง"
ซูหนานอีเหลือบมองไปที่ซูหว่านเอ้อร์ "ซูหว่านเอ้อร์ เจ้าจงบอกกับท่านพ่อเองเถิดว่าโรคนี้เจ้าได้มาอย่างไร? แล้วพระสนมเอกตรัสว่าอย่างไร?"
ซูหว่านเอ้อร์ซึ่งกำลังเกาบริเวณที่คันอยู่จึงรู้สึกหงุดหงิดมาก นางจึงได้โพล่งออกมาว่า "พระสนมเอกพูดจาไร้สาระสิ้นดี ข้ามิได้ถูกอะไรสิงเสียสักหน่อย!"
ซูหนานอีเลิกคิ้วและมองไปทางซูซืออวี้
ใบหน้าของซูซืออวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเข้าใจได้ในทันที "หว่านเอ้อร์! อย่าได้กล่าวเรื่องไร้สาระ!"
ซูหนานอีจึงได้เล่าเรื่องราวคร่าวๆออกมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ก่อนที่นางจะกล่าวจบ ซูซืออวี้ก็ได้หน้าซีดด้วยความตกใจแล้ว
เซี่ยซื่อเองก็รู้สึกสับสนจนมิรู้จะทำอย่างไร
ซูหว่านเอ้อร์เริ่มกระสับกระส่าย "ซูหนานอี! เจ้าอย่ามาจงใจทำให้ทุกคนแตกตื่น มิเชิญหมอหลวงให้ข้าก็มิเป็นไร! ใครต้องการเล่า ข้ามิเชื่อหรอกว่าหมอชาวบ้านจะมิมีคนใดที่รักษาข้ามิได้"
ชุนหลิงกัดริมฝีปากของนางแล้วก้าวไปข้างหน้า จากนั้นกระซิบสองสามคำที่หูของนาง
ดวงตาของซูหว่านเอ้อร์แสดงความปีติขึ้นมา "จริงหรือ?"
"จริงเจ้าค่ะ" ชุนหลิงพยักหน้า
ซูหว่านเอ้อร์กล่าวกับเซี่ยซื่อว่า "ท่านแม่ มิได้ต้องไปร้องขอนางหรอก! ข้ามีวิธีของข้าเอง!"
ซูหนานอีได้เพียงยิ้ม มิได้ขัดแย้งใดๆ
ทันใดนั้นเอง ผู้รับใช้ที่อยู่ข้างนอกยืนอยู่ตรงประตูก็กล่าวขึ้นว่า "รายงานคุณหนูรองเจ้าคะ เสี่ยวชุยจือขอเข้าพบเจ้าค่ะ"
"ให้เขาเข้ามา!" ซูหว่านเอ้อร์รีบกล่าวทันที
เสี่ยวชุยจือเดินเข้ามาด้านในอย่างรวดเร็ว แต่เขาทำได้เพียงยืนอยู่ในห้องโถงด้านนอกเท่านั้น ซูหว่านเอ้อร์เอ่ยถามว่า "เจ้าไปสอบถามมาเรียบร้อยแล้วหรือไม่?"
เสี่ยวชุยจือก้มศีรษะและตอบว่า "คุณหนูรองขอรับ ข้าน้อยได้ไปสอบถามมาแล้ว หมอหูผู้นั้นเพิ่งย้ายมาที่นี่เมื่อต้นปี เขามีชื่อเสียงยิ่ง เพียงเอ่ยชื่อก็มิมีผู้ใดมิรู้จักหมอหู ว่ากันว่าเขาเดินทางมาที่นี่เพื่อพักผ่อนจิตใจ ดังนั้นจึงมิมีผู้ใดรู้ว่าเขาเดินทางมามากนัก"
"หืม หมอหูงั้นหรือ?" หัวใจของเซี่ยซื่อรู้สึกตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย นางรีบคว้ามือของซูหว่านเอ้อร์กล่าวว่า "หว่านเอ้อร์ เจ้ารอดแล้วคราวนี้ แม่ได้ยินว่าลุงของเจ้าเคยเล่าให้ฟัง ในตอนนั้นเขาทำการค้าอยู่นอกเมือง ปีนั้นที่นั่นมีโรคระบาดหนักเสียจนลุงของเจ้าเกือบจะมิมีชีวิตรอดกลับมาได้ คลับคล้ายคลับคลาว่าหมอหูผู้อัจฉริยะนี้แหละที่ช่วยชีวิตลุงและผู้คนในเมืองเอาไว้"
"จริงหรือ?" ซูหว่านเอ้อดีใจยิ่งนัก"ช่างดีเสียจริง!"
"ถูกต้องแล้ว" เซี่ยซื่อพยักหน้าและกล่าวกับซูซืออวี้เบาๆ "ขอนายท่านโปรดมอบจดหมายเชิญและของกำนัลเพื่อเข้าพบด้วยเถิดเจ้าค่ะ"
ซูซืออวี้ยังคงโกรธซูหว่านเอ้อร์ แต่เมื่อเห็นสองคนแม่ลูกนี้เขาก็ใจอ่อนอีกครา และคิดว่ารอให้รักษาหายก่อนค่อยว่ากัน
เซี่ยซื่อเตรียมพู่กันและหมึกทันที จากนั้นขอให้ซูซืออวี้เขียนจดหมายเชิญ แล้วเกลี้ยกล่อมให้ซูซืออวี้เดินทางไปพบด้วยตนเอง
ทันทีที่ซูซืออวี้จากไป สีหน้าของเซี่ยซื่อก็เปลี่ยนไปเช่นกัน นางกล่าวกับซูหนานอีอย่างโกรธแค้นว่า "ซูหนานอี เจ้าคิดว่าเจ้าเก่งกาจอย่างไรกัน?! หมอหลวงแล้วอย่างไร? พวกเราก็สามารถหาหมอเทวดาได้เองเช่นกัน!"
"นั่นสิเจ้าคะท่านแม่ เรามิจำเป็นต้องขอร้องนางสักหน่อย!" ซูหว่านเอ้อร์กล่าวพร้อมกับกุมใบหน้าของตนเอาไว้
ซูหนานอีหัวเราะออกมาสั้นๆ มองดูสองคนแม่ลูกแล้วส่ายหน้า นางสงสัยเหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของร่างเดิมที่ต้องถูกสองแม่ลูกผู้โง่เขลาคอยรังแกเช่นนี้
ดวงตาของเซี่ยซื่อดุเดือดราวกับพ่นไฟออกมาได้ "เจ้าหัวเราะสิ่งใด?"
ซูหนานอีถอนหายใจออกมาลอยๆ "ข้าหัวเราะเยาะพวกเจ้าที่เปลี่ยนวิธีรนหาที่ตาย เจ้าเอ่ยถึงหมอหลวงเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร? หมอหลวงมีไว้สำหรับรักษาเชื้อพระวงศ์ คำพูดเช่นนี้พวกเจ้าก็กล้ากล่าวออกมาได้"
ใบหน้าของเซี่ยซื่อเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน "ข้ามิได้กล่าว! ข้ามิยอมรับ เจ้าอย่าได้คิดใส่ร้ายข้า!"
"แล้วแต่พวกเจ้าเถอะ" ซูหนานอีมิอยากเสียเวลาสนทนากับคนโง่สองคนนี้อีก "จงจำคำของพวกเจ้าไว้ให้ดี อย่ามาขอร้องข้า!"
"ถุย! ใครอยากขอร้องเจ้า!"
ซูหนานอีเดินกลับไปที่เรือนของนางอย่างมีความสุข บัดนี้เสี่ยวเถาก็ได้กลับมาแล้ว
"คุณหนูเจ้าคะ!"
"ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ?"
"เรียบร้อยเจ้าค่ะ" เสี่ยวเถากล่าวด้วยท่าทางตื่นเต้น "คุณหนูมิได้เห็นด้วยตาของตนเอง ตอนแรกชายชราผู้นั้นช่างเย่อยหยิ่งนัก แต่เมื่อเห็นสิ่งที่คุณหนูวาดไปให้ จู่ๆเขาก็เปลี่ยนทัศนคติไปและกล่าวว่าจะทำที่คุณหนูกล่าว คุณหนูเจ้าคะ วาดอะไรไปกัน?"
ซูหนานอีหัวเราะขึ้น "นี่เป็นความลับ เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองเมื่อถึงเวลา"
เสี่ยวเถากะพริบตาเบาๆแล้วกล่าวอย่างเด็ดขาดว่า"เจ้าค่ะข้าฟังตามที่คุณหนูกล่าว"
ซูหนานอีบิดขี้เกียจกล่าวว่า "เอาอาหารมาสักหน่อยสิ ข้าหิวแล้ว"
"เจ้าค่ะ!"
เสี่ยวเถาเรียกให้คนจัดเตรียมอาหาร และยืนตักอาหารให้ซูหนานอีอย่างเงียบๆ ขณะที่นางดูยุ่ง ในใจก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย
ซูหนานอีเงยหน้าขึ้น "มีอะไรงั้นหรือ?"
เสี่ยวเถาเม้มริมฝีปากกล่าวว่า "มิมีอะไรเจ้าค่ะ เพียงบ่าวรู้สึกว่ารสชาติอาหารของคุณหนูต่างจากเมื่อก่อน"
สีหน้าของซูหนานอีมิเปลี่ยนไป "งั้นหรือ? อาจเป็นเพราะข้าอยู่กับท่านอ๋องมาหลายวันติดๆ ได้รับอิทธิพลจากเขาจึงลองเปลี่ยนดูบ้าง ที่จริงก็มิเลวเลย"
เสี่ยวเถาพยักหน้า "นั่นสินะเจ้าคะ ในอนาคตเมื่อไปยังจวนท่านอ๋องแล้ว อาหารของพวกเขาคงจะแตกต่างจากเรา"
ซูหนานอีพบว่านางถอนหายใจออกมาเช่นนั้นก็รู้สึกตลกเล็กน้อย "ทำไมรึ? เจ้าอยากแต่งงานแล้วหรือ?"
เสี่ยวเถารีบโบกมือ "ไม่แน่นอนเจ้าค่ะ เสี่ยวเถาต้องการติดตามคุณหนูตลอดไป! บ่าวเพียงคิดถึงคุณหญิง คุณหญิงเป็นห่วงเพียงคุณหนูเท่านั้น และหวังว่าคุณหญิงจะออกเรือนกับชายหนุ่มที่ดี……"
หัวใจของซูหนานอีขมขื่น หัวอกของพ่อแม่ทุกคนนั้น ล้วนคอยคิดแทนลูกๆเสมอ มิรู้ว่าบัดนี้พ่อแม่ของนางอยู่ที่ใด มิรู้ว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยความหวาดระแวงหรือไม่
เมื่อเห็นว่านางทำหน้าเศร้า เสี่ยวเถาก็ได้แต่โทษตัวเองที่กล่าวอะไรผิดไป จึงปลอบใจว่า "คุณหนูอย่าเศร้าไปเลยเจ้าคะ คุณหญิงคงจะมีความสุขถ้าได้เห็นคุณหนูฉลาดและสดใสเช่นตอนนี้ ท่านอ๋องปฏิบัติต่อคุณหนูก็ดียิ่ง คาดว่าคุณหญิงคงปลาบปลื้ม"
ซูหนานอียิ้มขึ้นเล็กน้อยมิได้กล่าวอะไร
เสี่ยวเถากัดริมฝีปากของตนเอาไว้ เกรงจะตนกล่าวอะไรมิดีออกมา จึงมิกล้ากล่าวอันใดอีก
ยังมิทันได้รับประทานอาหารเสร็จ ก็ได้ยินเสียงข้างนอกประตูดังขึ้น
ซูหนานอียังคงนิ่งเงียบ นางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นโดยมิต้องชายตาไปมอง
เสี่ยวเถาหันศีรษะและมองดู "คุณหนูเจ้าคะ เดี๋ยวบ่าวจะไปดูให้เจ้าค่ะ"
"อืม ไปเถอะ"
เสี่ยวเถาเพิ่งก้าวขาออกจากเรือน ผู้คนจากภายนอกก็เข้ามาถึงลานบ้านแล้ว
ซูซืออวี้ยังคงถือกล่องของกำนัลที่เขานำมาเพื่อไปพบหมอหู อารมณ์ดูซับซ้อน เขาขมวดคิ้วขึ้นและถามว่า "หนานอีอยู่ที่ใด?"
เสี่ยวเถาโค้งคำนับด้วยความสงสัย นางตอบตามความจริงว่า "นายท่านเจ้าคะ คุณหนูกำลังรับประทานอาหารเย็นอยู่เจ้าค่ะ"
ซูซืออวี้ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ "นางยังกินได้ลงหรือ!"
เสี่ยวเถารู้สึกงุนงงแต่นางมิกล้ากล่าวอะไรกลับไป ได้แต่เหลือบมองและพบว่าซูหว่านเอ้อร์กับชุนหลิงก็อยู่ที่นี่เช่นกัน
นี่มัน……เรื่องอะไรกัน?