ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ - ตอนที่ 15 คิดถึงเหนียงจื่อ
รถม้าจากจวนอ๋องเป่ยลี้มุ่งหน้าตรงไปยังจวนซูแต่เช้าตรู่เพื่อไปรับใครบางคน แต่เมื่อพวกเขามาถึงกลับพบว่าซูหนานอี มิได้อยู่ในจวน
ภายในรถม้านั้น ใบหน้าอันบอบบางของหยุนจิ่งเต็มไปด้วยความผิดหวัง
"หืม? เหนียงจื่อมิอยู่งั้นหรือ?"
"จิ่งเอ้อร์คิดถึงนางมากเหลือเกิน จักทำอย่างไรดี?"
เหยียนโมโม่มองดูท่านอ๋องที่ทำท่าทางเหมือนเด็กอย่างงุนงง "องค์ชายเพคะ คุณหนูซูมีธุระที่ต้องทำในวันนี้ ช่วงบ่ายบ่าวและสาวรับใช้จะมารับอีกครั้ง ได้หรือไม่เพคะ?"
หยุนจิ่งส่ายหน้า "ไม่! จิ่งเอ้อร์ต้องการพบเหนียงจื่อตอนนี้"
"โมโม่ จิ่งเอ้อร์มิได้เจอเหนียงจื่อมาหนึ่งวันแล้ว จิ่งเอ้อร์คิดถึงนางจริงๆ"
เหยียนโมโม่ทนมิอาจทนกับท่าทางออดอ้อนเหมือนเด็กของเขาได้ และมิรู้ว่าจะทำเยี่ยงไรกับเขาดี
เซี่ยซื่อเบิกตากว้าง เมื่อนึกถึงข่าวที่ตนเพิ่งได้รับมาแล้วจู่ๆก็คิดขึ้นได้ว่า "เหยียนโมโม่ อันที่จริงในวันนี้หนานอีก็มิได้มีสิ่งใดต้องทำเป็นพิเศษ เพียงแต่นางชอบดื่มชายามเช้า ดังนั้นนางจึงไปที่โรงน้ำชาจวี้ซิงที่ทางทิศใต้ของเมืองแต่เช้าตรู่ หากท่านอ๋องต้องการพบหนานอี สามารถเดินทางไปที่โรงน้ำชา นางคงจะอยู่ที่นั่นเป็นแน่"
เหยียนโมโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย "ในเมื่อคุณหนูซูมิสะดวก เราก็จะมิขอรบกวน รบกวนท่านช่วยส่งข่าวให้สักหน่อยเมื่อคุณหนูซูกลับมาแล้ว จวนชินอ๋องของเราจักส่งคนมารับเจ้าค่ะ"
ทันทีที่เสียงของเหยียนโมโม่สิ้นสุดลง หยุนจิ่งก็เริ่มกังวลเล็กน้อยและรีบคว้าแขนของเหยียนโมโม่เข้ามา "โมโม่ โมโม่! พวกเราไปหาเหนียงจื่อกันเถอะ"
เหยียนโมโม่รู้สึกหมดหนทาง "ท่านอ๋องเพคะ ในเมื่อคุณหนูซูมิอยู่ที่นี่ คาดว่าคงมีธุระเป็นแน่ เช่นนั้นแล้วเราจะรบกวนนางได้อย่างไร? สู้กลับไปรอที่จวนเสียดีกว่า ท่านว่าอย่างไรเพคะ?"
หยุนจิ่งส่ายหน้า "ไม่! จิ่งเอ้อร์ จิ่งเอ้อร์อยากเจอเพียงเหนียงจื่อ"
เมื่อเห็นเช่นนี้ เซี่ยซื่อก็เอ่ยแทรกเสริมขึ้นว่า "หนานอี มักจะใช้เวลาดื่มชายามเช้าจนกระทั่งเที่ยงวันถึงกลับมา หากมัวแต่รอเกรงว่าอาจจะกินเวลานาน ให้ข้าไปรับนางกลับมาดีหรือไม่?"
เหยียนโมโม่ยังมิทันจะกล่าวสิ่งใดออกมา หยุนจิ่งก็ส่ายหน้าตอบว่า "ไม่! แหนียงจื่อของข้าต้องการดื่มชายามเช้า จงปล่อยให้นางดื่มอย่างมีความสุขไป อย่าได้รบกวนนาง!"
เซี่ยซื่อกลอกตา จากนั้นรีบทำความเคารพ "หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ"
"โมโม่ ไปหาเหนียงจื่อกันเถอะ ต่อให้กลับจวนไปก็มิมีสิ่งใดต้องทำ ดีหรือไม่?"
ท่านอ๋องกล่าวถึงเพียงนี้แล้ว เหยียนโมโม่จักทำเยี่ยงไรได้อีกเล่า?
"เพคะ"
เวลาผ่านไปมินานนัก รถม้าที่หน้าประตูจวนซู ซึ่งเป็นรถม้าของจวนอ๋องเป่ยลี้ก็หันหลังกลับและมุ่งหน้าไปทางใต้ของเมือง
ที่หน้าประตูจวนซู ซูหว่านเอ้อร์เดินออกไปอย่างเงียบๆ "ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงต้องหลอกล่อคนเหล่านี้ไปยังโรงน้ำชาจวี้ซิง?"
สัมผัสของความชั่วร้ายส่งผ่านดวงตาของเซี่ยซื่อออกมา "เมื่อครู่มีคนรายงานว่ารถม้าของจวนซูที่เดินทางไปยังโรงน้ำชาจวี้ซิง ระหว่างทางพี่สาวตัวดีของเจ้าได้พบกับชายคนหนึ่งตอนกลางวันแสกๆ ทั้งสองคนยังคงคุยกันอยู่ เจ้าว่า หากท่านอ๋องเดินทางไปและพบว่านางแอบนัดพบกับชายอื่นในเวลานี้……"
ซูหว่านเอ้อร์ยิ้มขึ้นทันที "เมื่อถึงเวลานั้น ซูหนานอีก็ได้แต่ขายหน้า และคงมิกล้าก้าวเข้าไปในประตูจวนอ๋องเป่ยลี้อีก หึๆ"
"สิ่งที่ข้ามิต้องการ นางก็อย่าได้คิดจะมาแตะต้อง"
ณ โรงน้ำชาจวี้ซิง
มีการพบปะสังสรรค์ มองไปช่างครึกครื้นสุขใจนัก
นอกจากน้ำชาแล้ว สิ่งที่ขึ้นชื่อที่สุดในโรงน้ำชาจวี้ซิงแห่งนี้ก็คือ จะสามารถได้ยินเรื่องราวสนุกๆมากมายที่นี่ และบางครั้งนักเล่าเรื่องบางคนจะขึ้นไปยังเวทีเพื่อส่งต่อความสนุกสนาน
แต่ทว่าโดยมากมักจะเป็นตอนกลางคืน
ในตอนเช้า โรงน้ำชาจวี้ซิงช่างเงียบสงบเป็นพิเศษ
ห้องรับรองด้านในสุดที่ชั้นสอง ถูกตั้งชื่ออย่างสง่าว่าเรือนจงฉุย
ในขณะนี้ ที่ด้านนอกประตูของเรือนจงฉุยมีชายหนุ่มและหญิงสาวกำลังยืนอยู่ที่ประตู ทั้งสองมองหน้ากันด้วยรูปลักษณ์อันมิคุ้นเคย
ภายในห้อง ชายคนนั้นสวมชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม เขากำลังรินชาในมืออย่างชำนาญ ในมิช้ากลิ่นหอมของชาก็ไหลล้นไปทั่วห้อง
ครั้งสุดท้ายที่เห็นเรารินน้ำชา ผ่านไปได้เพียงมิกี่เดือน แต่ดูเหมือนว่าเวลาจะผ่านไปนับสิบปีแล้ว
ต่อมามินาน เซี่ยหล่านก็ยื่นถ้วยชาในมือให้ซูหนานอี
นางรับมันมาอย่างเชี่ยวชาญ นิ้วก้อยของนางยังคงจับถ้วยน้ำชาไว้ดังเดิม
รายละเอียดเล็กๆเหล่านี้ ทำให้ดวงตาของเซี่ยหล่านผ่อนคลายลง
คนอื่นๆโดยมากมักชูนิ้วก้อยออกเวลาดื่มชา นางเป็นคนเดียวที่กลัวว่าถ้วยน้ำชาจะตกลงมาเสียทุกครั้ง ดังนั้นนางจึงยืนกรานว่าจะใช้นิ้วทั้งห้าจับเอาไว้
กลิ่นชาจางๆละมุนอยู่ในปากของ ซูหนานอีกล่าวช้าๆว่า
"ข้าคิดว่าเจ้าจะมิเชื่อเสียอีก"
เนื่องจากเรื่องนี้ช่างเหลือเชื่อ ใบหน้าซึ่งแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แต่เขาสามารถจดจำตัวตนที่แท้จริงของนางได้เพียงคำพูดไม่กี่ประโยค
เซี่ยหล่านขบริมฝีปากของตนและยิ้มอย่างนุ่มนวลว่า "หากเป็นคนอื่น ข้าคงมิเชื่อ"
"แต่เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ว่าข้ามีรอยพระจันทร์เสี้ยวอยู่ที่เอว ก็มีเพียงเจ้าเท่านั้น"
เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกคุ้นที่แผ่ออกมาจากร่างของหนานอี ดังนั้นเมื่อซูหนานอีกล่าวได้อย่างถูกต้องว่ามีรอยแผลเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวอยู่ใต้เอวของเขาลงไปสามนิ้ว เขาจึงยืนยันได้ว่านางคือใคร
ซูหนานอีผงะไปครู่หนึ่งแล้วจึงยิ้มออกมาว่า "เจ้าเดินผ่านดงดอกไม้มากมาย จะมิมีใบไม้ใดติดตัวเจ้าบ้างเลยหรือ?"
ในความทรงจำของนาง เซี่ยหล่านนั้นอ่อนโยนดุจดั่งคุณชายที่มิอาจมีผู้ใดเทียบได้
แต่เขาก็มีสิ่งที่ชื่นชอบนั่นคือความงามของหญิงสาว
เขาเป็นแขกประจำในหอเจียงหนาน
ดวงตาของเซี่ยหล่านหยุดนิ่งลง จากนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย "มือเจ้าหนักนัก ข้าจะให้คนอื่นเห็นบาดแผลที่เจ้าทำได้อย่างไรเล่า?"
ซูหนานอีขมวดเลิกคิ้ว "เชอะ! นั่นก็เป็นเพราะช่วยชีวิตเจ้ามิใช่หรือ?"
"อืม รู้อยู่ว่าข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้า"
เซี่ยหล่านแผดเสียงออกมาช่วงหนึ่ง จากนั้นก็ทำน้ำเสียงอ่อนลง อ่อนโยนกว่าปกติเสียด้วยซ้ำ "ผู้ช่วยชีวิตข้า ต่อให้เจ้ามิเอ่ยอันใดออกมา เพียงแค่มองตาเจ้า ข้าก็จำเจ้าได้"
เขาจิบชาด้วยมือสั่นเล็กน้อย "เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ช่างดีเหลือเกิน!"