ฟีนิกซ์นิพพาน-จอมนางสะท้านพิภพ - ตอนที่ 12 เจ้ามิมีสิทธิ์
ณ จวนซู……
เรือนหว่านจวิน เป็นเรือนส่วนตัวของคุณหนูใหญ่แห่งจวนซูซูหนานอี พื้นที่มิได้กว้างขวางมากนัก ภายในมีห้องพักจำนวนสามห้อง และห้องด้านข้างอีกหนึ่งห้อง นอกจากนี้ยังมีห้องหนังสือและห้องครัวขนาดเล็กแต่มีอุปกรณ์ครบครันอีกด้วย
ในลานบัดนี้เต็มไปด้วยดอกมู่หลานที่ซูหนานอีชื่นชอบ เนื่องจากเพิ่งผ่านฤดูดอกไม้บานไปมินาน ดอกมู่หลานเหล่านั้นจึงร่วงโรยสู่พื้น มิน่าเชยชมเท่าไรนัก
จวนซูมิใหญ่โตเท่าไร แต่นับว่าเป็นดาวรุ่ง มินานนักหลังจากที่ย้ายมายังเมืองซินเยว่และเริ่มทำการค้าขาย หากมิใช่เพราะจวนอ๋องเป่ยลี้ ตระกูลซูคงมิมีใครรู้จัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อจวนเทียนยังมีอยู่นั้น ใครก็ตามที่กล่าวถึงคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลซูล้วนกล่าวว่านางนั้นงดงามยิ่งนัก แต่มิมีใครรู้จักนามที่แท้จริงของนาง ได้แต่เรียกขานว่าคุณหนูซูเท่านั้น
นามจริงของนางนั้น มีเพียงเขาผู้นั้นที่เรียกได้
"เจ้าว่า บัดนี้เป็นเดือนหกของปีเกิงซวีแล้วงั้นหรือ?"
ซูหนานอีขมวดคิ้ว แค่พริบตาเดียวเวลาผ่านไปสามเดือนแล้วหรือนี่?
สาวรับใช้ตัวเล็กๆที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนามว่าเสี่ยวเถา ดูเหมือนว่ายังเด็กเหลือเกิน อายุมิน่าเกินสิบสามสิบสี่ นางก็ได้พยักหน้าอย่างว่าง่าย
"คุณหนู เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ? มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่เจ้าคะ?"
ซูหนานอีส่ายหน้า "มิมีอะไรหรอก เจ้าไปที่ครัวและช่วยทำอาหารมาให้ข้าสักหน่อย มิต้องรีบร้อน ข้าอยากจะอยู่เงียบๆสักพัก"
เสี่ยวเถาพยักหน้าแล้วรีบวิ่งออกไป
นางวิ่งเหยาะๆออกไปทันที
เมื่อมองตามหลังท่าทางรีบร้อนเช่นนั้น ปากของซูหนานอีก็เผยอขึ้นเล็กน้อย นางกล่าวอะไรมิออก
เมื่อได้อยู่อย่างสงบเพียงลำพังแล้ว นางจึงจัดเรียงสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างเต็มที่
นาง ได้เกิดใหม่อีกครั้ง
แม้นางจะมิรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่บัดนี้ดูเหมือนว่านางจะกำลังครอบครองร่างของคนอื่นและใช้ชีวิตใหม่ในรูปแบบของคนอีกคน
เมื่อมองไปยังกระจกพบกับใบหน้าเรียวงามอันมิคุ้นเคยนี้ซูหนานอีก็ยกมือขึ้นโดยมิรู้ตัวและลูบไล้ไปมา
ใบหน้าเรียวงามที่สะท้อนออกมาจากในกระจกสีทองแดงนั้น ดูเหมือนสาวน้อยอายุเพียงสิบห้าสิบหกปี เป็นช่วงเวลาอันงดงามที่สุดสำหรับสตรี
ผิวพรรณผ่องใส ขาวสะอาด เรียบเนียน ถึงแม้ใบหน้านี้ดูเหมือนจะยังเติบโตมิเต็มที่ แต่ก็ยังสดใสสวยงาม โดยเฉพาะดวงตาดุจนกฟีนิกซ์คู่นั้นซึ่งวิจิตรงดงามแฝงไปด้วยความเย็นชาอันเป็นเอกลักษณ์
"ในเมืองซินเยว่เล็กๆนี้ คาดมิถึงจริงว่าจะมีคนที่มีชื่อแซ่เดียวกับข้า คาดว่าคงเป็นเพราะโชคชะตาทำให้เป็นเช่นนี้ ข้าขอโทษ ข้าคงยืมร่างของเจ้าใช้ไปก่อน"
"จากนี้ไป ข้าจะมีชีวิตอยู่แทนเจ้าเอง"
ณ เวลานั้น จู่ๆก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากในลาน ซึ่งมันได้ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากนั้นสายลมก็ได้พัดพากลิ่นหอมลอยเข้ามาด้านใน
กลิ่นหอมนั้นทำให้ซูหนานอีขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
"ท่านพี่ อยู่ด้านในหรือไม่? วันนี้ข้าตั้งใจจะมาขอโทษท่านพี่จากใจจริง ข้าหวังว่าท่านพี่จะยินยอมออกมาพบข้า"
ประโยคก่อนหน้าเอ่ยถามนางว่าอยู่หรือไม่ แต่หลังจากนั้นก็เรียกร้องให้นางออกไปพบด้านนอก เห็นได้ชัดว่าผู้มาเยือนรู้ว่านางอยู่ด้านใน
ซูหนานอียกกระโปรงยาวของนางขึ้นแล้วก้าวขาออกไปทางประตู นางพบว่าในลานบ้านนั้นมีซูหว่านเอ้อร์ยืนอยู่พร้อมกับสาวรับใช้อีกสองคน
นางได้เปลี่ยนเสื้อผ้าและจัดแต่งทรงผมใหม่แล้ว ดูไปเหมือนเด็กสาวอายุเพียงสิบสามสิบสี่ปี ตัวเล็กน่ารัก แต่ดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
ซูหนานอีเลิกคิ้วเล็กน้อย "เจ้าอิจฉาข้าเพราะข้าเป็นคู่หมั้นของท่านอ๋องเป่ยลี้งั้นหรือ?"
ซูหว่านเอ้อร์คาดมิถึงว่านางจะกล่าวออกมาตรงๆเช่นนั้น ใบหน้าของนางแข็งทื่อ จากนั้นจึงกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า "ข้าหาได้เป็นเช่นนั้นไม่!"
"เดิมทีนี่ก็คือสิ่งที่ข้ามิต้องการ ในเมื่อท่านพี่สนใจกับสิ่งไร้ค่าเหล่านั้น ข้ามอบให้ท่านพี่จะเป็นไรไป"
"ก็เพียงคนบ้าเท่านั้น อาจมีเพียงท่านพี่ที่เห็นค่า และพยายาม……"
ดวงตาของซูหนานอีเยือกเย็นลงทันที
วินาทีต่อมา แม้แต่ซูหว่านเอ้อร์เองก็มิรู้ว่านางทำได้อย่างไร เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าซูหนานอียืนอยู่ตรงหน้านางแล้ว
มืออันเรียวงามของนางจับเข้าให้ที่คอของซูหว่านเอ้อร์อย่างแรงโดยมิลดละ
"เจ้ามิมีสิทธิ์กล่าวถึงเขาเช่นนั้น"
ขณะนั้น ซูหว่านเอ้อร์ซึ่งถูกยกแขวนคอเอาไว้จึงมิสามารถกล่าวสิ่งใดออกมาได้แม้แต่คำเดียว สาวรับใช้ทั้งสองที่อยู่ข้างๆต่างพากันตกอกตกใจกับรังสีอันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ออกมาจากร่างซูหนานอี