พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - ตอนที่ 422 เตรียมรบกับพวกข้าได้เลย!
บทที่ 422 เตรียมรบกับพวกข้าได้เลย!
หลังจากผ่านไปกว่า 50 ปีที่จ้าวเหมิงลู่บ่มเพาะปราณกระบี่ในร่างของนางและนางก็ส่งมันไปหล่อเลี้ยงกระบี่ชิวฮง จนทำให้กระบี่ชิวฮงในตอนนี้ขาดแค่เพียงพลังแห่งกฎสวรรค์อีกเพียงแค่เล็กน้อย มันก็จะกลายเป็นอาวุธวิเศษระดับสวรรค์
ส่วนการโจมตีของจ้าวเหมิงลู่เมื่อครู่นั้นก็คือปราณกระบี่ทั้งหมดที่นางใช้เวลา 50 ปีสั่งสมเข้าไปในกระบี่ชิวฮงของนางเพื่อโจมตีด้วยกระบี่นั้น
ซึ่งถ้านางยังไม่สามารถทำลายทักษะอาณาเขตสวรรค์ของฝั่งตรงข้ามได้ มันก็คงเป็นเรื่องที่น่าตลกเกินไป เพราะว่าวิชาที่นางใช้คือหนึ่งในวิชาของชุดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ ซึ่งมันก็คือเป็นวิชากระบี่อันดับหนึ่งของโลก
และสิ่งที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อนางฟันกระบี่ออกไป จ้าวเหมิงลู่ก็รู้สึกได้ทันทีว่าระดับต่อไปของขอบเขตประสานทะเลปราณที่นางไม่เคยรู้สึกได้มาก่อนนั้นจู่ ๆ นางก็สัมผัสมันได้อย่างชัดเจน และวินาทีถัดมาระดับการบ่มเพาะของนางก็บรรลุขึ้นไปที่ขอบเขตประสานทะเลระดับ 13 ทันที
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหลิงตู้ฉิงจึงต้องการให้นางสั่งสมพลังเอาไว้อย่างต่อเนื่อง ที่แท้เขาก็ต้องการให้นางฝ่าไปถึงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 13 ได้นั่นเอง
และตอนนี้นางก็ทำสำเร็จแล้ว
อย่างไรก็ตามผลข้างเคียงของการใช้เผยคมสะบั้นก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน เนื่องจากหลังจากใช้มันเพียงครั้งเดียว นางก็สภาพที่จะสามารถสู้ต่อได้อีก
ส่วนทางด้านของหลิงฟ่างหัวที่แต่เดิมเมื่อครู่ต้องการที่จะดุพี่สองของนาง แต่เมื่อนางตระหนักได้ว่าสภาพของจ้าวเหมิงลู่ในตอนนี้อ่อนแอราวกับคนหมดแรง นางก็รีบพยุงจ้าวเหมิงลู่ทันที
เมื่อหลิงว่านถิงเห็นภาพนี้ นางก็ช่วยรีบพยุงจ้าวเหมิงลู่ไว้ด้วยเช่นกันและถามว่า “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไหม?”
“ข้าไม่เป็นอะไร!” จ้าวเหมิงลู่ยิ้มอย่างอ่อนแรง “เฟ่ยเอ๋อ ข้าปล่อยที่เหลือให้เจ้าจัดการนะ”
เหลียงเฟ่ยเอ๋อพยักหน้าพูดอย่างมั่นใจว่า “แม้ว่าข้าจะโจมตีพวกมันไม่ได้ แต่พวกมันก็ทำอะไรข้าไม่ได้!”
หลังจากพูดจบ นางก็หยิบเอาเหรียญตราผนึกสวรรค์ขึ้นมาในมือของนาง และเปิดใช้งานมันทันทีพร้อมกับพูดกับหลิงฉุยฟง “ลุงสาม จับพวกมัน!”
เมื่อเหลียงเฟ่ยเอ๋อเปิดใช้งานเหรียญตราผนึกสวรรค์ ระดับการบ่มเพาะของทุกคนในรัศมี 100 เมตรก็ถูกผนึกจนเหลืออยู่แค่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 12 ทันที ซึ่งผลของมันนั้นยังกระทบไปถึงโจวจื่อซิน หลิงฉุยฟงและทหารของเขาก็ถูกผนึกไปด้วย
หลิงฉุยฟงและทหารของเขาที่เคยฝึกซ้อมการต่อสู้แบบนี้กับเหลียงเฟ่ยเอ๋อมาก่อนหน้านี้แล้วพวกเขาจึงรู้สึกชินชากับความรู้สึกถูกผนึกแบบนี้ไปแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้สนใจอะไรกับการผนึกระดับการบ่มเพาะนี้เลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันพวกเขารีบพุ่งตัวเข้าไปปะทะกับบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญอย่างดุดันแทน
ส่วนทางด้านของหยูเฉิงฮุยและบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญ ที่รู้สึกได้ว่าระดับการบ่มเพาะของพวกเขานั้นถูกผนึก พวกเขาก็เริ่มที่จะกังวลกันอย่างหนัก ซึ่งพวกเขาทุกคนต่างก็ลองที่จะใช้ทักษะอาณาเขตสวรรค์ของตัวเอง แต่ก็พบว่ามันใช้ไม่ได้เช่นกัน
“ฝ่าบาท สิ่งของในมือผู้หญิงคนนั้นมันจะต้องเป็นสมบัติวิเศษที่ผนึกระดับการบ่มเพาะของพวกเราได้แน่นอน!” ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญคนหนึ่งตะโกน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของหยูเฉิงฮุยสว่างขึ้นทันที สมบัติที่สามารถผนึกระดับการบ่มเพาะ ผู้หญิงที่สามารถทำลายอาณาเขตสวรรค์ได้ ร่างกายแก่นแท้ปฐพีและดอกไม้ฟื้นชีพ… สิ่งเหล่านี้เมื่อมาอยู่รวมกันในที่เดียวแบบนี้ มันเริ่มทำให้เขารู้สึกว่าที่นี่มันแปลกประหลาดเกินไป
ทันใดนั้นในขณะที่หยูเฉิงฮุยกำลังครุ่นคิด เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นมาจากหนึ่งในกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญ ซึ่งในตอนนี้เขากำลังถูกฉีกร่างโดยหลิงฉุยฟงและทหารของเขา ส่งผลให้ผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นตายคาที่
ถึงแม้ว่าภายในทะเลชางหมาง หลิงฉุยฟงและทหารของเขาจะสำแดงอำนาจของพวกเขาเองได้ที่ระดับสวรรค์สามัญเท่านั้น
แต่ด้วยการสนับสนุนของค่ายกลรบของพวกเขานั้น ในเวลาที่พวกเขารวมร่างกันพวกเขาจะมีอำนาจเท่ากับผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญ 5 คนภายในร่างเดียว ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยในการสังหารผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญสักคนในเวลาสั้น ๆ
เมื่อเสร็จจากเป้าหมายแรก หลิงฉุยฟงและทหารของเขาก็พุ่งเข้าหาผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญคนที่สองทันที ซึ่งหลังจากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปได้เพียงช่วงสั้น ๆ หลิงฉุยฟงและทหารของเขาที่รวมร่างกันเป็นสัตว์ประหลาดก็ได้ไล่ฆ่าผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญไปแล้วถึง 3 คน
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญที่เหลือก็หน้าซีดด้วยความกลัวและพูดกับหยูเฉิงฮุย “ฝ่าบาท ดูเหมือนว่าเราคงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องถอยแล้ว!”
เมื่อเห็นว่าพวกเขาคงไม่สามารถเอาชนะหลิงฉุยฟงได้ พวกเขาจึงต้องการที่ถอยทันที เพราะพวกเขารู้ดีว่าถ้าไม่ถอยตอนนี้ พวกเขาจะไม่มีวันรอดไปจากที่นี่แน่นอน
หยูเฉิงฮุยมองไปยังผู้คนของตระกูลหลิงด้วยสายตาครุ่นคิด จากนั้นเขาจึงพูดกับคนของเขาอย่างไม่เต็มใจ “ถอนตัว!”
“ถอนตัวงั้นเหรอ? เจ้าคิดว่าอาณาจักรจันทราของข้าเป็นที่ที่เจ้าสามารถไปมาได้ตามที่เจ้าต้องการงั้นเหรอไง?” เสียงอันเย็นชาของหลิงยี่เทียนดังขึ้น “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว พวกเจ้าทุกคนก็ควรอยู่ต่อให้ข้าได้ต้อนรับพวกเจ้าให้สาสมสักหน่อยก่อนจะดีกว่า!”
เมื่อสิ้นเสียง ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญ 18 คนก็ปรากฏตัวขึ้นจากทุกทิศทุกทาง ปิดทางหนีกลุ่มของหยูเฉิงฮุยไว้ทั้งหมด
หลิงยี่เทียนพูดว่า “หยูเฉิงฮุย อันที่จริงข้ารู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้ามานานแล้ว แต่เหตุผลที่ข้าไม่ได้วุ่นวายกับเจ้า นั่นก็เพราะว่าข้าต้องการจะดูว่าเจ้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับพี่สองของข้า แต่แล้วไม่เพียงแต่เจ้าจะทำร้ายจิตใจพี่สองของข้า เจ้ายังกล้ามารังควานคนอื่น ๆ ในครอบครัวของข้าอีก! ดังนั้นเจ้าต้องอยู่ที่นี่ต่อรอให้พ่อของข้ากลับมาตัดสินชะตาของเจ้าว่าเจ้าจะอยู่หรือจะตาย!”
ด้วยการมาถึงของหลิงยี่เทียน สีหน้าของหยูเฉิงฮุยก็ซีดเซียวลงทันที เขางุนงงเป็นอย่างมากว่าอาณาจักรจันทรามีรากฐานที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ยังไง? และผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญของอาณาจักรจันทราไม่ได้เดินออกไปอยู่แนวหน้าของกองทัพหมดแล้วไม่ใช่งั้นเหรอ?
“ท่านลุงสาม พอแค่นี้ก่อน!” เหลียงเฟ่ยเอ๋อตะโกนขึ้น “พวกเราต้องจับเป็นพวกเขาที่เหลือ”
หลังจากที่ได้ยินเหลียงเฟ่ยเอ๋อ กองทัพของหลิงฉุยฟงก็หยุดมือทันที จากนั้นพวกเขาก็จ้องเขม็งไปที่ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญ 5 คนและหยูเฉิงฮุยที่เหลืออยู่
ในตอนนี้หลิงว่านถิงได้พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “น้องหก ท่านแม่ ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ข้าไม่อยากจะเห็นหน้าพวกเขาต่อไปอีกแล้ว ข้า…”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางตกหลุมรัก แม้ว่านางจะรู้ว่าหยูเฉิงฮุยมีเจตนาอื่น แต่นางก็ยังทนไม่ได้ที่จะให้หยูเฉิงฮุยและคนของเขารั้งอยู่ที่นี่ต่อ
นางรู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่พ่อของนางกลับมา เขาจะต้องตาย
นางไม่อยากเห็นหยูเฉิงฮุยตาย
“ไอ้พี่โง่! บ้าเอ๊ย ท่านต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ!” หลิงฟ่างหัวตะโกน
พี่ของนางยังคงอ้อนวอนเพื่อคนเน่า ๆ ผู้นี้ได้ยังไง? นางยังคงเห็นไอ้คนต่ำช้านี่มันดีได้ยังไง?
จ้าวเหมิงลู่และเหลียงเฟ่ยเอ๋อฝืนยิ้ม ขณะที่พวกนางมองไปที่หลิงว่านถิง ซึ่งดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาและปลอบใจนางว่า “แม่เข้าใจแล้ว เอาล่ะหยุดร้องไห้ได้แล้ว ยี่เทียนปล่อยพวกเขาไปก่อนเถอะ!”
หลิงยี่เทียนมองไปที่หยูเฉิงฮุยด้วยสาตารังเกียจ จากนั้นเขามองไปที่หลิงว่านถิงและพูดว่า “เพื่อเห็นแก่พี่สองของข้า ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป! แต่หลังจากที่พวกเจ้ากลับไป จงเตรียมตัวรับมือกับกวาดถูกกวาดล้างโดยกองทัพของข้าได้เลย! เอาล่ะไสหัวไปได้แล้ว!”
ภายใต้คำสั่งของหลิงยี่เทียน ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญที่ปิดล้อมกลุ่มของหยูเฉิงฮุยอยู่ก็เปิดทางให้
หยูเฉิงฮุยยังคงเงียบ เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้ทำพลาดอะไรไปบางอย่าง และเมื่อพิจารณาจากการแสดงออกของคนเหล่านี้แล้วมันดูเหมือนว่าคนพวกนี้ไม่สนใจเลยว่าพวกเขาจะเป็นใครและยิ่งใหญ่มาจากไหน คนพวกนี้เลือกที่จะให้ความสำคัญกับความรู้สึกของหลิงว่านถิงมากกว่าการจับตัวพวกเขาเอาไว้เพื่อใช้เป็นเครื่องต่อรองทางการเมืองหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งในสายตาของเขาที่มาจากราชวงศ์ การกระทำเช่นนี้เขาไม่เคยเห็นมันเกิดขึ้นในราชวงศ์ไหนเลยด้วยซ้ำ
จู่ ๆ เขาก็รู้สึกอิจฉาครอบครัวเช่นนี้ และก็น่าเสียดายที่พวกเขานั้นเป็นศัตรูกัน
เมื่อครุ่นคิดอยู่สักพัก หยูเฉิงฮุยก็ตัดสินใจและพูดกับหลิงยี่เทียน “ขอบพระทัยฝ่าบาท แต่เมื่อไหร่ที่เราพบกันในสนามรบ ข้าจะไม่แสดงความเมตตาใด ๆ ต่อท่านแบบที่ท่านทำกับข้าหรอกนะ”
หลิงยี่เทียนเย้ยหยัน “พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์แสดงความเมตตาต่อข้า มีแต่ข้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์แสดงความเมตตาต่อพวกเจ้า!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยูเฉิงฮุยก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เขานำผู้เชี่ยวชาญที่เหลือมากับเขาและทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าบินไปยังอาณาจักรหลงซาน
หลิงยี่เทียนไม่แม้แต่จะมองไปที่หยูเฉิงฮุยและคนของเขาที่บินจากไป เขาเดินไปหาหลิงว่านถิงด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “พี่สองไม่ต้องเสียใจ ข้าปล่อยพวกเขาไปแล้ว แต่ถ้าท่านต้องการแต่งงานจริง ๆ ให้ข้าช่วยท่านเลือกหาอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดจากทั่วโลกมาให้ท่านเลือกดีไหม?”
หลิงว่านถิงเอาแต่น้ำตาซึมและไม่อยากคุย
เมื่อเห็นเช่นนี้ เหลียงเฟ่ยเอ๋อกอดหลิงว่านถิงเอาไว้และปลอบนาง “เอาล่ะหยุดร้องไห้ได้แล้ว พวกเรากลับคฤหาสน์กันก่อนเถอะ”
หลิงฟ่างหัวที่โกรธจนแทบหัวระเบิด เมื่อนางเห็นว่าพี่สาวของนางต้องเป็นทุกข์ขนาดนี้ นางจึงส่งข้อความทางโทรจิตไปยังหลิงไช่หยุนว่า “ในอนาคตเราต้องจับตาดูพี่สองเอาไว้ให้ดี อย่าให้ใครมาหลอกนางได้อีก และถ้าหากมีผู้ชายหน้าไหนกล้าเข้าใกล้นางอีกเมื่อไหร่ เราต้องทำให้ไอ้พวกผู้ชายเหล่านั้นมันหายไปอย่างเงียบ ๆ”
หลิงไช่หยุนพยักหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว “ข้าจะเผาพวกมันให้เป็นจุณให้หมด!”
ในระหว่างที่พี่น้องทั้งสองวางแผนฆาตกรรมผู้คนจำนวนมากในอนาคต ในที่สุดพวกเขาก็ได้กลับมาถึงคฤหาสน์สราญรมย์
ซึ่งเมื่อพวกเขากลับไปถึงที่คฤหาสน์สราญรมย์ ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้เห็นร่างของกระทิงที่มีไฟลุกท่วมพุ่งเข้ามาที่คฤหาสน์เช่นกัน
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลิงฟ่างหัวก็รีบตะโกนทันที “ท่านพ่อกลับมาแล้ว!”
แต่ก่อนที่หลิงตู้ฉิงจะทันลงจากรถม้า หลิงฟ่างหัวก็หายตัวผ่านมิติมาปรากฎกายอยู่ด้านข้างหลิงตู้ฉิงและพูดว่า “ท่านพ่อ! ท่านกลับมาก็ดีแล้ว พี่สองพึ่งถูกไอ้ผู้ชายเลวหลอกลวงมา เอ๊ะ ทำไมถึงมีคนตามท่านกลับมาด้วยเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้?”
หลิงตู้ฉิงลูบหัวของหลิงฟ่างหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม “ไว้พ่อจะแนะนำให้เจ้ารู้จักสมาชิกใหม่ของครอบครัวเรา ว่าแต่เมื่อครู่เจ้าบอกว่า ว่านถิงถูกหลอก? เกิดอะไรขึ้นกับนาง?”
ขณะที่หลิงตู้ฉิงพูด เขาก็นำหลิงฟ่างหัวออกจากรถม้า