พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸) - ตอนที่ 140 ความร่วมมือ[รีไรท์]
บทที่ 140 ความร่วมมือ[รีไรท์]
ในขณะที่หลิงตู้ฉิงกำลังยุ่งกับการชี้แนะบรรดานักศึกษาในศาลาศักดิ์สิทธิ์
มี่ตั้วตั้วกำลังเจรจากับหลิงเจิ้งสงและจ้าวปาเทียนที่คฤหาสน์ของเขาเอง
“แม่ทัพหลิง อธิการบดีจ้าว ที่ข้าเชิญพวกท่านมาที่นี่ในวันนี้เพราะข้ามีเรื่องที่เกี่ยวกับการค้าจะมาเสนอท่านทั้งสอง” มี่ตั้วตั้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเชื่อว่าพวกท่านทั้งสองคงได้ยินข่าวลือมามากมายเกี่ยวกับการประมูลของข้าที่กำลังจะจัดขึ้นแล้ว ดังนั้นข้าจึงอยากบอกความจริงกับพวกท่านว่าข่าวลือทั้งหมดเหล่านั้นล้วนเป็นความจริง และ เหตุผลที่ข้าเรียกพวกท่านทั้งสองมาในวันนี้เป็นเพราะข้าต้องการให้พวกท่านร่วมลงทุนการค้าโอสถเหล่านี้กับข้า พวกท่านต้องรู้ไว้ก่อนว่าโอสถเหล่านี้เป็นโอสถที่ทางตระกูลมี่ของเราได้แลกเปลี่ยนพวกมันมาจากปรมาจารย์หลิง ด้วยความสัมพันธ์ที่พวกท่านมีต่อเขาข้าจึงอยากจะดึงพวกท่านให้เข้ามาแบ่งปันผลประโยชน์นี้กับข้าด้วย พวกท่านคิดว่ายังไง?”
หลิงเจิ้งสงถามว่า “แล้วท่านจะให้พวกเราร่วมมือกันอย่างไร?”
จ้าวปาเทียนพูดต่อ “เขาให้สูตรโอสถที่ว่านั้นกับท่านจริง ๆ งั้นเหรอ? ข้าขอดูได้ไหม?”
มี่ตั้วตั้วหัวเราะ “ท่านอธิการบดีจ้าว อย่าเพิ่งรีบร้อนเดี๋ยวท่านจะได้เห็นมันแน่นอน ส่วนการร่วมมือนั้นคือ การร่วมมือในการขายโอสถกำเนิดรากฐานนั่นแหละ ข้าพูดได้อย่างมั่นใจว่าเมื่อโอสถกำเนิดรากฐานเปิดตัวออกมาแล้ว มันจะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อหอการค้าทั้งหลายที่ไม่มีโอสถกำเนิดรากฐานจำหน่าย แต่ถ้าหากว่าหอการค้าไหนที่มีมันหอการค้านั้นจะได้รับประโยชน์มากมายจากสถานการณ์นี้”
“และสิ่งที่ข้าจะมอบให้พวกท่านก็คือ ข้าสามารถขายโอสถให้พวกท่านได้ในราคาครึ่งหนึ่งของราคาตลาด เมื่อถึงเวลาเราสามารถร่วมกันจำหน่ายและร่ำรวยไปด้วยกัน อย่างไรก็ตามข้าเองก็มีข้อแม้ในการร่วมลงทุนของเรานั่นคือพวกท่านทั้งสองตระกูลจะต้องลงทุนเงินก้อนแรก เพื่อเป็นเงินค่าธรรมเนียมสำหรับการร่วมลงทุนกับข้าในครั้งนี้สักหน่อย”
“แม้ว่าข้ากับพวกท่านจะนับว่าพวกเราเป็นคนกันเอง แต่ในเรื่องการทำการค้า ข้าคงจำเป็นจะต้องใช้หลักการเดียวกับที่ข้าใช้กับผู้อื่นในการทำการค้ากับพวกท่าน หวังว่าพวกท่านคงจะไม่ตำหนิข้าที่ทำเช่นนี้ เอาล่ะเชิญพวกท่านทั้งสองตัดสินใจได้ แต่ถ้าหากพวกท่านมีข้อเสนอแนะหรือต้องการโต้งแย้งใด ๆ พวกท่านสามารถพูดกับข้าได้ตรง ๆ ได้เลย”
ตอนนี้ตระกูลมี่ไม่มีเงินทองร่ำรวยเหมือนเมื่อก่อน ดังนั้นมี่ตั้วตั้วจึงต้องหาเงินทุนเพิ่มเติมเข้ามาอย่างเร่งด่วน และกลุ่มผู้ร่วมทุนที่เขาไว้ใจมากที่สุดในตอนนี้ก็ไม่พ้นที่จะเป็นตระกูลจ้าวและตระกูลหลิงที่มีความสัมพันธ์กับหลิงตู้ฉิงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“พวกข้าต้องจ่ายค่าเข้าร่วมเท่าไหร่?” หลิงเจิ้งสงถาม
หลิงเจิ้งสงถามออกไปตรง ๆ เขาไม่ต้องการพูดอะไรให้อ้อมค้อม เนื่องจากแค่เขาได้ยินว่าหลิงตู้ฉิงเป็นผู้มีเอี่ยวในโอสถนี้ เขารู้ได้ทันทีว่าการค้าครั้งนี้ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน
“ค่าเข้าร่วม 30 ล้าน และนอกจากโอสถกำเนิดรากฐานที่ตระกูลของเราหลอมขึ้นมาเอง มันจะมีโอสถกำเนิดรากฐานบางส่วนที่ปรามาจารย์หลิงหลอมพวกมันขึ้นมาเองและพวกมันทั้งหมดเป็นโอสถคุณภาพสูงสุดทั้งหมด”
“ส่วนฤทธิ์ของโอสถที่ปรมาจารย์หลิงหลอมออกมานั้นได้ถูกทดสอบผโดยหญิงสาวที่อยู่ข้างกายของเขาหลิวเฟ่ยเฟ่ยเรียบร้อย ในตอนแรกนางเป็นเพียงคนธรรมดาแต่หลังจากกินโอสถกำเนิดรากฐานที่ปรมาจารย์หลิงหลอมเข้าไป ในตอนนี้นางมีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับเหนือชั้น เอาล่ะถ้าพวกท่านตกลง ข้าขอให้พวกท่านจ่ายค่าเข้าร่วมเป็นเหรียญทองทั้งหมดภายในวันพรุ่งนี้” มี่ตั้วตั้วตอบกลับ
เมื่อฟังจบดวงตาของจ้าวปาเทียนและหลิงเจิ้งสงเปล่งประกายอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาต่างพูดขึ้นพร้อมกัน “เราต้องการส่วนหนึ่งของโอสถกำเนิดรากฐานคุณสูงสุดเหล่านั้นด้วย!”
มี่ตั้วตั้วพยักหน้าและตอบกลับ “ข้าเชื่อว่าพวกท่านทั้งคู่คงรู้ดีว่าโอสถกำเนิดรากฐานชุดที่ปรมาจารย์หลิงหลอมด้วยตัวเองนี้มีค่ามหาศาลแค่ไหน ดังนั้นหากพวกท่านต้องการได้มัน ข้าคงต้องหักเงินของพวกท่านคนละ 20 ล้านเหรียญทองหลังจากแบ่งกำไรในการขายโอสถทั้งหมดเมื่อการประมูลจบ”
หลิงเจิ้งสงหัวเราะ “ไม่มีปัญหา ส่วนเรื่องเงินลงทุนก้อนแรกข้าจะให้ท่านในตอนนี้เลย แต่นอกเหนือจากเรื่องเงินแล้ว ข้าคงไม่สามารถช่วยท่านแก้ปัญหาในเรื่องของผู้คนที่จะมาก่อกวนท่านหลังจากนี้ได้ โอสถนี้ถึงแม้จะทำให้ท่านร่ำรวยขึ้นแต่มันจะดึงปัญหามาให้ท่านอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นเช่นกัน”
จ้าวปาเทียนกล่าวเสริมต่อว่า “เรื่องเงินข้าจะให้ท่านเลยตอนนี้เช่นกัน ส่วนเรื่องปัญหาที่จะตามมา หากท่านมีปัญหากับพวกผู้เชี่ยวชาญที่ระดับไม่สูงไปกว่าข้า ข้าเองสามารถออกหน้าให้ท่านได้ แต่ถ้านอกเหนือไปจากนั้น ท่านเองก็คงต้องหาทางเอาตัวรอดด้วยตัวเองเช่นกัน”
มี่ตั้วตั้วยิ้มด้วยความยินดี “งั้นก็เป็นอันตกลงตามนี้ แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอให้พวกท่านช่วยอีกอย่างคือ หลังจากที่พวกท่านนำโอสถกำเนิดรากฐานคุณภาพสูงสุดกลับไปใช้แล้ว พวกท่านต้องช่วยข้ากระพือข่าวของมันออกไปอีก ข้าต้องการให้เหล่าผู้คนที่กำลังตามข่าวของโอสถนี้บ้าคลั่งขึ้นไปมากกว่าเดิม!”
หลังจากคุยกันเสร็จพวกเขาทั้งสามจึงได้ทำการแลกเปลี่ยนกัน มี่ตั้วตั้วได้มอบโอสถกำเนิดรากฐานที่หลิงตู้ฉิงเป็นคนหลอมให้กับ หลิงเจิ้งสงและจ้าวปาเทียนคนละ 5 เม็ด ส่วนหลิงเจิ้งสงและจ้าวปาเทียนก็มอบเหรียญทองคนละ 30 ล้านให้กับมี่ตั้วตั้ว จากนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายกันจากไป
เมื่อเห็นว่าทุกคนจากไปแล้ว และตอนนี้มี่ตั้วตั้วอยู่คนเดียวภายในห้องทำงาน เขาจึงหยิบเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ออกมาและพูดอย่างเคารพ “ด้วยเหรียญทองคำ 60 ล้านเหรียญ ผู้อาวุโสโปรดส่งคนมาจัดการปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตระกูลมี่ของข้าด้วยเถิด…”
หลังจากนั้นมี่ตั้วตั้วก็เริ่มเล่าให้เจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ฟังเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ตระกูลมี่ของเขาต้องเผชิญ หลังจากนั้นไม่นานเสียงแผ่วเบาก็ดังขึ้นออกมาจากเจดีย์ “เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เราทำธุรกิจกัน ข้าจะลดราคาให้เจ้า แต่รอบหน้าเงินแค่ 60 ล้านเหรียญทองจะไม่พออีกต่อไป จงเรียกหาข้าอีกครั้งเมื่อเจ้าต้องการให้ข้าส่งคนไป!”
“ขอบคุณผู้อาวุโส!” มี่ตั้วตั้วพูดด้วยความเคารพ จากนั้นเขาจึงเก็บเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์กลับเข้าไปในร่างกายตามเดิม
มี่ตั้วตั้วตระหนักได้ว่า ตอนนี้เขาต้องการหาเงินอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเหรียญทองหรือแม้แต่เหรียญคริสตัลหรือสมบัติระดับสูงก็ได้ทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่สามารถใช้เจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ได้ในครั้งหน้า
ในขณะเดียวกับที่มี่ตั้วตั้วพูดคุยกับเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์เสร็จ หลิงตู้ฉิงที่อยู่ในศาลาศักดิ์สิทธิ์ก็รู้สึกได้ เขาคิดว่ามันน่าสนใจเป็นอย่างมาก
หลิงตู้ฉิงไม่คาดคิดว่าสมบัติวิเศษที่เขาสร้างให้มี่ตั้วตั้วจะกลายเป็นสมบัติที่มีความสามารถแปลกประหลาดได้ขนาดนี้หลังจากที่ให้มันหลอมรวมเข้ากับร่างของมี่ตั้วตั้ว
ถ้ามี่ตั้วตั้วสามารถผ่านพ้นหายนะที่กำลังจะบังเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ได้ โชคชะตาของตระกูลมี่ทั้งหมดจะกลับตาลปัตรกลายเป็นรุ่งโรจน์ไร้ขีดจำกัดทันที และแน่นอนยิ่งตระกูลมี่รุ่งโรจน์มากเท่าไหร่หลิงตู้ฉิงก็จะได้รับประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น
เมื่อคิดถึงเรื่องของมี่ตั้วตั้วจบ หลิงตู้ฉิงตอนนี้เขาเริ่มทำสมาธิคิดถึงวิธีการบ่มเพาะร่างกายของตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม หลังจากใช้เวลาทั้งวันจนถึงบ่ายในที่สุดเขาก็คิดวิธีที่เหมาะสมกับเขาในตอนนี้ออก
“ตอนนี้ร่างกายของข้ายังอ่อนแอเกินไปหากจะใช้วิธีอื่น อันดับแรกข้าต้องหลอม โอสถแก่นธาตุวารี เพื่อบำรุงร่างกายนี้ก่อน”
เมื่อหลิงตู้ฉิงเริ่มหลอมโอสถ หวงยี่เฟยก็รู้สึกได้ทันทีถึงกลิ่นของสมุนไพรที่ลอยอยู่ในอากาศ เขารีบวิ่งยังต้นตอของกลิ่น และเมื่อเห็นผู้หลอมเป็นหลิงตู้ฉิง เขาจึงรีบลงไปนั่งข้างหลิงตู้ฉิง เพื่อศึกษาวิธีการหลอมโอสถของหลิงตู้ฉิงอย่างตั้งใจ
หลิงตู้ฉิงไม่ได้ให้ความสนใจกับการปรากฎตัวของหวงยี่เฟย เขาโยนสมุนไพรทุกชนิดและส่วนผสมแปลก ๆ ต่าง ๆ ที่เขาได้มาจากบรรดาผู้อาวุโสและอาจารย์ของสถาบันลงในเตาเผา
หวงยี่เฟยมองไปยังบรรดาส่วนผสมที่แปลก ๆ เหล่านั้นด้วยสาตาสงสัย เขาต้องการถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาไม่สามารถขัดจังหวะการหลอมโอสถของหลิงตู้ฉิงได้และทำได้เพียงเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
การหลอมโอสถของหลิงตู้ฉิงคราวนี้ช้ากว่าความเร็วในการหลอมโอสถดาราประสาน บ่งบอกว่าการหลอมโอสถนี้ยากเพียงใด หลิงตู้ฉิงนั่งหลอมโอสถอยู่ในศาลาศักดิ์จนถึงช่วงเย็น ซึ่งเป็นเวลาใกล้กับที่เขาพาทุกคนกลับคฤหาสน์อยู่เป็นประจำทุกวัน
เมื่อใกล้จะถึงเวลากลับคฤหาสน์ โอสถแก่นธาตุวารีก็สำเร็จในที่สุด หลิงตู้ฉิงรีบนำโอสถออกมาจากเตา จากนั้นเขากลืนมันลงไปทันที
ทันทีที่หลิงตู้ฉิงกลืนโอสถแก่นธาตุวารี ไอน้ำจำนวนมากก็เริ่มละเหยออกจากร่างกายของเขา ไอน้ำที่ระเหยออกมาเหล่านี้มันช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกในร่างกายของหลิงตู้ฉิงที่ยังคงตกค้างอยู่ออกมาจนหมด และในขณะเดียวกันหลิงตู้ฉิงได้ดูดซับพลังของ โอสถแก่นธาตุวารี ส่วนหนึ่งไปหลอมรวมเข้ากับแอ่งทะเลปราณที่ยังไม่ถูกเติมพลังวิญญาณเข้าไปให้รากฐานของมันบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น
หลังจากที่หลิงตู้ฉิงกลืนโอสถแก่นธาตุวารีไปได้สักพัก ไอน้ำที่ระเหยออกมาเป็นจำนวนมากก็เริ่มควบแน่นหมุนวนรอบตัวเขา จนกลายเป็นภาพเสมือนกับหลิงตู้ฉิงถูกกักขังด้วยมวลน้ำขนาดใหญ่อยู่ด้านใน
บรรดาทุกคนที่เห็นภาพนี้ พวกเขาต่างกังวลกับสถานการณ์ของหลิงตู้ฉิง โดยเฉพาะบรรดาเด็ก ๆ ที่รีบวิ่งไปเรียกโม่หยูถังและเสี่ยวเยว่เฟิงให้วิ่งเข้ามาดูพ่อของพวกเขา
“ท่านปู่โม่ ท่านพ่อเขาเป็นอะไร?” หลิงยู่ชานถามขึ้น
โม่หยูถังขมวดคิ้วมองไปยังหลิงตู้ฉิงและพูดขึ้น “นายน้อย นายท่านน่าจะกำลังบ่มเพาะอยู่ ส่วนวิธีการบ่มเพาะแบบนี้ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันคืออะไร แต่ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าเชื่อว่าคนอย่างนายท่านนั้นไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายแก่ตัวเองหรอก”
เมื่อได้ยินที่โม่หยูถังพูดจบ บรรดาเด็ก ๆ ก็ยังไม่หายกังวลใจ พวกเขาจึงนั่งเฝ้าดูพ่อของพวกเขาอย่างเงียบ ๆ
หลิงตู้ฉิงใช้เวลากว่า 2 ชั่วยามในการดูดซับพลังของโอสถแก่นธาตุวารี เมื่อเขาลืมตาขึ้น บรรยากาศภายนอกศาลาศักดิ์สิทธิ์ก็มืดลงเรียบร้อย
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรรึเปล่า?” บรรดาเด็ก ๆ ที่เห็นหลิงตู้ฉิงลืมตาแล้วจึงรีบเข้ามาถามด้วยสายตาเป็นห่วง
หลิงตู้ฉิงยิ้มให้กับลูก ๆ ของเขาและตอบว่า “พ่อจะเป็นอะไรไปได้ยังไง พ่อแค่ฝึกร่างกายโดยการใช้โอสถที่เกี่ยวกับธาตุน้ำเท่านั้นเอง”
ในกระบวนการดูดซับพลังของโอสถแก่นธาตุวารี หลิงตู้ฉิงได้ใช้เคล็ดวิชาฝนฤดูใบไม้ผลิในการดูดซับพลังของมันและทวนวิชาเพื่อขับของเสียออกจากร่าง จนในตอนนี้จากผลของโอสถที่เขาได้ดูดซับเข้าไปส่งผลให้ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาเพียงอย่างเดียวเพิ่มขึ้นไปหลายเท่าตัว
“ท่านพ่อ ทำไมข้ารู้สึกว่าผิวของท่านขาวขึ้นแถมยังกระจ่างใสกว่าเดิมอีกด้วยล่ะ มันเป็นผลมาจากโอสถนั่นรึเปล่า ท่านหลอมมันให้ข้าสักเม็ดบ้างได้ไหมท่านพ่อ?” หลิงว่านถิงถามด้วยสายตาเปล่งประกาย
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและตอบว่า “ไป พวกเรากลับคฤหาสน์กันเถอะ ส่วนโอสถนี้ พวกเจ้ายังไม่พร้อมที่จะใช้มันเท่าไหร่ เอาเป็นว่าในอนาคตเมื่อร่างกายพวกเจ้าพร้อมแล้วพ่อจะหลอมพวกมันให้กับพวกเจ้าทุกคนอีกครั้งก็แล้วกัน”
หลังจากนั้นทุกคนจึงพากันขึ้นรถม้า และมุ่งตรงกับไปยังคฤหาสน์สราญรมย์ทันที
ในอีกด้านหนึ่ง หลูหลิง ผู้ที่เหมือนจะเป็นบุคคลที่ซวยที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้ เขากำลังเดินโซซัดโซเซอยู่ในซอยมืดเพียงลำพัง
เขากำลังสาปแช่งกับชะตาชีวิตของเขาที่ตอนเมื่อเช้า เขายังเป็นนักศึกษาในศาลาศักดิ์สิทธิ์อันทรงเกียรติ เป็นที่นับหน้าถือตาแก่ผู้คนทั่วไป แต่ในเวลานี้สภาพของเขาสะบักบอมเต็มไปด้วยรอยแผล เนื้อตัวสกปรก เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งไม่ต่างจากขอทานข้างถนนคนหนึ่ง