พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่3 ผู้บังคับบัญชาต้องการไล่คุณออก
บทที่3 ผู้บังคับบัญชาต้องการไล่คุณออก
ลู่เฉินเพิ่งอยากจะบอกว่าเขาได้เงินมามากพอแล้วและเขาจะไม่ปล่อยให้หลินอี้จุนต้องลำบากอีกในอนาคต
แต่เขายังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา หลินอี้จุนก็มองไปที่เขาอย่างไม่แยแส
“ลู่เฉินคุณไปไหนมา เมื่อกี้โรงพยาบาลมาขอให้เราจ่ายค่ารักษาพยาบาลอีกครั้ง ถ้าผู้อำนวยการฟ่านหมิงไม่จ่ายเงินให้เราก่อน ฉีฉีจะไม่สามารถรักษาต่อไปได้! ” เมื่อเห็นลู่เฉินกลับมาหลินอี้จุนก็พูดด้วยอารมณ์โกรธ
เธอมองไปที่ลู่เฉิน แววตานั้นแฝงไปด้วยความผิดหวัง
ถึงแม้เป็นเวลาแบบนี้ ลู่เฉินยังวิ่งออกไปเพราะศักดิ์ศรีของเขา เขาดูเหมือนไม่สนใจลูกสาวสักนิด เธอคงตาบอดไปจริงๆ ที่ตกหลุมรักผู้ชายคนนี้
“แม่คะ ก่อนหน้านี้หนูอยากกินเค้ก พ่อก็เลยออกไปซื้อให้ค่ะ พ่อก็เหนื่อยเหมือนกัน” เมื่อเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันอีกครั้งฉีฉีก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน
ลู่เฉินรู้สึกโกรธเล็กน้อยในตอนแรก แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของลูกสาว ความโกรธในดวงตาของเขาก็หายไปทันที เขาลูบศีรษะของฉีฉีอย่างอ่อนโยนและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉีฉี พ่อไม่เป็นไร พ่อไม่เหนื่อยนะครับคนเก่ง พ่อจะหาไขกระดูกที่ตรงกับหนูแล้วฉีฉีตัวน้อยที่น่ารักของเราจะหายและออกจากโรงพยาบาลได้เร็วๆ นี้ ”
“พ่อคะ จริงเหรอคะ?” ฉีฉีถามอย่างมีความสุข
“พ่อไม่เคยโกหกลูกใช่ไหม” ลู่เฉินพยักหน้าอย่างแน่วแน่
“ดีใจจังเลยค่ะ ฉีฉีจะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เย้ๆ ! แม่คะ ดูสิ หนูบอกแล้วว่าพ่อเป็นคนมีความสามารถ หนูไม่ได้โกหกแม่จริงๆ นะ” ฉีฉียิ้มอย่างมีความสุขและมองไปที่หลินอี้จุน
หลินอี้จุนมองไปในดวงตาของลูกสาวและรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ
แต่สายตาที่มองลู่เฉินกลับเยือกเย็น
ลูกสาวของเราอยู่ในอาการสาหัสและค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมากจนน่าใจหาย ด้วยความสามารถของลู่เฉิน เธอจะออกจากโรงพยาบาลในเวลาอันสั้นได้อย่างไร?
ในความคิดของเธอลู่เฉินก็แค่กำลังปลอบใจฉีฉีเท่านั้น!
ถ้าผ่านไปสักพักแล้วเขายังรักษาสัญญาไม่ได้ มาดูกันว่าเขาจะอธิบายให้ลูกสาวฟังได้อย่างไร!
“อี้จุน คุณอย่าไปเชื่อเรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะลู่เฉินบอกว่าออกไปยืมเงินแต่ยืมได้ เขาไม่อยากทำให้ฉีฉีผิดหวังเลยต้องพูดแบบนี้”
“ลู่เฉิน แม้ว่าคุณจะไม่สามารถยืมเงินได้ แต่ฉันได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลของฉีฉีให้คุณแล้ว และฉีฉีตอนนี้ก็เรียกฉันว่าลุงด้วย” ฟ่านหมิงมองไปที่ลู่เฉินด้วยความเย้ยหยันดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความดูถูก
ลู่เฉินลุกขึ้นอย่างช้าๆ หลังจากได้ยินคำนั้น แววตาเยือกเย็นของเขามองไปที่ฟ่านหมิง
เมื่อเห็นลู่เฉินจ้องมองฟ่านหมิงด้วยใบหน้าที่เย็นชา หลินอี้จุนก็ขมวดคิ้วและดุว่า “ลู่เฉินคุณกำลังทำอะไรอยู่! ถ้าผู้อำนวยการฟ่านหมิงไม่จ่ายค่ารักษาพยาบาลสามแสนให้กับเรา ฉีฉีก็ไม่สามารถทำการรักษาต่อไปได้ คุณรีบขอโทษเขาเดี๋ยวนี้นะคะ! ”
“ทำไมผมต้องขอโทษเขาด้วย เงินสามแสนผมก็มี” ลู่เฉินพูดอย่างเย็นชา
“คุณมีเงินสามแสนหยวนงั้นเหรอ?” ฟ่านหมิงหัวเราะเยาะเย้ยถากถางออกมา
ลู่เฉินเป็นเพียงพนักงานรักษาความปลอดภัยธรรมดาๆ ของบริษัท เขาไม่เชื่อว่าจะมีใครให้เขายืมเงินมากมายขนาดนี้
ใบหน้าของหลินอี้จุนนั้นเย็นชา และสายตาที่จ้องมองไปที่ลู่เฉินก็รู้สึกรังเกียจมากขึ้นเรื่อย ๆ
ลู่เฉินหันหน้าไปมองฟ่านหมิงโดยไม่พูดอะไร เขาเปิดกระเป๋าเดินทางสีดำออกมา ธนบัตรสีแดงปึกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าฟ่านหมิง
“นี่คือเงินสามแสนหยวน เอาไปซะ!” น้ำเสียงของลู่เฉินเย็นชา เขารู้ดีว่าฟ่านหมิงคิดจะทำอะไร แน่นอนตอนนี้เขาจะไม่เคารพฟ่านหมิงอีกต่อไป
เมื่อฟ่านหมิงเห็นกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเงินสดมากมาย เขาก็ตกตะลึง
เขาไม่คาดคิดว่าลู่เฉินที่เป็นเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยธรรมดาๆ จะไปหยิบยืมเงินสามแสนมาได้ทันทีที่เขาออกไปได้สักพัก
ใครจะใจดียอมให้ยามธรรมดาๆ ยืมเงินตั้งสามแสนหยวนกัน? เงินเดือนขอพวกเขาไม่กี่พันหยวนเท่านั้น
หลินอี้จุนเองก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน เงินเดือนต่อเดือนของลู่เฉินนั้นน้อยมาก เธอแทบจะนึกไม่ออกว่าลู่เฉินไปยืมเงินมากขนาดนี้มาจากไหน
“คุณยืมเงินนี้มาจากไหน หยิบยืมพวกฉลามรึเปล่า?” หลังจากที่หลินอี้จุนได้สติกลับคืนมา เธอจ้องไปที่ลู่เฉินอย่างโกรธแค้น
สถานการณ์ในตอนนี้ก็ลำบากมากพอแล้ว หากลู่เฉินไปกู้เงินนอกระบบมา อาจทำให้ครอบครัวของเธอต้องพังพินาศแน่ๆ !
ลู่เฉินไม่ตอบหลินอี้จุน แต่มองไปที่ฟ่านหมิงอย่างเฉยเมย “เก็บเงินแล้วออกไปจากที่นี่ซะ!”
ฟ่านหมิงยังไม่ออกไปในทันที เขามองไปที่ลู่เฉินด้วยสีหน้าเย้ยหยัน บอกตามตรงว่าเงินสามแสนไม่ได้ผลกระทบสำหรับเขา เหตุผลที่เขาต้องรอให้ลู่เฉินกลับมาก็เพื่อให้หลินอี้จุนเห็นชัดเจนว่า ผู้ชายของเธอไม่ต่างอะไรกับขยะ!
แต่เขาไม่คาดคิดว่าลู่เฉินจะไปยืมเงินมาได้ ทำให้เขาประหลาดใจและไม่พอใจยิ่งนัก
แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของหลินอี้จุน ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะสนับสนุนให้หลินอี้จุนและลู่เฉินหย่าร้างกัน
“ลู่เฉิน แกไปกู้เงินนอกระบบมาเหรอ? แกไม่รู้หรือไงว่าสิ่งนี้จะทำลายครอบครัวของแกและอี้จุน” ฟ่านหมิงมองไปที่ลู่เฉินพร้อมกับยิ้มเยาะ
“ไร้สาระ!” ลู่เฉินตะคอกอย่างเย็นชาแล้วคว้าคอเสื้อฟ่านหมิงและลากเขาออกไป
“แก……ปล่อยนะ! ” ฟ่านหมิงสะดุ้ง เขาไม่คาดคิดว่าพลังของลู่เฉินจะแข็งแกร่งขนาดนี้
หลินอี้จุนรู้สึกตกใจกับการกระทำของลู่เฉิน แต่เมื่อเธอได้สติกลับคืนมาลู่เฉินก็ลากตัวฟ่านหมิงออกไปเสียแล้ว
“ถ้าแกยังมีหน้ามาที่นี่อีก ฉันคงต้องส่งแกไปนอนโรงพยาบาลสักสองสามคืนแล้วละ” ลู่เฉินพูดอย่างเย็นชา เขาผลักฟ่านหมิงลงกับพื้นและโยนกระเป๋าเดินทางใส่เขา
“ลู่เฉิน! คุณบ้าไปแล้วหรือไง?รีบขอโทษผู้อำนวยการฟ่านหมิงเดี๋ยวนี้นะคะ! ” หลินอี้จุนวิ่งตามออกมา
ฟ่านหมิงลุกขึ้นจากพื้นแล้วมองไปที่ลู่เฉิน เขาหัวเราะเยาะว่า “ลู่เฉิน คุณเก่งมาก พรุ่งนี้เจอกันที่บริษัทนะ! ”
หลังจากพูดจบเขาก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาและเดินจากไป ในใจพยายามคิดหาวิธีจัดการลู่เฉินที่บริษัทในวันพรุ่งนี้
“ผู้อำนวยการฟ่าน……” หลินอี้จุนอยากขอโทษเขา แต่สุดท้ายก็ได้แต่คิด ไม่ได้พูดออกไป
เธอหันไปมองลู่เฉินด้วยใบหน้าเย็นชา “ลู่เฉิน คุณจะทำตัวหยาบคายแบบนี้ไม่ได้นะ เขาช่วยพวกเราไว้ ถ้าคุณไม่ขอบคุณผู้อำนวยการฟ่านหมิง คุณก็ไม่ควรทำกับเขาแบบนั้นนี่! คุณยังมีความเป็นมนุษย์ไหม??”
ลู่เฉินหันไปมองหลินอี้จุนด้วยแววตาโกรธเคือง “ผมไม่ต้องการให้เขาช่วย แต่คุณยังยืมเงินจากเขา คุณไม่รู้หรือว่าเขาคิดยังไงกับคุณ? ”
หลินอี้จุนผงะและพูดอย่างโกรธๆ ว่า “ลู่เฉิน คุณหมายความว่ายังไง? คุณคิดว่าฉันจะให้โอกาสเขาเหรอ? ถ้าเราไม่จ่ายค่ารักษาพยาบาล โรงพยาบาลจะหยุดให้ยาฉีฉี ถ้าคุณสามารถยืมเงินได้ก่อนหน้านี้ฉันจะขอยืมจากเขาไหม? คุณไม่รู้ว่าฉันเหนื่อยมาก!”
หลินอี้จุนโกรธมาก ถ้าไม่ใช่เพราะสภาพลูกสาวของเธอที่เป็นแบบนี้หรือถ้าไม่ใช่เพราะลู่เฉินพึ่งพาไม่ได้ เธอจะไปยืมเงินจากผู้ชายที่เธอเกลียดไหม? เธอจะพูดคุยกับเขาไหม?
ลู่เฉินมองไปที่หลินอี้จุนแล้วพูดว่า “คุณอยู่กับฉีฉีก่อนนะ ผมจะออกไปข้างนอกแป๊บเดียว”
“คุณจะไปไหน? เงินที่คุณยืมมามีดอกเบี้ยหรือเปล่า?” หลินอี้จุนถาม
“ไม่ ผมยืมมาจากเพื่อน ” ลู่เฉินพูดพลางหันหนีไป เขาไม่ต้องการพูดอะไรมากกว่านี้
ช่วงนี้ทั้งสองทะเลาะกันบ่อยและเขาก็เริ่มรู้สึกรำคาญนิดหน่อยแล้วด้วย
เขาอยากอยู่คนเดียว!
ในตอนแรกเขาต้องการบอกความจริงกับหลินอี้จุน แต่เมื่อดูท่าทีของหลินอี้จุนในวันนี้ เขาก็รู้สึกผิดหวังมากจริงๆ
……
ในวันรุ่งขึ้นลู่เฉินวางแผนจะไปที่บริษัทเพื่อลาออกจากงาน และออกมาดูแลลูกสาวของเขาในโรงพยาบาลอย่างสบายใจ เขาเชื่อว่าหากลู่จงช่วยเขา เขาจะพบไขกระดูกที่ตรงกับฉีฉีได้อย่างรวดเร็ว
อิเล็กทรอนิกส์ตองเจียเป็นบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ซึ่งส่วนมากผลิตและจำหน่ายช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์บนประตูกันขโมย
หลังจากที่ลู่เฉินล้มเหลวในการเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง เขามาที่นี่พร้อมกับหลินอี้จุนเพื่อสมัครเป็นพนักงานขาย แต่ฟ่านหมิงบอกว่าเขาไม่เก่งเรื่องฝีปาก จึงได้รับการแนะนำว่าให้ไปสมัครเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ต่อมาเขารู้ความจริงว่าฟ่านหมิงสนใจหลินอี้จุน และไม่ต้องการให้เขาอยู่ในแผนกขาย
อาคารตองเจียมีสิบชั้นและมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมด20คน ขอบเขตของงานส่วนใหญ่รวมถึงการลาดตระเวน เฝ้าประตู จอดรถและงานอีกบางอย่าง
“พี่เฉินครับ ลูกสาวพี่เป็นอย่างไรบ้าง” ทันทีที่ลู่เฉินมาถึงบริษัท เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตูก็ทักทายเขา
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนี้มีชื่อว่าเสี่ยวจิง เพิ่งกลับมาจากกองทัพเมื่อปีที่แล้วและยังหางานที่เหมาะสมกับเขาไม่ได้ จึงมาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่นี่ก่อน
เดิมทีเสี่ยวจิงเป็นชายหนุ่มที่บ้าคลั่งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขากลับมาจากกองทัพ อารมณ์ของเขาค่อนข้างร้อน ลู่เฉินมีเรื่องทะเลาะกับเขาเมื่อเขามาทำงานครั้งแรกและเขากำลังต้องการเอาชนะลู่เฉิน
แม้ว่าลู่เฉินจะไม่เคยเป็นทหาร แต่โชคดีที่เขาฝึกฝนด้านการต่อสู้และรักษาสุขภาพมาตั้งแต่ยังเด็ก และเมื่อพูดถึงการต่อสู้ก็ไม่มีใครกล้าสู้กับเขา
หลังจากผ่านไปไม่กี่หมัด เสี่ยวจิงก็ถูกลู่เฉินเหวี่ยงล้มลงกับพื้น
จากเหตุการณ์นั้นเสี่ยวจิงก็ชื่นชมลู่เฉินมากและมักเรียกลู่เฉินว่าลูกพี่เฉินเสมอ
“กำลังรอไขกระดูกที่เข้ากันได้และเข้ารับการผ่าตัด” ลู่เฉินกล่าว
เสี่ยวจิงพูดออกมาเบาๆ ว่า “พี่เฉิน ผมเห็นฟ่านหมิงกำลังตามหาหัวหน้างานหยู วันนี้ดูเหมือนทางบริษัทจะเตรียมแผนไล่พี่ออกไปนะ”
บทที่3 ผู้บังคับบัญชาต้องการไล่คุณออก
ลู่เฉินเพิ่งอยากจะบอกว่าเขาได้เงินมามากพอแล้วและเขาจะไม่ปล่อยให้หลินอี้จุนต้องลำบากอีกในอนาคต
แต่เขายังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา หลินอี้จุนก็มองไปที่เขาอย่างไม่แยแส
“ลู่เฉินคุณไปไหนมา เมื่อกี้โรงพยาบาลมาขอให้เราจ่ายค่ารักษาพยาบาลอีกครั้ง ถ้าผู้อำนวยการฟ่านหมิงไม่จ่ายเงินให้เราก่อน ฉีฉีจะไม่สามารถรักษาต่อไปได้! ” เมื่อเห็นลู่เฉินกลับมาหลินอี้จุนก็พูดด้วยอารมณ์โกรธ
เธอมองไปที่ลู่เฉิน แววตานั้นแฝงไปด้วยความผิดหวัง
ถึงแม้เป็นเวลาแบบนี้ ลู่เฉินยังวิ่งออกไปเพราะศักดิ์ศรีของเขา เขาดูเหมือนไม่สนใจลูกสาวสักนิด เธอคงตาบอดไปจริงๆ ที่ตกหลุมรักผู้ชายคนนี้
“แม่คะ ก่อนหน้านี้หนูอยากกินเค้ก พ่อก็เลยออกไปซื้อให้ค่ะ พ่อก็เหนื่อยเหมือนกัน” เมื่อเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันอีกครั้งฉีฉีก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน
ลู่เฉินรู้สึกโกรธเล็กน้อยในตอนแรก แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของลูกสาว ความโกรธในดวงตาของเขาก็หายไปทันที เขาลูบศีรษะของฉีฉีอย่างอ่อนโยนและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉีฉี พ่อไม่เป็นไร พ่อไม่เหนื่อยนะครับคนเก่ง พ่อจะหาไขกระดูกที่ตรงกับหนูแล้วฉีฉีตัวน้อยที่น่ารักของเราจะหายและออกจากโรงพยาบาลได้เร็วๆ นี้ ”
“พ่อคะ จริงเหรอคะ?” ฉีฉีถามอย่างมีความสุข
“พ่อไม่เคยโกหกลูกใช่ไหม” ลู่เฉินพยักหน้าอย่างแน่วแน่
“ดีใจจังเลยค่ะ ฉีฉีจะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เย้ๆ ! แม่คะ ดูสิ หนูบอกแล้วว่าพ่อเป็นคนมีความสามารถ หนูไม่ได้โกหกแม่จริงๆ นะ” ฉีฉียิ้มอย่างมีความสุขและมองไปที่หลินอี้จุน
หลินอี้จุนมองไปในดวงตาของลูกสาวและรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ
แต่สายตาที่มองลู่เฉินกลับเยือกเย็น
ลูกสาวของเราอยู่ในอาการสาหัสและค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมากจนน่าใจหาย ด้วยความสามารถของลู่เฉิน เธอจะออกจากโรงพยาบาลในเวลาอันสั้นได้อย่างไร?
ในความคิดของเธอลู่เฉินก็แค่กำลังปลอบใจฉีฉีเท่านั้น!
ถ้าผ่านไปสักพักแล้วเขายังรักษาสัญญาไม่ได้ มาดูกันว่าเขาจะอธิบายให้ลูกสาวฟังได้อย่างไร!
“อี้จุน คุณอย่าไปเชื่อเรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะลู่เฉินบอกว่าออกไปยืมเงินแต่ยืมได้ เขาไม่อยากทำให้ฉีฉีผิดหวังเลยต้องพูดแบบนี้”
“ลู่เฉิน แม้ว่าคุณจะไม่สามารถยืมเงินได้ แต่ฉันได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลของฉีฉีให้คุณแล้ว และฉีฉีตอนนี้ก็เรียกฉันว่าลุงด้วย” ฟ่านหมิงมองไปที่ลู่เฉินด้วยความเย้ยหยันดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความดูถูก
ลู่เฉินลุกขึ้นอย่างช้าๆ หลังจากได้ยินคำนั้น แววตาเยือกเย็นของเขามองไปที่ฟ่านหมิง
เมื่อเห็นลู่เฉินจ้องมองฟ่านหมิงด้วยใบหน้าที่เย็นชา หลินอี้จุนก็ขมวดคิ้วและดุว่า “ลู่เฉินคุณกำลังทำอะไรอยู่! ถ้าผู้อำนวยการฟ่านหมิงไม่จ่ายค่ารักษาพยาบาลสามแสนให้กับเรา ฉีฉีก็ไม่สามารถทำการรักษาต่อไปได้ คุณรีบขอโทษเขาเดี๋ยวนี้นะคะ! ”
“ทำไมผมต้องขอโทษเขาด้วย เงินสามแสนผมก็มี” ลู่เฉินพูดอย่างเย็นชา
“คุณมีเงินสามแสนหยวนงั้นเหรอ?” ฟ่านหมิงหัวเราะเยาะเย้ยถากถางออกมา
ลู่เฉินเป็นเพียงพนักงานรักษาความปลอดภัยธรรมดาๆ ของบริษัท เขาไม่เชื่อว่าจะมีใครให้เขายืมเงินมากมายขนาดนี้
ใบหน้าของหลินอี้จุนนั้นเย็นชา และสายตาที่จ้องมองไปที่ลู่เฉินก็รู้สึกรังเกียจมากขึ้นเรื่อย ๆ
ลู่เฉินหันหน้าไปมองฟ่านหมิงโดยไม่พูดอะไร เขาเปิดกระเป๋าเดินทางสีดำออกมา ธนบัตรสีแดงปึกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าฟ่านหมิง
“นี่คือเงินสามแสนหยวน เอาไปซะ!” น้ำเสียงของลู่เฉินเย็นชา เขารู้ดีว่าฟ่านหมิงคิดจะทำอะไร แน่นอนตอนนี้เขาจะไม่เคารพฟ่านหมิงอีกต่อไป
เมื่อฟ่านหมิงเห็นกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเงินสดมากมาย เขาก็ตกตะลึง
เขาไม่คาดคิดว่าลู่เฉินที่เป็นเพียงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยธรรมดาๆ จะไปหยิบยืมเงินสามแสนมาได้ทันทีที่เขาออกไปได้สักพัก
ใครจะใจดียอมให้ยามธรรมดาๆ ยืมเงินตั้งสามแสนหยวนกัน? เงินเดือนขอพวกเขาไม่กี่พันหยวนเท่านั้น
หลินอี้จุนเองก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน เงินเดือนต่อเดือนของลู่เฉินนั้นน้อยมาก เธอแทบจะนึกไม่ออกว่าลู่เฉินไปยืมเงินมากขนาดนี้มาจากไหน
“คุณยืมเงินนี้มาจากไหน หยิบยืมพวกฉลามรึเปล่า?” หลังจากที่หลินอี้จุนได้สติกลับคืนมา เธอจ้องไปที่ลู่เฉินอย่างโกรธแค้น
สถานการณ์ในตอนนี้ก็ลำบากมากพอแล้ว หากลู่เฉินไปกู้เงินนอกระบบมา อาจทำให้ครอบครัวของเธอต้องพังพินาศแน่ๆ !
ลู่เฉินไม่ตอบหลินอี้จุน แต่มองไปที่ฟ่านหมิงอย่างเฉยเมย “เก็บเงินแล้วออกไปจากที่นี่ซะ!”
ฟ่านหมิงยังไม่ออกไปในทันที เขามองไปที่ลู่เฉินด้วยสีหน้าเย้ยหยัน บอกตามตรงว่าเงินสามแสนไม่ได้ผลกระทบสำหรับเขา เหตุผลที่เขาต้องรอให้ลู่เฉินกลับมาก็เพื่อให้หลินอี้จุนเห็นชัดเจนว่า ผู้ชายของเธอไม่ต่างอะไรกับขยะ!
แต่เขาไม่คาดคิดว่าลู่เฉินจะไปยืมเงินมาได้ ทำให้เขาประหลาดใจและไม่พอใจยิ่งนัก
แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของหลินอี้จุน ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะสนับสนุนให้หลินอี้จุนและลู่เฉินหย่าร้างกัน
“ลู่เฉิน แกไปกู้เงินนอกระบบมาเหรอ? แกไม่รู้หรือไงว่าสิ่งนี้จะทำลายครอบครัวของแกและอี้จุน” ฟ่านหมิงมองไปที่ลู่เฉินพร้อมกับยิ้มเยาะ
“ไร้สาระ!” ลู่เฉินตะคอกอย่างเย็นชาแล้วคว้าคอเสื้อฟ่านหมิงและลากเขาออกไป
“แก……ปล่อยนะ! ” ฟ่านหมิงสะดุ้ง เขาไม่คาดคิดว่าพลังของลู่เฉินจะแข็งแกร่งขนาดนี้
หลินอี้จุนรู้สึกตกใจกับการกระทำของลู่เฉิน แต่เมื่อเธอได้สติกลับคืนมาลู่เฉินก็ลากตัวฟ่านหมิงออกไปเสียแล้ว
“ถ้าแกยังมีหน้ามาที่นี่อีก ฉันคงต้องส่งแกไปนอนโรงพยาบาลสักสองสามคืนแล้วละ” ลู่เฉินพูดอย่างเย็นชา เขาผลักฟ่านหมิงลงกับพื้นและโยนกระเป๋าเดินทางใส่เขา
“ลู่เฉิน! คุณบ้าไปแล้วหรือไง?รีบขอโทษผู้อำนวยการฟ่านหมิงเดี๋ยวนี้นะคะ! ” หลินอี้จุนวิ่งตามออกมา
ฟ่านหมิงลุกขึ้นจากพื้นแล้วมองไปที่ลู่เฉิน เขาหัวเราะเยาะว่า “ลู่เฉิน คุณเก่งมาก พรุ่งนี้เจอกันที่บริษัทนะ! ”
หลังจากพูดจบเขาก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาและเดินจากไป ในใจพยายามคิดหาวิธีจัดการลู่เฉินที่บริษัทในวันพรุ่งนี้
“ผู้อำนวยการฟ่าน……” หลินอี้จุนอยากขอโทษเขา แต่สุดท้ายก็ได้แต่คิด ไม่ได้พูดออกไป
เธอหันไปมองลู่เฉินด้วยใบหน้าเย็นชา “ลู่เฉิน คุณจะทำตัวหยาบคายแบบนี้ไม่ได้นะ เขาช่วยพวกเราไว้ ถ้าคุณไม่ขอบคุณผู้อำนวยการฟ่านหมิง คุณก็ไม่ควรทำกับเขาแบบนั้นนี่! คุณยังมีความเป็นมนุษย์ไหม??”
ลู่เฉินหันไปมองหลินอี้จุนด้วยแววตาโกรธเคือง “ผมไม่ต้องการให้เขาช่วย แต่คุณยังยืมเงินจากเขา คุณไม่รู้หรือว่าเขาคิดยังไงกับคุณ? ”
หลินอี้จุนผงะและพูดอย่างโกรธๆ ว่า “ลู่เฉิน คุณหมายความว่ายังไง? คุณคิดว่าฉันจะให้โอกาสเขาเหรอ? ถ้าเราไม่จ่ายค่ารักษาพยาบาล โรงพยาบาลจะหยุดให้ยาฉีฉี ถ้าคุณสามารถยืมเงินได้ก่อนหน้านี้ฉันจะขอยืมจากเขาไหม? คุณไม่รู้ว่าฉันเหนื่อยมาก!”
หลินอี้จุนโกรธมาก ถ้าไม่ใช่เพราะสภาพลูกสาวของเธอที่เป็นแบบนี้หรือถ้าไม่ใช่เพราะลู่เฉินพึ่งพาไม่ได้ เธอจะไปยืมเงินจากผู้ชายที่เธอเกลียดไหม? เธอจะพูดคุยกับเขาไหม?
ลู่เฉินมองไปที่หลินอี้จุนแล้วพูดว่า “คุณอยู่กับฉีฉีก่อนนะ ผมจะออกไปข้างนอกแป๊บเดียว”
“คุณจะไปไหน? เงินที่คุณยืมมามีดอกเบี้ยหรือเปล่า?” หลินอี้จุนถาม
“ไม่ ผมยืมมาจากเพื่อน ” ลู่เฉินพูดพลางหันหนีไป เขาไม่ต้องการพูดอะไรมากกว่านี้
ช่วงนี้ทั้งสองทะเลาะกันบ่อยและเขาก็เริ่มรู้สึกรำคาญนิดหน่อยแล้วด้วย
เขาอยากอยู่คนเดียว!
ในตอนแรกเขาต้องการบอกความจริงกับหลินอี้จุน แต่เมื่อดูท่าทีของหลินอี้จุนในวันนี้ เขาก็รู้สึกผิดหวังมากจริงๆ
……
ในวันรุ่งขึ้นลู่เฉินวางแผนจะไปที่บริษัทเพื่อลาออกจากงาน และออกมาดูแลลูกสาวของเขาในโรงพยาบาลอย่างสบายใจ เขาเชื่อว่าหากลู่จงช่วยเขา เขาจะพบไขกระดูกที่ตรงกับฉีฉีได้อย่างรวดเร็ว
อิเล็กทรอนิกส์ตองเจียเป็นบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ซึ่งส่วนมากผลิตและจำหน่ายช่องมองภาพอิเล็กทรอนิกส์บนประตูกันขโมย
หลังจากที่ลู่เฉินล้มเหลวในการเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง เขามาที่นี่พร้อมกับหลินอี้จุนเพื่อสมัครเป็นพนักงานขาย แต่ฟ่านหมิงบอกว่าเขาไม่เก่งเรื่องฝีปาก จึงได้รับการแนะนำว่าให้ไปสมัครเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ต่อมาเขารู้ความจริงว่าฟ่านหมิงสนใจหลินอี้จุน และไม่ต้องการให้เขาอยู่ในแผนกขาย
อาคารตองเจียมีสิบชั้นและมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมด20คน ขอบเขตของงานส่วนใหญ่รวมถึงการลาดตระเวน เฝ้าประตู จอดรถและงานอีกบางอย่าง
“พี่เฉินครับ ลูกสาวพี่เป็นอย่างไรบ้าง” ทันทีที่ลู่เฉินมาถึงบริษัท เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตูก็ทักทายเขา
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนี้มีชื่อว่าเสี่ยวจิง เพิ่งกลับมาจากกองทัพเมื่อปีที่แล้วและยังหางานที่เหมาะสมกับเขาไม่ได้ จึงมาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่นี่ก่อน
เดิมทีเสี่ยวจิงเป็นชายหนุ่มที่บ้าคลั่งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขากลับมาจากกองทัพ อารมณ์ของเขาค่อนข้างร้อน ลู่เฉินมีเรื่องทะเลาะกับเขาเมื่อเขามาทำงานครั้งแรกและเขากำลังต้องการเอาชนะลู่เฉิน
แม้ว่าลู่เฉินจะไม่เคยเป็นทหาร แต่โชคดีที่เขาฝึกฝนด้านการต่อสู้และรักษาสุขภาพมาตั้งแต่ยังเด็ก และเมื่อพูดถึงการต่อสู้ก็ไม่มีใครกล้าสู้กับเขา
หลังจากผ่านไปไม่กี่หมัด เสี่ยวจิงก็ถูกลู่เฉินเหวี่ยงล้มลงกับพื้น
จากเหตุการณ์นั้นเสี่ยวจิงก็ชื่นชมลู่เฉินมากและมักเรียกลู่เฉินว่าลูกพี่เฉินเสมอ
“กำลังรอไขกระดูกที่เข้ากันได้และเข้ารับการผ่าตัด” ลู่เฉินกล่าว
เสี่ยวจิงพูดออกมาเบาๆ ว่า “พี่เฉิน ผมเห็นฟ่านหมิงกำลังตามหาหัวหน้างานหยู วันนี้ดูเหมือนทางบริษัทจะเตรียมแผนไล่พี่ออกไปนะ”