พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่159 พบกับวังซิงอีกครั้ง
บทที่159 พบกับวังซิงอีกครั้ง
เมื่อต้าปอลั่งเห็นลู่เฉินเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับพวกเธอ แต่ละคนก็มีท่าทีทางกระสับกระส่าย แต่เมื่อคิดว่าลู่เฉินเดินมานั่งด้วยกัน ไม่ได้เดินเข้าไปด้านในพวกเขาก็ถอนหายใจออกมา
เพราะการที่ลู่เฉินไม่ได้เข้าไปด้านในก็หมายความว่าเขาไม่ใช่ผู้บริจาคเงินและไม่ใช่ตัวแทนจากบริษัทใดๆ
หรือเขาจะเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปจริงๆ? ต้าปอลั่งนึกอยู่ในใจ
“คุณลู่ครับ ผมขออนุญาตแนะนำหน่อย คนนี้ชื่อว่าเจียงเทา นี่คือเจียงฮาย นี่คือเจียงถิงและคนนี้คือเจียงหยู พวกเขาเป็นคนในตระกูลเจียง และเป็นเพื่อนของผมด้วย” หลอหยุนฮวยแนะนำพวกเขาต่อลู่เฉินทีละคน
เจียงเทาก็คือคนที่เยาะเย้ยถากถางลู่เฉินเป็นคนแรก เจียงฮายก็คือคนที่ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่นัก ส่วนเจียงถิงก็คือต้าปอลั่งนั่นเอง และเจียงหยูคือผู้หญิงผมสั้น
“เขาชื่อว่าลู่เฉิน เป็นเพื่อนผมเหมือนกัน” หลอหยุนฮวยแนะนำลู่เฉินให้พวกเขารู้จัก
“แหม โลกนี้มันแคบจริงๆ” ลู่เฉินมองไปที่พี่น้องตระกูลเจียงทั้งสี่และพูดจาถากถาง
สี่พี่น้องตระกูลเจียงทำท่าทำตัวไม่ถูก
“อ้าว! รู้จักกันมาก่อนเหรอครับ?”
“หลอหยุนฮวย เขาคนนี้เป็นใครกัน ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน” ต้าปอลั่งกระพริบตาและถามหลอหยุนฮวย
ในเมื่อลู่เฉินไม่ได้เข้าไปด้านในก็หมายความว่าตัวเขาเองก็ไม่มีความสามารถเท่าไหร่นัก
ในสมองของเจียงถิงก็นึกขึ้นมาได้ว่า รถหรูคันนั้นน่าจะเป็นเศรษฐินีคนใดคนหนึ่งมอบให้แก่ลู่เฉินแน่ๆ ที่ชายกลางคนคนนั้นพูดไปเมื่อสักครู่ น่าจะเป็นการให้เกียรติเขามากกว่า
เธอมองดูลู่เฉินแต่หัวจรดเท้าและพบว่าที่จริงลู่เฉินก็ไม่เลวเหมือนกัน รูปร่างจัดว่ากำยำและหน้าตาดูดี
หากลู่เฉินมีแม่ยกเป็นมหาเศรษฐีจริงๆแล้วละก็ การที่เขามาในสถานที่แห่งนี้ก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม
เนื่องจากคนประเภทนี้มาร่วมงานเลี้ยงใหญ่ๆ ก็มีวัตถุประสงค์เดียวกันคือเพื่อได้รู้จักกับผู้มีหน้ามีตาในสังคม
หากลู่เฉินรู้ว่าในสายตาต้าปอลั่งมองเขาเป็นคนอย่างไร เขาคงต้องกระอักเลือดตายแน่ๆ!!!
“ผมเหรอ ผมก็แค่ไอ้กระจอกคนหนึ่งเท่านั้นแหละ” ไม่รอให้หลอหยุนฮวยตอบออกมา ลู่เฉินกลับยิ้มและพูดเอง
ต้าปอลั่งไม่สนใจลู่เฉิน เธอกลับจ้องไปที่สายตาของหลอหยุนฮวย
“เอ่อ……ที่จริงแล้ว พี่……” หลอหยุนฮวยทำตัวไม่ถูก บอกตามตรงว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลู่เฉินเป็นใคร เขารู้เพียงแค่ว่าเซ่ซูเจี๋ยยังต้องยกแก้วดื่มให้ลู่เฉิน
และการที่เขาไปเชิญลู่เฉินมาเมื่อครู่ ก็เพียงแค่ต้องการยืมใช้บารมีเขาเท่านั้นเอง
เขารู้สึกว่าหากวันนี้ลู่เฉินนั่งอยู่โต๊ะเดียวกับเขา อีกสักประเดี๋ยวเซ่ซูเจี๋ยน่าจะออกมาดื่มกับลู่เฉินแน่ๆ และเมื่อถึงตอนนั้นทุกคนในโต๊ะก็จะอิจฉาเขา
ถึงแม้เขาและลู่เฉินจะไม่ได้เป็นเพื่อนกันจริงๆแต่คนอื่นๆก็คิดว่าเขาเป็นเพื่อนกัน
ส่วนเรื่องตัวตนที่แท้จริงของลู่เฉิน เขาเองก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมและไม่กล้าถาม
เพราะเขาเองก็กลัวว่าลู่เฉินจะโกรธ
“พี่ซิงคะ มานั่งที่นี่สิ”
ในขณะที่หลอหยุนฮวยกำลังคิดว่าจะตอบต้าปอลั่งอย่างไรดี ก็พบว่าวังซิงเดินมากับผู้หญิงรูปร่างหน้าตางดงามคนหนึ่ง ตาเขาเป็นประกายและรีบเดินหน้าขึ้นไปทักทาย
“คุณชายวัง!”
“สวัสดีค่ะคุณชายวัง!”
เมื่อสี่พี่น้องตระกูลเจียงมองเห็นวังซิงก็รีบลุกขึ้นยืนและกล่าวทักทาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้จักกับวังซิงมาก่อน
มองดูแล้วการมาของวังซิงทำให้หลายๆคนฮือฮาไม่น้อย
บ้านตระกูลวังเป็นอันดับที่สองในสี่ตระกูลใหญ่ และวังซิงเองก็เป็นถึงผู้สืบทอดตระกูลรุ่นต่อไป แน่นอนว่าชื่อเสียงของเขาไม่ได้น้อยไปกว่าคุณชายทั้งสี่คนอื่นๆเลย
และแน่นอนว่าข่าวทั่วไปของคุณชายคนอื่นล้วนเป็นข่าวในด้านดี ส่วนของวังซิงนั้นล้วนเป็นข่าวที่ทำให้พวกเขาต้องหวาดกลัว
วังซิงพยักหน้าตอบรับการทักทายของทั้งสี่คนนั้น และพาหญิงสาวเดินตรงเข้ามา
ทุกโต๊ะที่เขาเดินผ่านมาล้วนไม่มีใครกล้าเงยหน้ามองเขาอย่างจริงจังเพราะกลัวว่าเขาจะโมโห
“นั่งทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบลุกขึ้นมาทักทายคุณชายวังอีก” ต้าปอลั่งมองดูลู่เฉินและกระซิบพูด
ไม่ว่าลู่เฉินจะเป็นใคร แต่เมื่อวังซิงปรากฏตัวเช่นนี้สีพี่น้องตระกูลเจียงก็ไม่เห็นลู่เฉินอยู่ในสายตา
คนที่มีอำนาจมากกว่าวังซิงก็คงเป็นคุณชายอีกสามคนในสี่ตระกูลใหญ่แล้ว ลู่เฉินมองดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนหนึ่งในนั้น เขาคงเป็นได้เพียงพวกที่มองวังซิงจากที่ต่ำ
“เชอะ! แกคิดว่าแกเป็นใครกัน ก็แค่มีเศรษฐินีซื้อรถให้แกขับเท่านั้นเอง มีอะไรน่าอวดกัน ต่อหน้าคุณชายวังแล้วแกก็ไม่ต่างอะไรกับไอ้กระจอกหรอก” เจียงถิงเหล่ตามองไปที่ลู่เฉินแล้วพูดออกมา
“นั่นน่ะสิ ผมเองก็เป็นแค่ไอ้กระจอกคนหนึ่งแต่ก็คอยดูว่าวังซิงจะกล้าให้ผมไปทักทายเขาก่อนไหม?” ลู่เฉินพูดออกมาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
“คอยดูแล้วกัน!” เจียงถิงยิ้มอย่างเยือกเย็น คนที่กล้าทำตัวแบบนี้ต่อหน้าคุณชายวังจะมีจุดจบยังไงทุกคนรู้ดี
เมื่อเห็นเจียงถิงและลู่เฉินมีท่าทีแปลกๆต่อกัน หลอหยุนฮวยก็เริ่มสงสัยและทำตัวไม่ถูก เพราะทั้งสองคนล้วนเป็นคนรู้จักของเขา เขาไม่รู้จะพูดห้ามใครดี
“คุณชายวังคะ ไอ้กระจอกนี่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง และบอกว่าคุณไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำให้เขาลุกขึ้นมาทักทาย อวดเบ่งจริงๆ!”
เมื่อวังซิงมาถึง เจียงถิงก็เริ่มฟ้อง
สี่พี่น้องตระกูลเจียงมองไปที่ลู่เฉินด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ การที่ลู่เฉินไม่ต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขายิ่งทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดใจและตอนนี้ได้โอกาสใช้บารมีของวังซิงมาสั่งสอนลู่เฉินเสียหน่อย
“ไอ้กระจอก แกกล้าพูดถึงคุณชายวังลับหลัง แกตายแน่ๆวันนี้” เจียงถิงหัวเราะอย่างมีความสุข
“หึๆ!” วังซิงได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองทางลู่เฉิน และเมื่อพบว่าเป็นวังซิงสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที ในแววตานั้นแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น
ครั้งแรกที่งานจัดแสดงอัญมณีบ้านตระกูลจั่วนั้นเขาถูกลู่เฉินตบเข้าสองที
ครั้งที่สองในงานเลี้ยงครบรอบวันเกิดที่บ้านตระกูลเฉิน เขาก็เสียเงินให้กับลูกฉันไปถึง 700 ล้าน
และเงินที่เขาติดอยู่แน่นอนว่าจะไม่คืนแน่ๆ แต่ทุกครั้งที่เจอหน้าลู่เฉินเขาเองก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ อยากจะฆ่าลู่เฉินให้ตายเสียตรงนั้น!
“คุณชายวังคะ เขาคนนี้แหละค่ะ เมื่อสักครู่เขาพูดถึงคุณชายในเรื่องที่ไม่ดีด้วย” เจียงหยูเองก็รีบใส่ความเข้ามา
“คุณชายวังคะไอ้เจ้ากระจอกนี่มันช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริงๆ สั่งสอนมันหน่อยนะคะ”
ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาถูกลู่เฉินหักหน้าเข้าอย่างจัง พวกเขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่แล้วตอนนี้ต้องใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
สี่พี่น้องตระกูลเจียงไม่รู้มาก่อนว่าวังซิงและลู่เฉินมีความอาฆาตแค้นส่วนตัวมาก่อน พวกเขาคิดว่าหากวังซิงเป็นคนออกหน้าให้ ลู่เฉินเองก็ต้องกลัวจนหางตก
“พวกคุณอยากสั่งสอนเขาก็ทำด้วยตัวเองสิ!เกี่ยวอะไรกับผม” วังซิงพูดกับสี่พี่น้องตระกูลเจียงด้วยสายตานิ่งเรียบ เขามีความแค้นต่อลู่เฉินก็จริง แต่เขาไม่ได้โง่!
ลู่เฉินสามารถเอาชนะผู้มีความสามารถด้านการต่อสู้อย่างฮันเทียนได้เพียงหมัดเดียว ต่อให้เขาจะโกรธเกลียดลู่เฉินเพียงใด ก็ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับเขาตรงๆหรอก
บรรดาพี่น้องตระกูลเจียงก็พากันงงงวย
พวกเขาได้ยินวังซิงพูดอย่างนั้น นอกจากตกตะลึงแล้วยังไม่เข้าใจอีกว่าวังซิงหมายความว่าอะไร
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงไปมากกว่านั้นก็คือประโยคแรกที่ลู่เฉินพูดออกมากับวังซิง
บทที่159 พบกับวังซิงอีกครั้ง
เมื่อต้าปอลั่งเห็นลู่เฉินเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับพวกเธอ แต่ละคนก็มีท่าทีทางกระสับกระส่าย แต่เมื่อคิดว่าลู่เฉินเดินมานั่งด้วยกัน ไม่ได้เดินเข้าไปด้านในพวกเขาก็ถอนหายใจออกมา
เพราะการที่ลู่เฉินไม่ได้เข้าไปด้านในก็หมายความว่าเขาไม่ใช่ผู้บริจาคเงินและไม่ใช่ตัวแทนจากบริษัทใดๆ
หรือเขาจะเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปจริงๆ? ต้าปอลั่งนึกอยู่ในใจ
“คุณลู่ครับ ผมขออนุญาตแนะนำหน่อย คนนี้ชื่อว่าเจียงเทา นี่คือเจียงฮาย นี่คือเจียงถิงและคนนี้คือเจียงหยู พวกเขาเป็นคนในตระกูลเจียง และเป็นเพื่อนของผมด้วย” หลอหยุนฮวยแนะนำพวกเขาต่อลู่เฉินทีละคน
เจียงเทาก็คือคนที่เยาะเย้ยถากถางลู่เฉินเป็นคนแรก เจียงฮายก็คือคนที่ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่นัก ส่วนเจียงถิงก็คือต้าปอลั่งนั่นเอง และเจียงหยูคือผู้หญิงผมสั้น
“เขาชื่อว่าลู่เฉิน เป็นเพื่อนผมเหมือนกัน” หลอหยุนฮวยแนะนำลู่เฉินให้พวกเขารู้จัก
“แหม โลกนี้มันแคบจริงๆ” ลู่เฉินมองไปที่พี่น้องตระกูลเจียงทั้งสี่และพูดจาถากถาง
สี่พี่น้องตระกูลเจียงทำท่าทำตัวไม่ถูก
“อ้าว! รู้จักกันมาก่อนเหรอครับ?”
“หลอหยุนฮวย เขาคนนี้เป็นใครกัน ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน” ต้าปอลั่งกระพริบตาและถามหลอหยุนฮวย
ในเมื่อลู่เฉินไม่ได้เข้าไปด้านในก็หมายความว่าตัวเขาเองก็ไม่มีความสามารถเท่าไหร่นัก
ในสมองของเจียงถิงก็นึกขึ้นมาได้ว่า รถหรูคันนั้นน่าจะเป็นเศรษฐินีคนใดคนหนึ่งมอบให้แก่ลู่เฉินแน่ๆ ที่ชายกลางคนคนนั้นพูดไปเมื่อสักครู่ น่าจะเป็นการให้เกียรติเขามากกว่า
เธอมองดูลู่เฉินแต่หัวจรดเท้าและพบว่าที่จริงลู่เฉินก็ไม่เลวเหมือนกัน รูปร่างจัดว่ากำยำและหน้าตาดูดี
หากลู่เฉินมีแม่ยกเป็นมหาเศรษฐีจริงๆแล้วละก็ การที่เขามาในสถานที่แห่งนี้ก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม
เนื่องจากคนประเภทนี้มาร่วมงานเลี้ยงใหญ่ๆ ก็มีวัตถุประสงค์เดียวกันคือเพื่อได้รู้จักกับผู้มีหน้ามีตาในสังคม
หากลู่เฉินรู้ว่าในสายตาต้าปอลั่งมองเขาเป็นคนอย่างไร เขาคงต้องกระอักเลือดตายแน่ๆ!!!
“ผมเหรอ ผมก็แค่ไอ้กระจอกคนหนึ่งเท่านั้นแหละ” ไม่รอให้หลอหยุนฮวยตอบออกมา ลู่เฉินกลับยิ้มและพูดเอง
ต้าปอลั่งไม่สนใจลู่เฉิน เธอกลับจ้องไปที่สายตาของหลอหยุนฮวย
“เอ่อ……ที่จริงแล้ว พี่……” หลอหยุนฮวยทำตัวไม่ถูก บอกตามตรงว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลู่เฉินเป็นใคร เขารู้เพียงแค่ว่าเซ่ซูเจี๋ยยังต้องยกแก้วดื่มให้ลู่เฉิน
และการที่เขาไปเชิญลู่เฉินมาเมื่อครู่ ก็เพียงแค่ต้องการยืมใช้บารมีเขาเท่านั้นเอง
เขารู้สึกว่าหากวันนี้ลู่เฉินนั่งอยู่โต๊ะเดียวกับเขา อีกสักประเดี๋ยวเซ่ซูเจี๋ยน่าจะออกมาดื่มกับลู่เฉินแน่ๆ และเมื่อถึงตอนนั้นทุกคนในโต๊ะก็จะอิจฉาเขา
ถึงแม้เขาและลู่เฉินจะไม่ได้เป็นเพื่อนกันจริงๆแต่คนอื่นๆก็คิดว่าเขาเป็นเพื่อนกัน
ส่วนเรื่องตัวตนที่แท้จริงของลู่เฉิน เขาเองก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมและไม่กล้าถาม
เพราะเขาเองก็กลัวว่าลู่เฉินจะโกรธ
“พี่ซิงคะ มานั่งที่นี่สิ”
ในขณะที่หลอหยุนฮวยกำลังคิดว่าจะตอบต้าปอลั่งอย่างไรดี ก็พบว่าวังซิงเดินมากับผู้หญิงรูปร่างหน้าตางดงามคนหนึ่ง ตาเขาเป็นประกายและรีบเดินหน้าขึ้นไปทักทาย
“คุณชายวัง!”
“สวัสดีค่ะคุณชายวัง!”
เมื่อสี่พี่น้องตระกูลเจียงมองเห็นวังซิงก็รีบลุกขึ้นยืนและกล่าวทักทาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้จักกับวังซิงมาก่อน
มองดูแล้วการมาของวังซิงทำให้หลายๆคนฮือฮาไม่น้อย
บ้านตระกูลวังเป็นอันดับที่สองในสี่ตระกูลใหญ่ และวังซิงเองก็เป็นถึงผู้สืบทอดตระกูลรุ่นต่อไป แน่นอนว่าชื่อเสียงของเขาไม่ได้น้อยไปกว่าคุณชายทั้งสี่คนอื่นๆเลย
และแน่นอนว่าข่าวทั่วไปของคุณชายคนอื่นล้วนเป็นข่าวในด้านดี ส่วนของวังซิงนั้นล้วนเป็นข่าวที่ทำให้พวกเขาต้องหวาดกลัว
วังซิงพยักหน้าตอบรับการทักทายของทั้งสี่คนนั้น และพาหญิงสาวเดินตรงเข้ามา
ทุกโต๊ะที่เขาเดินผ่านมาล้วนไม่มีใครกล้าเงยหน้ามองเขาอย่างจริงจังเพราะกลัวว่าเขาจะโมโห
“นั่งทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบลุกขึ้นมาทักทายคุณชายวังอีก” ต้าปอลั่งมองดูลู่เฉินและกระซิบพูด
ไม่ว่าลู่เฉินจะเป็นใคร แต่เมื่อวังซิงปรากฏตัวเช่นนี้สีพี่น้องตระกูลเจียงก็ไม่เห็นลู่เฉินอยู่ในสายตา
คนที่มีอำนาจมากกว่าวังซิงก็คงเป็นคุณชายอีกสามคนในสี่ตระกูลใหญ่แล้ว ลู่เฉินมองดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนหนึ่งในนั้น เขาคงเป็นได้เพียงพวกที่มองวังซิงจากที่ต่ำ
“เชอะ! แกคิดว่าแกเป็นใครกัน ก็แค่มีเศรษฐินีซื้อรถให้แกขับเท่านั้นเอง มีอะไรน่าอวดกัน ต่อหน้าคุณชายวังแล้วแกก็ไม่ต่างอะไรกับไอ้กระจอกหรอก” เจียงถิงเหล่ตามองไปที่ลู่เฉินแล้วพูดออกมา
“นั่นน่ะสิ ผมเองก็เป็นแค่ไอ้กระจอกคนหนึ่งแต่ก็คอยดูว่าวังซิงจะกล้าให้ผมไปทักทายเขาก่อนไหม?” ลู่เฉินพูดออกมาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
“คอยดูแล้วกัน!” เจียงถิงยิ้มอย่างเยือกเย็น คนที่กล้าทำตัวแบบนี้ต่อหน้าคุณชายวังจะมีจุดจบยังไงทุกคนรู้ดี
เมื่อเห็นเจียงถิงและลู่เฉินมีท่าทีแปลกๆต่อกัน หลอหยุนฮวยก็เริ่มสงสัยและทำตัวไม่ถูก เพราะทั้งสองคนล้วนเป็นคนรู้จักของเขา เขาไม่รู้จะพูดห้ามใครดี
“คุณชายวังคะ ไอ้กระจอกนี่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง และบอกว่าคุณไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำให้เขาลุกขึ้นมาทักทาย อวดเบ่งจริงๆ!”
เมื่อวังซิงมาถึง เจียงถิงก็เริ่มฟ้อง
สี่พี่น้องตระกูลเจียงมองไปที่ลู่เฉินด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ การที่ลู่เฉินไม่ต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขายิ่งทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดใจและตอนนี้ได้โอกาสใช้บารมีของวังซิงมาสั่งสอนลู่เฉินเสียหน่อย
“ไอ้กระจอก แกกล้าพูดถึงคุณชายวังลับหลัง แกตายแน่ๆวันนี้” เจียงถิงหัวเราะอย่างมีความสุข
“หึๆ!” วังซิงได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองทางลู่เฉิน และเมื่อพบว่าเป็นวังซิงสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที ในแววตานั้นแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น
ครั้งแรกที่งานจัดแสดงอัญมณีบ้านตระกูลจั่วนั้นเขาถูกลู่เฉินตบเข้าสองที
ครั้งที่สองในงานเลี้ยงครบรอบวันเกิดที่บ้านตระกูลเฉิน เขาก็เสียเงินให้กับลูกฉันไปถึง 700 ล้าน
และเงินที่เขาติดอยู่แน่นอนว่าจะไม่คืนแน่ๆ แต่ทุกครั้งที่เจอหน้าลู่เฉินเขาเองก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ อยากจะฆ่าลู่เฉินให้ตายเสียตรงนั้น!
“คุณชายวังคะ เขาคนนี้แหละค่ะ เมื่อสักครู่เขาพูดถึงคุณชายในเรื่องที่ไม่ดีด้วย” เจียงหยูเองก็รีบใส่ความเข้ามา
“คุณชายวังคะไอ้เจ้ากระจอกนี่มันช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริงๆ สั่งสอนมันหน่อยนะคะ”
ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาถูกลู่เฉินหักหน้าเข้าอย่างจัง พวกเขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่แล้วตอนนี้ต้องใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
สี่พี่น้องตระกูลเจียงไม่รู้มาก่อนว่าวังซิงและลู่เฉินมีความอาฆาตแค้นส่วนตัวมาก่อน พวกเขาคิดว่าหากวังซิงเป็นคนออกหน้าให้ ลู่เฉินเองก็ต้องกลัวจนหางตก
“พวกคุณอยากสั่งสอนเขาก็ทำด้วยตัวเองสิ!เกี่ยวอะไรกับผม” วังซิงพูดกับสี่พี่น้องตระกูลเจียงด้วยสายตานิ่งเรียบ เขามีความแค้นต่อลู่เฉินก็จริง แต่เขาไม่ได้โง่!
ลู่เฉินสามารถเอาชนะผู้มีความสามารถด้านการต่อสู้อย่างฮันเทียนได้เพียงหมัดเดียว ต่อให้เขาจะโกรธเกลียดลู่เฉินเพียงใด ก็ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับเขาตรงๆหรอก
บรรดาพี่น้องตระกูลเจียงก็พากันงงงวย
พวกเขาได้ยินวังซิงพูดอย่างนั้น นอกจากตกตะลึงแล้วยังไม่เข้าใจอีกว่าวังซิงหมายความว่าอะไร
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงไปมากกว่านั้นก็คือประโยคแรกที่ลู่เฉินพูดออกมากับวังซิง