เนื่องจากการเดินไปตามถนนจะเป็นที่สะดุดตามากเกินไป ก่อนหน้านี้ไม่นานก็เลยมีผู้ชายหน้าตาไม่น่าคบซึ่งขี่รถม้าหรูราคาแพงมาแวะจอดข้างๆพวกเรา
“นี่ๆสาวน้อยทั้งสองคน ทำไมถึงมาเดินเท้าเปล่ากันอยู่แถวนี้ละ ?”
สายตาที่ดูแทะโลมของชายหน้าคางคกจ้องตัวฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยเฉพาะบริเวณหน้าอกและบั้นท้ายที่โดนจ้องอยู่นานเป็นพิเศษ
“จะว่าไปแต่งตัวมอมแมมกันน่าดู…เป็นเด็กกำพร้าอย่างงั้นหรอ ?”
เพราะเสื้อผ้าที่ใส่ในศูนย์วิจัยเป็นผ้าขี้ริ้วขาดๆ และหลังจากที่หนีออกมาก็ยังไม่ได้หาเสื้อผ้าใหม่ๆมาใส่ ทำให้ในตอนนี้การแต่งตัวดูจะวาบหวิวพอสมควร แม้จะปกปิดส่วนสำคัญได้ แต่หัวไหล่และขาอ่อนก็ไม่มีอะไรมาปิด
พวกเราทั้งคู่ในตอนนี้ก็เลยดูเหมือนกับคนป่าไม่ก็พวกยากไร้ จะโดนเข้าใจว่าเป็นเด็กกำพร้าก็ไม่แปลก
ต่างจากเราทั้งคู่ที่เนื้อตัวมอมแมม ชายที่ลงมาคุยกับเราคือชายหน้าคางคก ร่างท้วม ซึ่งแต่งกายด้วยชุดหรูหรามีราคา
แหวนเพชรประดับมือทั้งสิบนิ้ว มีสร้อยคอทองคำสวมไว้ที่คอ เสื้อคลุมสีแดงขอบทองห่อหุ้มร่างกายอ้วนท้วม
แถมนอกจากรถม้าสีทองแล้ว ยังมีชายในชุดเกราะขี่ม้าสีน้ำตาลประกบรถม้าอยู่ถึงสี่คน เมื่อรวมกับผู้ชายในชุดเกราะสีเงินที่ลงมายืนคุ้มกันข้างๆชายคนนี้ เขาน่าจะมีคนคุ้มกันราวๆสิบคนได้
เขาคงจะเป็นเศรษฐีจากที่ไหนซักแห่งล่ะมั้ง ?
“หืม ? ผมสีเงินอย่างงั้นหรอ ?”
แม้ตอนแรกจะสนใจฉันอยู่พอสมควร แต่พอสังเกตเห็นไอรินที่มีผมสีเงิน ชายคนนั้นก็หรี่ตาลง ก่อนจะยื่นมือเข้ามาใกล้
“อ๊ะ ! เดี๋ยว ! ”
ฉันรีบเอาตัวเข้าไปขวางพลางคิดว่าจะร่ายเวทย์ใส่ดีไหม ทว่า ไอริน นั้นเร็วกว่า ในพริบตาที่ดวงตาของเธอเปล่งแสงสีแดงออกมา น้ำเสียงเย็นยะเยือกก็ถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากเล็กๆ
“อย่าขยับ !”
กึก !
เพียงแค่เธอออกคำสั่ง ทั้งชายร่างท้วมและผู้ติดตามก็ยืนแข็งค้างเป็นหิน
ดวงตาของพวกเขากลายเป็นสีแดงเหมือนดวงตาของไอริน ทว่า ของไอรินกลับเปร่งประกายแลดูคล้ายกับอัญมณีมากกว่า
นี่เป็นผลของเวทย์ควบคุมจิตใจซึ่งเป็นเวทย์ที่ไอรินชำนาญ….เวทย์ผิดกฎหมายที่บังคับให้ผู้ตกเป็นเป้าหมายทำตามที่ผู้ใช้เวทย์สั่งทุกประการ
ตามปกติแล้ว มันจะต้องมีขั้นตอนการร่ายที่ซับซ้อน แถมยังอาศัยพลังเวทย์มหาศาลและต้องมีเลือดหรือเส้นผมของอีกฝ่ายมาใช้เพื่อประกอบพิธีกรรม โดยขณะทำการร่ายจะต้องมองตาเป้าหมายตลอดเวลา จึงทำให้เป็นเวทย์ที่ใช้ยากและมักจะใช้ในการสอบปากคำพวกนักโทษซ่ะมากกว่า ซ้ำร้ายคนที่สามารถใช้เวทย์ควบคุมจิตใจบนโลกนี้ก็มีเพียงแค่หยิบมือและมันก็ไม่สามารถใช้ได้กับคนที่มีจิตใจแข็งแกร่ง
ทว่า ตัวไอรินที่ฝังแก่นกลางแห่งความชิงชังเอาไว้ก็ได้รับความสามารถสะกดจิตและล้างสมองสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่จ้องตาของเธอโดยไม่มีเงื่อนไข มันสามารถสั่งใช้งานได้โดยข้ามข้อจำกัดต่างๆจนเหลือเพียงแค่ต้องจ้องตาเธอเพียงข้อเดียว
พูดง่ายๆก็คือ ใครก็ตามที่จ้องตาไอริน หากไอรินต้องการก็สามารถทำให้คนๆนั้นกลายเป็นทาสที่ทำตามคำสั่งของเธอทุกอย่าง
อนึ่ง ! ตัวตนที่เรียกว่าพี่สาวจะไม่ตกเป็นทาสของไอรินเป็นอันขาด !!!
และ ความรู้เพิ่มเติมอีกอย่างก็คือ ในโลกใบนี้ จอมเวทย์ทุกคนจะใช้เวทมนต์ได้ก็ต่อเมื่อพวกเขามี ‘คฑา’ อยู่ในมือ เสมือนนักธนูที่ต้องมีธนู
คฑาที่ว่าจะมีลักษณะเป็นไม้แท่งยาวๆคล้ายไม้เรียว แต่เนื้อไม้ที่ใช้จะเป็นลำต้นของพืชชนิดพิเศษซึ่งผสมรวมกับผลึกเวทมนต์เข้าไป ทำให้คฑาดั่งกล่าวกลายเป็นสื่อนำพลังเวทย์ที่สามารถแปรสภาพพลังเวทย์และบทร่ายของผู้ใช้ให้กลายเป็นปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติ
หากไร้ซึ่งคฑา จอมเวทย์จะไม่สามารถร่ายเวทมนต์ได้ คนที่จะเป็นจอมเวทย์ได้ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องมีคฑาประจำตัวกันทั้งนั้น เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นจอมเวทย์ระดับสูงที่ควบคุมเวทย์ได้ชำนาญในระดับที่หนึ่งในล้านถึงจะพบได้คนหนึ่ง
ทว่า สำหรับพวกเราที่ฝังแก่นมนตราไว้ในร่างกาย พวกเราจะมีพลังเวทย์มหาศาลกว่าคนธรรมดาเป็นพันเท่าอีกทั้งยังสามารถร่ายเวทย์ได้โดยไม่ต้องใช้คฑา เรียกได้ว่า พวกเราสุดยอดยิ่งกว่าจอมเวทย์ระดับสูงซึ่งโผล่มาหนึ่งในล้านนั่นเสียอีก
นี่แหล่ะคือพลังของ ‘วีรชนเทียม’ อาวุธสงครามรูปแบบมนุษย์ที่เป็นการค้นพบครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์ซึ่งจะก่อให้เกิดการปฏิรูปและยกระดับสงครามเข้าสู่ยุคสมัยใหม่
ทว่า เหตุการณ์ดังกล่าวก็คงไม่ได้เกิดขึ้นในเร็วๆนี้ คงเป็นเวลาอีกนานกว่าทางกองทัพจะเปิดเผยตัวตนของเหล่า ‘วีรชนเทียม’ ให้สังคมทราบ
“เด็กนั่น ? ใช้เวทมนต์ไร้ร่าย !?”
พวกคนคุ้มกันที่ลงจากหลังม้ามองไอรินด้วยสายตาตะตะลึง
แม้จะตื่นตระหนกเพียงเสี้ยววิจากการที่เห็นเจ้านายและพวกพ้องของตนตกอยู่ใต้มนต์สะกด แต่พวกเขาก็รีบหยิบดาบขึ้นมาแล้งพุ่งเข้าหาไอรินโดยไร้ซึ่งความลังเล
ทว่า การที่พวกเขาสบตาไอรินตั้งแต่ตอนแรก มันก็ทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันจะลงจากรถม้าด้วยซ้ำ
“พวกแกก็ด้วย อย่าขยับ !”
“อึก !”
เหล่าทหารที่ลงจากม้ายืนแข็งค้างข้างๆผู้เป็นนาย
“เอ่อ…ไอริน”
ไอรินเดินผ่านฉันแล้วตรงเข้าไปหาชายร่างท้วมคนนั้น
“อะ อะ อะไรกัน กะ แก !? บังอาจมากที่ร่ายเวทย์ใส่ข้า แถมยังเป็นเวทย์ต้องห้ามอีก ! รู้รึเปล่าว่าข้าคือใคร !?”
“หุบปากไอ้หมูโสโครก ! ใครอนุญาตให้แกพูดกัน !?”
“กะ แก—- !?”
ไอรินตวาดใส่ด้วยน้ำเสียงรังเกียจ
แม้ตอนแรกชายร่างท้วมจะพยายามเถียง แต่พอเธอออกคำสั่งเขาก็ปิดปากเงียบจนทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ
“พวกแกก็ด้วย !”
คราวนี้เธอก็ออกคำสั่งตัดบท ก่อนที่พวกคนคุ้มกันจะได้พูดอะไรออกมา
“คือว่านะไอริน…ใจเย็นๆก่อน”
ทว่า ไอรินก็ไม่ฟัง เธอออกคำสั่งกับชายร่างท้วมโดยไม่สนที่ฉันพูดเลยแม้แต่น้อย
“บอกมาว่าแกคิดจะทำอะไรกับพวกเรากันแน่ ?”
สิ้นคำสั่ง ชายร่างท้วมก็เปิดปากและพูดปร๋อ
“นังเด็กผมทองนั่นน่าจะขายได้ราคาแพงเลย กำลังสาวๆแถมหน้าตาก็ไม่เลว ซ่องที่รู้จักน่าจะพอเอาไปขายได้อยู่ ส่วนเด็กผมเงินตรงนั้น ถ้าเลี้ยงให้โตกว่านี้ หน้าตาน่าจะสวย แถมยังดูเป็นของแปลกเพราะสีผมผิดธรรมชาติ พวกรัฐมนตรีน่าจะชอบกัน ถ้าเอาไปประมูลในตลาดมืดล่ะก็ ราคาคงซื้อคฤหาสน์ได้ซักหลัง ข้าก็เลยคิดว่าจะล่อลวงแล้วลักพาตัวพวกแกซ่ะเลย”
“เห็นไหมล่ะ—”
พอได้ยินที่ชายร่างท้วมพูด ไอรินก็มองมาที่ฉัน
“พวกมนุษย์มันเชื่อใจไม่ได้ ขนาดยังไม่รู้ตัวจริงของพวกเรา ยังเป็นซ่ะแบบนี้ …..สิ่งมีชีวิตพรรคนี้ มันควรจะตายๆไปให้หมด—”
“………….”
ว่าแล้วไอรินก็ออกคำสั่ง
“พวกแกทุกคนจงฆ่าตัวตายซ่ะ !”
กึก !
สิ้นเสียงเล็กๆซึ่งเต็มไปด้วยความเย็นชา ผู้ชายทุกคนหยิบดาบข้างเอวขึ้นมาจ่อที่คอ ส่วนชายร่างท้วมก็คว้าคฑาในกระเป๋าเกงเกงขึ้นมาจ่อที่หัว
ดาบแทงไปที่คอ ส่วนคฑาเวทย์ก็เปล่งแสงสีแดง
การออกคำสั่งให้ฆ่าตัวตายง่ายๆแบบนี้ ในโลกนี้ก็คงมีแค่ไอรินเท่านั้นที่ทำได้
พวกเขาไม่อาจขัดคำสั่งของเธอ เหล่าคนแปลกหน้าที่ทำตาเลื่อนลอยต่างพร้อมใจกันฆ่าตัวตายต่อหน้าเราทั้งคู่
กึก !
ทว่า ก่อนที่ดาบจะทิ่มคอ หรือ คฑาเวทย์จะระเบิดหัวของชายร่างท้วมให้เป็นจุณ
เพล้ง !
ทันใดนั้นเองคฑาเวทย์ก็แตกกระจายเป็นชิ้นๆโดยที่มีน้ำแข็งปกคลุมเอาไว้ ส่วนร่างของพวกคนคุ้มกันก็มีน้ำแข็งเกาะไปตามแขนและขา ทำให้พวกเขาไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ ดาบที่กำลังจะแทงก็เลยทำได้เพียงจิ้มอยู่ที่คอในระยะห่างที่ผลักเบาๆแค่ที่เดียวคงสร้างบาดแผลให้คอของพวกเขาได้
“— !!!”
ไอรินมองแรงมาที่ฉันด้วยความไม่พอใจ เธออ้าปากเหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
“ฮี๊ !”
แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรออกมา ชายร่างท้วมก็ส่งเสียงร้องและทำหน้าหวาดกลัว ในขณะที่ร่างของเขาเคลื่อนไหวไปเองโดยอัติโนมัติ
กึก !
มือป้อมๆหยิบคฑาอีกอันขึ้นมาแล้วจ่อไปที่หัวตัวเองอีกรอบ
เพล้ง !
แต่มันก็แตกเป็นเสี่ยงๆก่อนที่เขาจะทันได้ร่ายเวทย์
“ฮี๊ !”
แต่แล้วชายร่างท้วมก็ทำหน้าหวาดกลัวอีกแล้วพร้อมหยิบคฑาเวทย์อันใหม่ขึ้นมาซ่ะอย่างงั้น !?
เพล้ง !
ทว่า มันก็โดนน้ำแข็งเกาะแล้วแตกเป็นเสี่ยงๆ
“พี่ริซ ! ทำไม—”
“ฮี๊ !”
ไอรินพูดไม่ทันจบ ชายร่างท้วมก็ถูกล้วงคฑาเวทย์ออกมาจากพุงอีกอันเฉยเลย !?
เพล้ง !
แต่ก็ถูกฉันร่ายเวทย์แช่แข็งทำลายทิ้งอย่างง่ายดาย
“ฮี๊ !”
“…………….”
คราวนี้ไอรินมองชายร่างท้วมคนนั้นด้วยสายตาตายด้าน แต่ด้วยคำสั่งของเธอชายร่างท้วมก็ยังอุตส่าห์หยิบคฑาออกมาจากเป้ากางเกงจนสีหน้าของไอรินเปลี่ยนเป็นหยะแหยงแทน
เพล้ง !
พร้อมๆกับที่คฑาเวทย์แตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนที่ชวยร่างท้วมจะหยิบคฑาอันใหม่ขึ้นมา ฉันก็ชูมือไปข้างหน้าพลางจินตนาการถึงน้ำแข็งเย็นๆ
กึก !
หลังจากนั้น น้ำแข็งใสๆก็เกาะที่ปลายเท้าของเขาก่อนจะลามไปปกคลุมถึงคออย่างรวดเร็ว
คราวนี้เขาก็ฆ่าตัวตายไม่ได้อีกแล้ว
ฉันเลยมองไปที่ไอรินแล้วถามทั้งๆที่รู้ดีว่าตัวเองจะโดนมองแรงใส่ด้วยสายตาดูถูก
“เมื่อกี้ไอรินจะพูดว่าอะไรนะ ?”
“อะ..เอ่อ…ชะ ใช่ ! เธอไปช่วยไอ้พวกสารเลวนี่ทำไมกันหา !?”
ไอรินสะดุ้งเล็กน้อยราวกับพึ่งรู้สึกตัว เธอต่อว่าฉันด้วยเสียงราบเรียบที่ดูก้ำกึ่งระหว่างน้ำเสียงธรรมดากับการขึ้นเสียงต่อว่า ดูจากสีหน้าของเธอที่แดงระเรื่อเล็กน้อย บางทีภาพคฑาที่หยิบจากเป้ากางเกงเมื่อกี้ยังคงติดตาไม่หาย
“คนๆนี้มีกี่คฑากี่อันกันนะ”
“นั่นสิ นี่นายมีคฑากี่อัน— ไม่ใช่แล้ว อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ !”
“สะ สะ สิบห้าอัน”
“เยอะเว่อ ! ไปซ่อนตรงไหนของนายกันเนี่ย ? ไม่สิ ! ไม่ใช่แล้ว ! นั่นไม่ใช่ประเด็นซักหน่อย !!!”
ไอรินที่ดูจะเสียสุขภาพจิตหอบแฮ่กๆก่อนจะชี้นิ้วมาที่ฉัน
“พี่ริซ ! ทำไมถึงต้องช่วยเจ้าพวกนี้ด้วย !”
“ก็แบบว่า…ถ้าเห็นน้องสาวจะฆ่าคนต่อหน้า คนเป็นพี่ก็ต้องห้ามอยู่แล้วไม่ใช่หรอ ?”
“ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ! เอาจริงๆแล้วเจ้าพวกนี้นะตายๆไปยังจะดีกว่าด้วยซ้ำ ! ถ้าปล่อยไว้เผลอๆ มันอาจจะไปทำแบบเดียวกับคนอื่นก็ได้”
“อืม…เรื่องนั้นก็เป็นไปได้”
“เพราะงั้นก็ฆ่ามันไปซ่ะเลย ฆ่ามันๆๆๆๆๆ”
ไอรินเขย่าตัวฉันเร็วๆแล้วพูดรัวๆราวกับปืนกล
น่ารักจัง ถึงบทสนทนาจะดูเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดก็ตามเถอะ
“ไม่ได้จ้ะ !”
“ขี้ขลาด ! พี่ริซคนขี้ขลาด ! คนขี้ขลาดๆๆๆๆ เลิกหัวแข็งแล้วเชื่อที่หนูพูดซ่ะที ! ถ้าเมื่อกี้หนูไม่ทำอะไรเลยพี่ริซคงโดนมันแตะตัวไปนานแล้ว ถ้ามองในมุมกลับแล้วเปลี่ยนจากพี่ริซ เป็นหนู พี่ก็ทำเหมือนหนูนั่นแหล่ะ !!!”
มองในมุมกลับงั้นหรอ….ถ้าสมมุติ ไอรินโดนมันสัมผัสตัว…หรือถ้าไอรินโดนมันทำร้ายไม่ก็ลวนลามแล้วล่ะก็
“ฆ่าแมร่ง—”
“เอ๋ ?”
“เปล่าๆ เมื่อกี้แค่นึกถึงแมลงสาบที่ชอบปวนเปี้ยนไปมาในคุกเฉยๆ พี่น่ะเกลียดแมลงสาบที่สุดเลย”
ไม่ได้ๆ หยุดนะตัวฉัน จะหลุดความคิดแย่ๆแบบนั้นให้ไอรินที่แสนบริสุทธิ์ไม่ได้นะ
ถึงเอาเข้าจริงๆแล้ว เต็มที่ก็คงทำแค่ตัดมือไปซักข้างก็ตามเถอะ แต่ไอ้เรื่องความรุนแรงต่อหน้าเยาวชน ไม่ว่ายังไง มันก็เป็นเรื่องที่ผิดค่ะ !!!
“เอาเป็นว่ายังไงก็ไม่ได้นะ ห้ามฆ่าเด็ดขาด การฆ่ากันน่ะต้องเป็นตัวเลือกสุดท้ายเท่านั้น”
“ฮึ ! คนขี้ขลาด ไม่รู้ด้วยแล้ว !!!”
ไอรินกอดอกแล้วหันหน้าหนีด้วยความงอน
เห็นได้ชัดว่าเธอมีความคิดที่ตรงข้ามกับฉันอย่างชัดเจน
“แต่ก็ขอบคุณนะที่เป็นห่วงพี่ ที่ทำไปขนาดนั้นก็เพราะอยากจะปกป้องพี่ใช่ไหมละ ?”
“อย่าเข้าใจผิด ! ต่อให้พี่ไม่อยู่ หนูก็คงฆ่าพวกมันอยู่ดี ….ไม่สิ ถ้าพี่ไม่อยู่ หนูคงฆ่าไอ้พวกสารเลวนี่ไปได้ตั้งนานแล้ว !!!”
“อืม….เป็นเรื่องที่ยากจังเนอะ”
ฉันทำได้เพียงลูบหัวไอริน ทว่า ไอรินก็ปัดมือของฉันทิ้ง
“ซักวันความโลกสวยของพี่จะต้องย้อนกลับมาทำร้ายพวกเราทั้งคู่อย่างแน่นอน……”
“…………..”
เป็นคำพูดที่ฉันยากจะปฏิเสธ
ไอรินพูดได้มีเหตุผลมากๆ…ดูเป็นคนมีเหตุผลมากกว่าฉันเยอะเลย
แต่ถึงอย่างงั้น ไอ้การปล่อยให้ไอรินไปฆ่าคน..โดยเฉพาะให้เห็นต่อหน้าต่อตาแล้ว …
ไม่ไหว…ทำไม่ได้
มีพี่ที่ไหนอยากปล่อยให้น้องฆ่าคนบ้างเล่า ถ้าจะมือเปื้อนเลือดแล้ว ให้ฉันเป็นฝ่ายทำยังจะดีซ่ะกว่า
บางทีความคิดนี้อาจจะเป็นอีโก้ของฉันล้วนๆเลยก็ได้ แต่ยังไงก็ไม่ไหว..ปล่อยให้ไอรินทำแบบนี้ไม่ได้จริงๆ
“การฆ่าคนน่ะเป็นเรื่องยาก”
“???”
“แต่การไว้ชีวิตคนที่คิดจะฆ่าเรานั้นยากยิ่งกว่า”
“คะ ?”
ฉันทำได้เพียงเดินผ่านน้องสาวของฉันไปและเปิดประตูดูของที่อยู่ในรถม้า ระหว่างนั้นก็คิดหาคำพูดว่าจะสื่อให้น้องสาวของฉันเข้าใจยังไงดี
“ไอริน…พี่เข้าใจความรู้สึกของน้องนะ…คนบางคนก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่จริงๆนั่นแหล่ะ”
ทั้งพวกนักวิจัยที่ทำร้ายพวกเรา และก็ไอ้พวกคนเลวที่คิดแผนการชั่วร้ายพรรคนี้ขึ้นมาจนทำให้ไอรินกลายมาเป็นแบบนี้
“แต่ว่าจะปล่อยให้การฆ่าคนเป็นเรื่องปกติไม่ได้นะ การแก้ปัญหาด้วยการฆ่าอาจจะเป็นวิธีที่ทำให้เราพอใจก็จริง แต่เมื่อคนเราฆ่าใครไปแล้วครั้งหนึ่ง ความเฉยชาที่เกิดขึ้นก็จะทำให้เราชินกับการฆ่าคนไปทั้งชีวิต—”
ได้แต่บอกน้องสาวของฉันด้วยน้ำเสียงที่เศร้าเล็กน้อย
“พี่ก็คงไม่สามารถบอกได้หรอกนะว่าสิ่งที่ไอรินทำมันถูกหรือผิด เพราะสุดท้ายแล้วความถูกต้องก็เป็นเพียงสิ่งที่บรรทัดฐานทางสังคมกำหนดขึ้นมา….แต่ว่านะ การสูญเสียคนสำคัญ มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าออกไม่ใช่หรอ ? การฆ่าโดยที่ไม่รู้ถึงน้ำหนักหรือคุณค่าของชีวิตที่เราฆ่าไป ไม่ว่ายังไงพี่ก็ไม่เห็นด้วยหรอกนะ”
หลังจากคุ้ยหีบของที่อยู่ในรถม้าจนเจอของที่ต้องการ ฉันก็คว้าผ้าคลุมสีม่วงดูราคาแพงชิ้นหนึ่งขึ้นมาแล้วคลุมตัวของไอรินที่เสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยฉีกขาด ในขณะที่มืออีกข้างก็เสกกิ๊ปติดผมรูปดวงดาวขึ้นมาแล้วติดลงบนผมของไอรินที่กำลังยืนทำหน้าเครียดกับเรื่องที่ฉันพูดอยู่
“ไอริน….น้องน่ะมีมือที่อบอุ่นมากนะ”
ว่าแล้วก็ใช้มือสองข้างประกบเข้ากับมือของไอริน
“มือของน้องน่ะคือมือที่วิเศษ และ สิ่งที่อยู่ข้างในหัวใจดวงเล็กๆของไอรินน่ะ คือ แสงสว่างที่งดงามยิ่งกว่าใครๆ พี่เชื่อน่ะว่ามือของน้องจะสร้างทางเลือกได้มากมาย และ หัวใจของน้องจะช่วยชี้นำผู้คนได้อีกมากราวกับพระอาทิตย์ที่ในท้ายที่สุดแล้วก็ละลายได้แม้แต่น้ำแข็งอันเป็นนิจนิรันดร์ของพี่—”
ฉันมองนัยน์ตาสีแดงคู่นั้นตรงๆ จากนั้นก็ยิ้มให้น้องสาวสุดที่รักของฉันอย่างอ่อนโยน
“เมื่อวันนั้นมาถึง ไม่ว่าไอรินจะล้างบางมนุษยชาติหรือว่าจะยึดครองโลกหรืออะไรก็แล้วแต่ พี่จะไม่ห้าม พี่จะเคารพในการตัดสินใจของน้องทุกอย่างไม่ว่าน้องจะเลือกทางเดินแบบไหนก็ตาม แต่ว่าก่อนจะถึงเวลานั้นพี่ไม่อยากจะให้น้องเลือกทางเดินของน้องด้วยการตัดสินใจเพียงชั่ววูบ…สิ่งที่เรียกว่าอนาคตน่ะ มันควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรายิ้มขึ้นมาได้เมื่อนึกถึงมัน ”
ว่าแล้วฉันก็มองไปยังท้องฟ้าที่ไม่ได้เห็นมานานตั้ง 3 ปี
ในวันนี้มันก็ยังมีสีฟ้าสดใสเช่นเดิม
“พี่จะไม่ปล่อยให้น้องสาวที่พี่รักต้องมาเสียใจในอนาคตตัวเองไม่ได้ปราถนาอย่างแน่นอน เพราะงั้นก่อนที่จะถึงเวลานั้น…ในฐานะพี่สาวของไอรินแล้ว พี่ก็จะแสดงให้เห็นถึงหนทางที่น้องเลือกได้ทั้งหมดเท่าที่พี่จะช่วยควานหาได้…..อย่างน้อยก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรกับโลกใบนี้ พี่ก็อยากจะให้น้องเห็นความสวยงามของโลกใบนี้…..โลกที่ทำให้พี่ได้กับกับไอริน”
“……………”
ไอรินมองฉันนิ่งๆซักครู่หนึ่งก่อนที่จะส่ายหัว
“ต่อให้ไม่มีพี่หนูก็เลือกเส้นทางของหนูได้เองอยู่แล้ว”
“นั่นสินะ ฮุๆ”
ฉันคงทำได้เพียงทำในสิ่งที่มือสองข้างนี้ทำได้เท่านั่นแหล่ะ
“นั่นสินะ…ไม่จำเป็นต้องยอมรับก็ได้…แต่ซักวัน…ไอริน..พวกเธอ…จะต้องเข้าใจพี่อย่างแน่นอน”
“ถึงจะทำเป็นเข้าใจหนู แต่สุดท้ายพี่ก็แค่มนุษย์ที่หยิ่งผยองคนหนึ่งนั่นแหล่ะ”
ไอรินพูดเช่นนั้น ในตอนที่ฉันกำลังจะไปคุ้ยหาของมีค่าที่อยู่ในรถม้าต่อ
“ทำเป็นพูดจาอวดดี แต่คนอย่างพี่ก็ไม่มีความฝันเลยไม่ใช่รึไง ?”
กึก…..
ฉันหยุดเล็กน้อยตอนที่ได้ยินไอรินพูดเช่นนั้น
มองไปที่ไอรินซึ่งกำลังยืนกอดอกแล้วทำหน้าบึ้งตึง
จากนั้นฉันก็ยากจะกลั้นไม่ให้ตัวเองยิ้มออกมา
“ฮุๆ….ความฝันอย่างงั้นสินะ—”
จากนั้นก็ดีดหน้าผากเจ้าน้องสาวอารมรณ์ร้ายของฉันเบาๆ
“อ๊ะ !”
“ความฝันของพี่ก็อยู่ตรงนี้แล้วไม่ใช่รึไง ?”
ไอรินที่ผง่ะถอยหลังเล็กน้อยลูบหน้าผากของตัวเอง แล้วมองฉันด้วยสีหน้าสับสน
“ความฝันของพี่น่ะ มันบรรลุไปนานแล้ว”
ยิ้มให้น้องสาวตัวน้อยที่ฉันรักยิ่งกว่าใครๆ
จากนั้นฉันก็หันกลับไปจัดการธุระตรงหน้าต่อ
ระหว่างนั้นไอรินก็ยืนดูเงียบๆไม่พูดอะไรกับฉันซักคำ
MANGA DISCUSSION