มุ่งหน้าขึ้นเหนือ เป้าหมายคือการข้ามพรหมแดนระหว่างจักวรรดิเซลเทีย และสาธารณรัฐยูเฟเซีย
ความจริงตอนแรกก็คิดอยู่ว่าย้ายไปอยู่ทวีปอื่นดีไหม แต่เพราะทวีปอื่นไม่มีมนุษย์อยู่ก็เลยกลัวปัญหาเกี่ยวกับกำแพงภาษา
ดินแดนที่เราทั้งคู่สามาถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ก็คงเป็นทวีปมูและทวีปไมอา ซึ่งถ้าจะหนีจากการถูกตามล่า การหนีไปอยู่ที่จักวรรดิเซลเทียซึ่งเป็นศัตรูกับสาธารณรัฐยูเฟเซีย นั่นก็คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
จากที่คุยกันมาก่อนหน้านี้ เด็กๆส่วนมากก็ย้ายไปอยู่จักวรรดิเซลเทียเหมือนๆกัน แม้จะมีบางส่วนยังคิดจะลงหลักปักฐานอยู่ที่สาธารณรัฐต่อก็ตาม
ทว่า สำหรับ ไอรินที่เป็นหนูทดลองตัวสำคัญแล้ว พวกนักวิจัยคงไม่ปล่อยตัวเธอไปง่ายๆแน่
ดังนั้นฉันจึงคิดว่าจะพาไอรินไปอยู่ที่สุดขอบทวีปไมอาแล้วใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น จะได้ปลอดภัยจากการตามล่าของพวกนักวิจัย
ในวันนี้พวกเราก็ยังออกเดินเท้าไปตามท้องถนนอยู่เช่นเดิม
ระยะห่างจากตำแหน่งที่พวกเราอยู่กับบริเวณชายแดนน่าจะประมาณเกือบสิบเมืองได้ รวมระยะเวลาถ้าจะเดินเท้าเปล่าไปก็คงประมาณสองเดือนได้
นับเป็นการเดินทางที่เสียเวลากว่าที่คิด
“อือออ…ไม่ไหวแล้ว เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปหลังการเดินเท้าเปล่า ไอรินที่เริ่มทนไม่ไหวก็งอแง…ไม่สิ เอาจริงๆก็งอแงตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะมั้ง
“ร้อนก็ร้อน….เหนื่อยก็เหนื่อย….ไม่เห็นจะต้องไปไกลถึงอีกฟากของทวีปเลยนี่นา”
“แต่ว่าที่นั่นน่าจะปลอดภัยที่สุดแล้วนะ”
“ไม่เห็นจะต้องกลัวเลย ถ้าพวกมนุษย์มันจะมาหาเรื่อง ก็แค่ไล่มันไปให้พ้นๆก็ได้นี่นา”
“อย่าแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงอย่างเดียวสิ แล้วก็ถึงจะพูดแบบนั้น….ไอรินก็เป็นมนุษย์เหมือนกันนั่นแหล่ะ”
“ฮึ ! ไม่ใช่ซักหน่อย เราน่ะไม่ใช่เผ่าพันธุ์ชั้นต่ำที่อ่อนแอเหมือนพวกมนุษย์นะ !”
“จ้าๆ”
ฉันอุ้มจอมมารตัวน้อยขึ้นมา จากนั้นก็เสกน้ำแข็งขึ้นมาที่มือขวาแล้วก่อร่างขึ้นมาเป็นร่ม
ฉันใช้มือขวาถือร่ม ส่วนมือซ้ายก็อุ้มไอรินเอาไว้
“…………….”
ฉันเดินไปตามทางเรื่อยๆ พยายามเอาตัวไอรินให้อยู่ในร่มเงา
สัมผัสอบอุ่นที่สัมผัสได้ในระยะประชิด อีกทั้งยังหัวใจอันแผ่วเบาที่แนบชิดกับอกของฉัน
คิดไปคิดมา มันก็ทำให้นึกถึงสมัยก่อนที่ฉันช่วยดูและไอรินตั้งแต่เด็กๆ
น่าจะประมาณ 3 หรือ 4 ขวบล่ะมั้ง…ไอรินน่ะเป็นเด็กขี้เกียจ ไม่ชอบเดินเองและขอให้ฉันไม่ก็คุณแม่อุ้มไปนู่นมานี่ตลอด แต่ด้วยความที่ขี้อ้อนและชอบมากระแซะ ทั้งฉันและคุณแม่ก็เผลอตามใจแทบทุกครั้ง
“………………”
ในตอนที่กำลังคิดเรื่อยเปื่อยก็สัมผัสถึงสายตาที่จ้องมองขึ้นมา
เมื่อฉันมองลงไปที่อ้อมแขนของตัวเองก็พบกับดวงตาสีไพรินที่ใสแป๋ว
“ไม่เหนื่อยหรอ ?”
ไอรินถามฉันสั้นๆ เป็นคำถามที่เรียบง่ายแต่ก็เต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างคาดไม่ถึง
“ไอรินน่ะตัวเบาจะตาย”
ฉันตอบไปแบบนั้น แต่เธอกลับขมวดคิ้วใส่
“มันก็แน่อยู่แล้วย่ะ ! แต่ว่า……”
“???”
“ต้องเดินอีกตั้งไกลนี่นา…..อยู่ที่นี่ต่อไม่ดีกว่าหรอ ?”
ฉันก็เลยตอบกลับไปง่ายๆด้วยคำตอบเดิม
“โดนตามล่าแบบนี้ คงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไม่ได้หรอก”
“ถ้ามีคนมาหาเรื่องก็กระทืบให้ยับก็พอแล้วนี่นา ไม่เห็นจะต้องคิดมากเลย !”
ไอรินยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แล้วส่งสายตาวิ้งๆมาราวกับจะบอกว่าเชื่อเราเถอะ
ทว่า วิธีที่ง่ายดายแบบนั้น มันไม่มีในโลกหรอก
“ไม่ล่ะ อย่าดีกว่า”
“ไม่เห็นจะต้องใส่ใจเลย ทีเจ้าพวกนั้นยังฉีดยาแปลกๆใส่พวกเรา ไม่ก็ยัดนู่นใส่นี่เข้ามาในตัวพวกเรา แถมยังมองพวกเราทุกข์ทรมานเหมือนเป็นเรื่องปกติ มนุษย์ที่น่ารังเกียจพรรคนั้นน่ะแค่ฆ่าทิ้งซักคนสองคนก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ถ้าไม่ฆ่าก็จะถูกฆ่าเอานะ”
คงเพราะด้วยความโกรธแค้นล่ะมั้ง ไอรินที่พูดดูถูกพวกมนุษย์จึงจ้องมองพื้นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“นี่แน่ะ ! ”
“อุ๊ !”
แต่พอฉันเอานิ้วบีบจมูกของไอรินเบาๆ ประกายแสงสีแดงที่ฝังลึกอยู่ในดวงตาคู่นั้นก็หายไป
ไอรินช้อนตาขึ้นมองตัวฉันด้วยดวงตาสีฟ้าใสหมือนทุกครั้งพลางเอามือลูบจมูก
“ทำหน้าตาน่ากลัวแบบนั้น เดี๋ยวความน่ารักก็บินหายไปหรอก”
“เราจะทำหน้าตาแบบไหน ก็น่ารักทุกแบบนั่นแหล่ะ”
“อืม….เรื่องนั้นพี่ไม่เถียงหรอกนะ แต่ว่านะไอริน อย่าพูดเรื่องฆ่าหรือถูกฆ่าออกมาง่ายๆจะดีกว่านะ”
“ทำไมละ ?”
“ก็ถ้าเธอฆ่าคนด้วยเหตุผลเพียงแค่นั้น เธอก็ไม่ต่างจากมนุษย์ที่เธอเกลียดไม่ใช่หรอ ?”
“ก็แล้วจะทำไม ?”
วินาทีที่พูดเช่นนั้น เสียงที่สูงขึ้นของไพรินก็เต็มไปด้วยความดูถูกและความเกลียดชัง
“พี่เนี่ยขี้ขลาดจังนะ ทั้งๆที่โดนมาตั้งขนาดนั้น แต่ก็ยังพูดจาโลกสวยออกมาได้”
แน่นอนว่าปลายทางของสายตาดูถูกนั่นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฉันเอง
“โลกสวยงั้นหรอ….อื้ม….ก็อาจจะเป็นจริงอย่างที่ไอรินว่าก็ได้นะ”
แต่ว่า—
“พี่น่ะ…พอกับเรื่องพวกนี้แล้วล่ะ”
“????”
“พวกเราทุกคนต่างเจ็บปวดและสูญเสียกันมามากพอแล้ว พี่ไม่อยากเห็นใครตายไปต่อหน้าอีกแล้วล่ะ”
“คนขี้ขลาด”
“แต่ถ้าความขี้ขลาดนั่นทำให้พี่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับไอรินอย่างสงบสุขล่ะก็ พี่ก็ขอเป็นคนที่ขี้ขลาดที่สุดในโลกเลยล่ะกัน”
“………………..”
“………………..”
“……………….”
“ขอบคุณนะไอริน”
“คะ ?”
“ก็ที่พูดมาเมื่อกี้ทั้งหมดก็เพราะเป็นห่วงพี่ใช่ไหมละ ?”
“มะ มะ ไม่ใช่ซักหน่อย !”
พอเห็นน้องสาวตัวน้อยหลบตาแล้วปฏิเสธเสียงสั่น ฉันก็ขยี้หัวเธอด้วยความเอ็นดู
พวงแก้มของไอรินย้อมไปด้วยสีแดงระเรื่อเล็กน้อย แถมแก้มของเธอก็ยังป่องกว่าปกติเล็กน้อย
ท่าทางดูงอนนิดๆ ไม่ว่าจะมองอีกกี่ครั้งก็น่ารัก~ ♪
“ไม่เป็นไรหรอก ถึงหนทางจะไกลไปซักหน่อย แต่ถ้าเป็นพวกเราสองพี่น้องจะต้องผ่านไปได้แน่”
“ทั้งๆที่มีทางเลือกที่ง่ายกว่านั้นแท้ๆ”
“บางครั้งทางเลือกที่ง่ายที่สุดก็ไม่ได้หมายถึงดีที่สุดหรอกนะ”
“แล้วพี่ริซจะบอกว่าทางเลือกของพี่ดีที่สุดอย่างงั้นหรอ ?”
“อืม…ก็นั่นสินะพี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พอพี่คิดว่าจะได้ออกเดินทางไปกับไอริน…การที่พวกเราได้ออกผจญภัยไปนอกหมู่บ้านเป็นครั้งแรก มันน่าสนุกออกไม่ใช่หรอ ?”
“……………..”
“หรือไอรินไม่อยากเดินทางไปกับพี่อย่างงั้นหรอ ?”
พอฉันพูดกับไอรินด้วยเสียงเหงาหงอย
ดวงตาสีฟ้ากลมโตของไอรินก็สั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่วินาทีถัดมา เธอจะสะบัดหน้าหนีแล้วส่งเสียงฮึดฮัดออกมา
“ฮึ ! เอาที่พี่สบายใจล่ะกัน ไอรินไม่รู้ไม่ชี้ด้วยแล้ว”
“อร๊ายยยยย ไอรินของพี่น่ารักที่ซู๊ดดดดดดเลยยยยยย”
“อี๋ ! เลิกเอาแก้มมาถูกับแก้มหนูได้แย้ว ! ทำตัวเป็นตาลุงไปได้”
“ฮุๆๆๆ”
แม้ปากจะบ่นไม่เลิก และเต็มไปด้วยความสับสน แต่สุดท้ายไอรินที่กำมือแบมือสลับกันไปมาก็ค่อยๆกอดฉันกลับอย่างช้าๆด้วยท่าทางกล้าๆกลัว
ทว่า พอมือสองข้างโอบเอวฉันเสร็จ มือเล็กๆก็กำแน่นราวกับจะไม่ยอมปล่อยไปไหน
จากนั้นเธอก็วางแก้มนุ่มๆลงหน้าอกของฉัน พยายามเบือนหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อหนีแล้วพูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบาที่สุด
“ไม่ได้อยากให้กอดซักหน่อย….ไม่ได้ชอบแบบนี้ด้วย ก็แค่ทนเห็นพี่ริซทำท่าทางเหงาหงอยก็เลยยอมตามน้ำต่างหาก”
ทว่า ตัวฉันที่ได้ยินเต็มสองหูก็กลั้นยิ้มเอาไว้ไม่ได้อยู่ดี ในวันนี้ไอรินน้องสาวของฉันก็ยังทำตัวซึนดาเระอยู่เช่นเดิม
MANGA DISCUSSION