จักวรรดิเซลเทีย และสาธารณรัฐยูเฟเซีย เป็นสองมหาอำนาจของโลกที่แย่งชิงอำนาจกันมานานกว่า 200 ปี
ว่ากันว่าครั้งหนึ่งทั้งสองประเทศเคยเป็นหนึ่งเดียวกันมาก่อนภายใต้ชื่อ ‘สหพันธมนุษยชาติ’ ซึ่งประชากรโดยส่วนมากตั้งอยู่บนทวีปมูซึ่งอยู่ทางซีกโลกตะวันตก และ สหพันธมนุษยชาติ ถูกนับว่าเป็นดินแดนเพียงหนึ่งเดียวที่ปกครองโดยมนุษย์ ท่ามกลางทวีปอื่นที่ปกครองโดยเผ่าปีศาจ เผ่าเอลฟ์ และเผ่าอื่นๆอีกมากมาย
ทวีปมูเป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดและมีมนุษย์อยู่มากทำให้มนุษยชาติคือมหาอำนาจของโลกในขณะนั้น ทว่า ด้วยจำนวนประชากรที่มากจนเกินไปทำให้เมื่อ 300 ปีก่อนได้เกิดวิกฤติการณ์ขาดแคลนทรัพยากรขึ้นทำให้รัฐบาลออกคำสั่งบังคับให้ประชาชนราวๆ 20% ย้ายถิ่นฐานไปอยู่บริเวณทวีปไมอา…ดินแดนอันสุดแสนอันตรายที่เต็มไปด้วยทรัพยากรใหม่ๆที่ยังไม่มีการค้นพบ หากแต่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์นานาสายพันธุ์ที่เป็นภัยอันตรายต่อมวลมนุษย์
ทวีปไมอาจัดได้ว่าเป็นดินแดนอันแสนหฤโหดที่แม้แต่เผ่าพันธุ์ซึ่งแข็งแกร่งอย่างเผ่าปีศาจยังไม่กล้าย่างกรายเข้าไป นักประวัติศาสตร์คาดการณ์ว่า รัฐบาลในยุคนั้นคิดจะลดจำนวนประชากรที่มากเกินไป โดยอ้างการย้ายถิ่นฐานในครั้งนั้น ทว่า เรื่องราวทั้งหมดกลับพลิกผลัน เมื่อเหล่าประชากรเหล่านั้นสามารถเอาชนะภัยพิบัติจากพวกมอนสเตอร์ภายใต้การชี้นำของมนุษยชาติสุดแกร่งทั้ง 7 คน ที่ถูกเรียกว่า ‘วีรชน’ นั่นจึงนำมาสู่ยุคสมัยใหม่…ยุคสมัยแห่งนักผจญภัยที่เหล่าผู้มีความฝันต่างออกเดินทางไปทั่วทวีปไมอาเพื่อแสวงหาหาสมบัติจากดันเจี้ยนใหม่ๆที่ยังไม่มีใครเคยค้นพบ และ ก่อร่างสร้างตัวขึ้นในพื้นที่ที่ไม่มีใครปกครอง
นักผจญภัยรุ่นแรกได้บุกเบิกผืนดินรกร้างจากนั้นก็นำทรัพยากรที่ขายได้มาใช้พัฒนาที่ดินของตน จากนั้นก็เชิญชวนผู้คนจำนวนมากมาอยู่อาศัย แล้วตั้งตนเป็นขุนนางปกครองดินแดนขึ้นมา เนื่องจากทางรัฐบาลของสหพันธมนุษยชาติต้องการสร้างแรงจูงใจให้พวกนักผจญภัยกล้าเสี่ยงตายบุกเบิกดินแดนใหม่ พวกเขาจึงไม่ได้คัดค้านในสิ่งที่พวกนั้นกำลังทำ นอกเสียจากออกคำสั่งบังคับให้เสียภาษีที่ดินในราคาที่แพงเพื่อจะเก็บทรัพยากรที่ได้มาหล่อเลี้ยงประชากรในทวีปมูซึ่งเพิ่มขึ้นจนใกล้จะล้นทวีป ณ ช่วงเวลานั้นเหล่านักผจญภัยก็ทำตามที่รัฐบาลสั่งแต่โดยดี ทวีปไมอายังถือว่าเป็นหนึ่งในเขตการปกครองของสหพันธมนุษยชาติอยู่
ทว่า หลังจากผ่านไปได้ 50 ปี วิกฤติประชากรล้นทวีปก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข แม้จะปกครองโดยระบอบอประชาธิปไตย แต่พีระมิดความต่างของชนชั้นคนรวยและคนจนกลับกว้างขึ้นเรื่อยๆจากเผด็จการรัฐสภาที่ปกครองโดยรัฐมนตรีหน้าเดิมๆ ด้วยเหตุนี้เอง ประชาชนบางส่วนจึงแสวงหาความมั่งคั่งด้วยการย้ายไปอยู่ภายใต้การปกครองของขุนนางแห่งทวีปไมอาซึ่งมีดินแดนที่เต็มเปี่ยมด้วยทรัพยากร
ในช่วงปลายของยุคสมัยแห่งนักผจญภัย ปัญหาประชากรล้นทวีปมูมีแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลสหพันธมนุษยชาติจึงแก้ปัญหาด้วยการสนับสนุนการโยกย้ายถิ่นฐานและเรียกเก็บภาษีจากดินแดนของทวีปไมอาในอัตราที่สูงขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า นั่นจึงทำให้เหล่าประชาชนที่อยู่ในทวีปไมอาเกิดความไม่พอใจ
ผู้คนในทวีปไมอาต่างคิดว่าพวกตนคือผู้ที่ถูกสหพันธมนุษยชาติทอดทิ้ง พวกตนต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากพวกมอนสเตอร์เป็นระยะๆ ความอันตรายในชีวิตและทรัพย์สินที่มากกว่าทวีปมูถึงสองเท่าแลกมาด้วยการเข้าถึงทรัพยากรที่มากกว่า ทว่า คนในทวีปมูกลับคิดว่าผู้คนในทวีปไมอานั้นโชคดีที่ไม่ต้องมาเผชิญความอดยากแล้งแค้นเหมือนกับพวกตน พวกตนคือผู้เสียสล่ะยอมอยู่อย่างลำบากเพื่อคงไว้ซึ่งบ้านเกิดของมวลมนุษยชาติ ต่างจากพวกคนในทวีปไมอาที่ล่ะทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่อมุ่งหน้าสู่ความสบาย
ในท้ายที่สุด ผู้คนในทวีปไมอาที่ทนต่อการขูดรีดภาษีไม่ไหวจึงจัดตั้งจักวรรดิเซลเทียขึ้นมาเพื่อปกครองตนเอง โดยมอบอำนาจในการปกครองให้กับขุนนางหรือก็คือเหล่าลูกหลานนักผจญภัยที่เป็นผู้บุกเบิกประเทศและเปี่ยมด้วยทักษะการต่อสู้กับความฉลาดทางปัญญา
ในขณะที่สหพันธมนุษยชาติเกิดความเห็นที่แตกออกเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายที่เห็นด้วยกับการทำสงครามกับจักวรรดิเซลเทีย และฝ่ายที่คัดค้าน ทว่า ในช่วงที่กำลังเกิดการประท้วงของประชาชนต่อรัฐบาลเก่า กองทัพในขณะนั้นก็ได้ทำการปฏิวัติแล้วล้มล้างการปกครองเดิม จากการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยได้กลายมาเป็นระบอบเผด็จการทหาร จากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนชื่อ ดินแดนทั้งหมดในทวีปมูให้กลายมาเป็น สาธารณรัฐยูเฟเซีย เป็นอันจบยุคสมัยที่มนุษยชาติเคยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในฐานะ สหพันธมนุษยชาติ พร้อมกับเป็นจุดสิ้นสุดของยุคสมัยแห่งนักผจญภัย
หลังจากนั้น หรือก็คือ เมื่อ 200 ปีก่อน มนุษยชาติจึงได้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนคือ จักวรรดิเซลเทีย และสาธารณรัฐยูเฟเซีย โดยนับตั้งแต่นั้นมาทั้งสองฝ่ายก็ได้ทำสงครามเพื่อจุดประสงค์ที่ต่างกัน
จักวรรดิเซลเทีย ต้องการเป็นอิสระจากการปกครองของ สาธารณรัฐยูเฟเซีย
ในขณะที่สาธารณรัฐยูเฟเซียไม่อาจอยู่ได้หากขาดทรัพยากรจากจักวรรดิเซลเทีย พวกเขาจึงต้องการให้จักวรรดิเซลเทียกลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของพวกตนอีกครั้ง
ผลของสงครามทำให้ทวีปไมอาอยู่ภายใต้การปกครองของจักวรรดิเซลเทียอยู่ 70% ในขณะที่ 30% ถูกสาธารณรัฐยูเฟเซียแย่งชิงไปใช้เป็นดินแดนสำหรับผลิตทรัพยากรเพื่อหล่อเลี้ยงประชาชนในทวีปมู
ด้วยความที่พบเจอภัยพิบัติจากมอนสเตอร์เป็นระยะทำให้จักวรรดิเซลเทียมีการพัฒนาเทคโนโลยีล่าช้า แต่ก็แลกมาด้วยการที่ผู้คนในจักวรรดิมีทักษะการใช้เวทมนต์และมีความสามารถในการต่อสู้ที่สูงเนื่องจากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการต่อสู้กับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ส่วนสาธารณรัฐยูเฟเซียซึ่งไม่มีปัญหาจากภัยธรมมชาติและมีจำนวนประชาชนมากกว่าจึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด ทว่า ด้วยการปกครองของทหาร ความรวยจึงกองอยู่ที่คนเพียงกลุ่มเดียว ในขณะที่ประชาชนส่วนมากยากจนจากการขาดแคลนทรัพยากร
สงครามระหว่างทั้งสองฝ่ายในปัจจุบันจึงอยู่ในสภาวะสมดุลจากการที่ จักวรรดิมีบุคลากรที่เชี่ยวชาญการสงครามและมีพลังเวทย์สูงอยู่เยอะ ในขณะที่สาธารณรัฐก็เน้นเอาจำนวนเข้าสู้พร้อมกับใช้อาวุธสงครามที่ทันสมัยมากกว่าเข้าต่อกร แม้ว่าผู้คนในทวีปมูจะมีพลังเวทย์ต่ำกว่าก็ตาม
ณ ปัจจุบันจึงอยู่ในยุคสมัยแห่งสงคราม 200 ปี ซึ่งยังไร้ซึ่งวี่แววจะสิ้นสุดลง ทว่า สำหรับเหล่าผู้กลับชาติมาเกิดต่างรู้ดีว่า ตามประวัติ World End Fantasy สงคราม 200 ปีจะสิ้นสุดลงในอีกไม่นานนี้ด้วยเหตุผลบางประการที่ไม่ถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ทว่า หลังจากนั้นอีกประมาณ 3 ปี สงครามระหว่างสองประเทศก็จะเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง เนื่องจากเหตุการณ์วางเพลิงโรงเรียนซึ่งเป็นกลางภายใต้แผนการของไอรินผู้บิดเบี้ยว มันได้กลายมาเป็นฉนวนความบาดหมางครั้งใหม่ที่จะนำไปสู่สงครามครั้งสุดท้ายที่รวมทั้งสองทวีปเข้าด้วยกัน ก่อนจะนำพามนุษยชาติไปสู่ยุคสมัยแห่งผู้กล้า-จอมมาร …ยุคสมัยซึ่งเกิดสงครามระหว่างทุกเผ่าพันธุ์อันเป็นเนื้อเรื่องของเกม World End Fantasy ภาค 2
มหากาพย์การต่อสู้ของโลกใบนี้นั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆมากมาย
ทว่า จะมีซักกี่เหตุการณ์ที่ถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์
ใครกันคือผู้เคราะห์ร้ายของสงคราม
ใครกันที่เป็นผู้นำพามาซึ่งสงครามอันไร้ที่สิ้นสุดนี้
เต็มไปด้วยคำถามมากมาย กระนั้นแล้ว มันก็ไม่สำคัญสำหรับเรื่องราวของพวกเธอแม้แต่น้อย
หลังจากนี้ไปคือเรื่องราวการเดินทางแห่งปาฏิหาริย์ที่ถูกไฟแห่งสงครามกลบทับเอาไว้
— ใช่….ในวันนี้ สองพี่น้องไอริน และ ไอริซ ก็ยังคงเดินทางขึ้นเหนือเพื่อหาดินแดนอันสงบสุขต่อไป…..
๐๐๐๐๐๐๐๐
ฮาวาด เจนเทอร์แมน คือบุรุษซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการพัฒนาอาวุธสงครามของสาธารณรัฐยูเฟเซียนับร้อยโครงการ
เขาเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นในโครงการซึ่งละเมิดสิทธิมนุษยชนจำนวนมากทั้งใช้ทหารของฝั่งตรงข้ามที่จับมาได้ หรือใช้พวกนักโทษ ไม่ก็พวกทาส สำหรับการทดลองอันป่าเถื่อน
แม้ชุดที่สวมใส่จะเป็นชุดสูท และ ใบหน้าที่สุขุมซึ่งปกคลุมด้วยผมสีขาวจะทำให้เขาดูเป็นสุภาพบุรุษมากแค่ไหนก็ตาม
ความจริงที่เขาเป็นส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยนชีวิตคนนับหมื่นกับการวิวัฒนาการของมวลมนุษยชาติก็ยังเป็นบาปที่ยากจะอภัยอยู่ดี
ในวันนี้เขายังคงนั่งอยู่บนโต๊ะไม้ดูหรูหราด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เฉกเช่นทุกครั้ง เขาจ้องไปยังชายชุดขาวผมหยิกดำซึ่งสวมแว่นตาหนาเตอะและมีขอบตาดำคล้ำ อีกทั้งยังมีท่าทางกล้าๆกลัวดูเหลาะแหละ
ผู้ชายที่กำลังตัวสั่นพลางกล่าวรายงานคือชายซึ่งมีชื่อว่า ‘เอริก ดาร์ควู้ด’ ….ลูกน้องของเขาซึ่งเป็นหัวหน้า รับผิดชอบโครงการสร้าง ‘วีรชนเทียม’
“จากเหตุการณ์เมื่อวันก่อน พวกเราได้สูญเสียตัวทดลองไปเกือบทั้งหมด สามารถตามจับกลับมาได้….ประมาณ 5 ตัว ครับ…. ความสูญเสียประเมินมูลค่าราวๆ 100 ล้านโกล พวกเราสูญเสียบุคลากรที่เกี่ยวข้องไปกว่า 60% ”
“แล้วความสูญเสียของฝั่งตัวทดลองที่หลบหนีออกไปล่ะ”
“ทางเราได้ตรวจพบศพของหนูทดลองแค่ตัวเดียวครับ…แต่คาดว่าจะเสียชีวิตจากผลกระทบของโซ่ตรวนแห่งอานูบิส”
“พูดง่ายๆก็คือจอมเวทย์ของทางเราไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับหนูทดลองพวกนั้นได้เลยอย่างงั้นสินะ”
“อึก ! ครับ…”
ได้ยินเช่นนั้น ฮาวาด ก็ถอนหายใจด้วยท่าทางหงุดหงิด
“คมดาบที่พวกเราสร้างขึ้นมา ในท้ายที่สุดแล้วจะย้อนกลับมาสังหารพวกเราเองอย่างงั้นรึ ?”
เขาพูดพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะมองไปยังเอริกอีกครั้ง
“ตอนนี้ การสร้าง AHB (Anti Hero specific serum bullet ) เพื่อใช้จัดการพวกวีรชนเทียมดำเนินไปถึงขั้นไหนแล้ว ?”
“ถ้าทดลองกับหนูทดลองที่เหลืออยู่ คาดว่าคงใช้เวลาอีกไม่เกินเดือนครับ”
“งั้นก็ดี….ระหว่างนี้ให้ทำการสะกดรอยพวกวีรชนเทียมทุกตน แม้จะมีพลังกล้าแกร่ง แต่ยังไงก็เป็นแค่เด็กน้อย ความสามารถในการปกปิดร่องรอยยังอยู่ในระดับต่ำ แกจงทำการเฝ้าจับตามองเงียบๆแล้วรอจนกว่าการผลิต AHB จะเสร็จสมบูรณ์ซ่ะ”
“คะ ครับ !”
“แล้วก็—”
คำพูดถัดมาของเขาทำให้ร่างของเอริกสั่นระริก
“จงตามจับ ตัวทดลอง 1375 โค้ดเนม ‘จอมมารดัดแปลงลำดับที่ 0’ กลับมาเป็นๆซ่ะ นี่คือคำสั่ง ”
“นะ นะ นั่นมัน !? ไม่ไหวหรอกครับ !!!”
คำสั่งที่ยากเกินความสามารถทำให้เอริกถึงกับกล้าปฏิเสธหัวหน้าของตนเป็นครั้งแรก
“ตัวทดลองนั่นคือตัวทดลองที่ฝังแก่นมนตราไปถึง 3 ชิ้นเลยนะครับ ! แม้จะคิดค้น AHB ขึ้นมาได้ แต่ทางเราคาดการณ์ว่ามีโอกาสที่จะทะลวงอาคมเวทย์ของแก่นมนตราของ 1375 ด้วยโอกาสสำเร็จ 50-50 ครับ ด้วยพลังระดับนั้น ถ้าไม่ทำการสังหารให้ได้ในคราวเดียว เกิดอีกฝ่ายล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของ AHM ขึ้นมา มันอาจจะเป็นทางเราที่ถูกอีกฝ่ายสืบหาย้อนรอยกลับมาถึงตัวแล้วถูกฆ่าเอาได้ พลังของมันเทียบเท่าภัยพิบัติทางธรรมชาติเลยนะครับ !!!”
“………….”
ได้ยินดังนั้น ฮาวาด ก็มองลูกน้องของตนด้วยสายตาดูถูก
“นี่แก…กลัวตายอย่างงั้นรึ ?”
“นะ นะ นั่นมันก็……”
“สิทธิที่จะหวาดกลัวต่อความตาย พวกเราได้สูญเสียมันไปนานแล้ว”
พวกตนที่ฆ่าล้างชีวิตบริสุทธิ์ไปเป็นจำนวนมาก ไม่ควรจะเอ่ยเช่นนั้นออกมาแม้แต่คำเดียว
“ทั้งหมดเพื่อการวิวัฒนาการของมวลมนุษยชาติ พวกเราต่างรู้ดีว่า สงคราม หาใช่ภัยเพียงอย่างเดียวที่จะนำไปสู่การสูญสิ้นของเผ่าพันธุ์มนุษย์”
ว่าแล้ว เขาก็เดินไปที่รูปวาดฝาผนังที่ติดอยู่บนกำแพง มันคือรูปของสตรีผมเงินผู้เลอโฉมซึ่งถือคฑาสีทองเอาไว้ในมือ ตรงกลางอกของเธอมีอัญมณีสีม่วงฝังเอาไว้
หนึ่งในเจ็ดวีรชนผู้บุกเบิกทวีปไมอา เซเรสเทีย เซนิออลิส นั่นคือนามของสตรีที่อยู่ในภาพวาด
“เมื่อ 200 ปีก่อน วีรชนทั้ง 7 คนที่มีพลังเวทย์อันกล้าแกร่งได้ปรากฎตัวขึ้นแล้วใช้พลังเวทย์ที่มากล้นราวกับปาฏิหารย์ทำการขับไล่เหล่ามอนสเตอร์ออกไปจนมนุษยชาตินับล้านชีวิตสามารถบุกเบิกทวีปไมอาได้สำเร็จ ทว่า หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาทั้ง 7 ก็หายตัวไป ทิ้งไว้แต่ตำนานมีชีวิตที่เรียกขานกันว่า ‘วีรชน’ เจ้ารู้รึเปล่าว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?”
เอริกมองไปยังอัญมณีที่ฝังอยู่บนอกของสตรีในภาพวาด
“เพราะพวกเขาคือผู้ถือครองแก่นมนตรายุคแรก….เป็นตัวทดลองของโครงการสร้างวีรชนยุคบุกเบิกที่หนีไปจากการควบคุมของอดีตรัฐบาลและทำลายโครงการผลิตวีรชนยุคแรกทิ้ง….นั่นจึงเป็นสาเหตุทำให้หลักฐานการวิจัยทั้งหมดสูญหายไป ทิ้งไว้แต่คำบอกเล่าปากเปล่า จนทำให้พวกเราซึ่งขุดค้นแก่นมนตราชุดใหม่พบ ต้องมาเริ่มการทดลองใหม่ตั้งแต่แรกภายใต้ชื่อโครงการสร้าง ‘วีรชนเทียม’….ส่วนสาเหตุที่พวกเขาทั้ง 7 หายไป เป็นเพราะปรากฎการเสื่อมสลายของร่างกายที่ไม่อาจแบกรับพลังของแก่นมนตราไหวจนเสียชีวิตหลังจากรับแก่นมนตราเข้าไปไม่กี่ปี ”
“ใช่แล้ว….นั่นคือสาเหตุในการเริ่มโครงการนี้ขึ้นมา ทว่า สิ่งที่แกรู้ มันก็แค่ความจริงเพียงผิวเผินเท่านั้น”
พูดจบ ฮาวาด ก็เดินไปยังรูปวาดรูปถัดมาที่ปรากฎภาพของชายในชุดคลุมขาวซึ่งประดับอัญมณีสีทองไว้ที่ศีรษะ โดยที่ชายในรูปกำลังยืนอยู่บนโขดหินและเผชิญหน้ากับอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่กำลังตกลงมาจากฟ้า
“เมื่อ 1000 ปีก่อน ในยุคเริ่มแรกก่อนที่มนุษยชาติจะรวมกันเป็นหนึ่ง วีรชนที่ถือกำเนิดมาบนโลกนี้เป็นคนแรกคือผู้หยุดยั้งอุกกบาตไม่ให้พุ่งชนโลก ….วีรชนต้นกำเนิดผู้ซึ่งมีพลังในการควบคุมดวงดาวและทำนายอนาคต — มหาศาสดา อัลเฟอุส”
ฮาวาด เว้นหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่คล้องจองราวกับร่ายกลอน
“วรรคที่สาม บรรทัดที่สอง จากพระคัมภีร์ศาสนาอัลเฟอุส กล่าวว่า ยามดาวเหนือซ้อนทับดาวหาง ยามนั้นหมีขาวจักแบ่งออกเป็นสอง ครั้นยามใดที่สองดาวใต้หวนทับซ้อน ยามนั้นค้อนแห่งโทษะจักหวนคืนสู่ขวานใหญ่”
“………..”
“ในอดีตทวีปมูเคยถูกเล่าขานกันว่ามีรูปร่างคล้ายหมีขาว ในขณะที่ในปัจจุบันเมื่อรวมทวีปมูและทวีปไมอาเข้าด้วยกัน รูปที่ปรากฎในแผ่นที่จะกลายเป็นขวานแทน”
“—- !?”
“เมื่อ 200 ปีก่อนตอนที่มนุษยชาติเกิดการแบ่งแยกออกเป็น จักวรรดิเซลเทีย และ สาธารณรัฐยูเฟเซีย มันเป็นช่วงที่ดาวเหนือถูกบดบังโดยดางหางเซริวที่โคจรผ่านระบบสุริยะทุกๆ 100 ปีพอดี ตามประวัติดาราศาสตร์ที่ผ่านมาไม่เคยมีซักครั้งที่เกิดเหตุการเช่นนั้นขึ้น”
แล้วก็—
คำพูดถัดมาของฮาวาดทำให้เอริกถึงกับกลั้นหายใจ
“และในตอนนี้ ดาวใต้ทั้งสองดวงก็ได้ทับซ้อนกันเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์วงการดาราศาสตร์ ….ในขณะที่ค้อนแห่งโทษะ คือชื่อเรียกของ อุกกาบาตจากนอกโลก ที่ครั้งหนึ่งถูกทำลายด้วยฝีมือของมหาศาสดา อัลเฟอุส”
“ท่านจะบอกว่า มหาศาสดา อัลเฟอุสมีความสามารถในการมองเห็นอนาคตอย่างงั้นรึ ?”
“ใช่แล้ว ท่านมองออกตั้งแต่เมื่อ 1000 ปีก่อน ว่ามนุษยชาติจะแบ่งออกเป็นสองฝ่ายเละทำสงครามกัน ในขณะเดียวกันท่านก็ได้ทำนายว่า อีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ อุกกาบาตจะหวนกลับคืนมาสู่โลกใบนี้อีกครั้ง ”
“นี่ท่านเชื่อตำนานนั่นอย่างงั้นหรอ ?”
“สำหรับข้าค่อนข้างจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่า สำหรับท่านผู้นำของเราที่ถือครองคัมภีร์ของศาสนาอัลเฟอุสที่ล่มสลายไปแล้ว ชายคนนั้นค่อนข้างจะเชื่อในสิ่งที่คัมภีร์นั่นกล่าวถึงพอสมควร”
“นั่นมันจะดีหรอครับ…..”
“คำสั่งของท่านผู้นำคือเด็ดขาด หากเป็นประสงค์ของท่านผู้นำ ข้าก็ไม่มีอะไรจะแย้ง แล้วอีกอย่าง ข้าก็ค่อนข้างจะสนใจในทฤษฎีของ ‘แก่นแท้แห่งดวงดาว’ ที่บันทึกเอาไว้โดยมหาศาสดาอัลเฟอุส ”
“แก่นแท้แห่งดวงดาว ?”
“ผู้ที่ครอบครองแก่นมนตราจะนำพามนุษยชาติไปสู่วิวัฒนาการสูงสุดผ่านความรู้ที่ได้รับจากแก่นแท้แห่งดวงดาว….ข้าคิดว่า วีรชน ที่มีพลังกล้าแกร่งคือหนึ่งในความเป็นไปได้ของมนุษยชาติที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดทุกอย่าง”
“…………….”
“พระคัมภีร์ วรรคที่ห้าสิบสอง บรรทัดที่สอง กล่าวไว้ว่า ในยามที่สองดาวใต้ซ้อนทับกันอีกครา ความละโมบของคนเขลาจะสร้างหนึ่งจอมมารหนึ่งปาฏิหารย์ จงอย่าได้กังวลอนาคต เพราะอนาคตอยู่ในมือของตัวเจ้าเอง”
“งั้นท่านจะบอกว่าสาเหตุที่เห็นด้วยกับโครงการนี้แล้วทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากลงไป มันเป็นเพราะท่านทำตามคำทำนาย ?”
“ใช่….ข้าพบว่า หลังจากผ่านเหตุการณ์อุกกาบาตพุ่งชนโลกในบันทึกไปได้ เรื่องราวของมนุษยชาติก็ยังคงถูกบันทึกเอาไว้อยู่ ดังนั้นข้าจึงคิดว่า ความละโมบในคำทำนายจะสื่อถึงพวกเรา ในขณะที่จอมมารและปาฏิหารย์จะกล่าวถึงจอมมารที่ปัดอุกกาบาตออกไปจากโลก”
“ตัวทดลองหมายเลข 1375 ?”
“ใช่…..ข้าคิดว่านางคือตัวแปรสำคัญที่จะนำพาพวกเราทุกคนไปสู่แก่นแท้แห่งดวงดาว….การวิวัฒนาการขั้นสูงสุดของมวลมนุษยชาติ”
“เช่นนั้นท่านจึงสั่งให้ข้าจับนางเป็นๆอย่างงงั้นรึ ?”
“ใช่…จงจับนางมาให้ได้”
“แม้ว่าพวกเราทุกคนจะเสี่ยงที่จะถูกนางฆ่า ?”
“แม้จะต้องแลกกับทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องนำตัวนางมาให้ได้…ไม่ว่าจะชีวิตของเจ้า หรือของข้าเอง …..แม้ว่านั่นจะนำมาสู่จุดจบของประเทศนี้ก็ตาม”
พอได้ยินอีกฝ่ายโต้แย้งด้วยท่าทางสุขุมเช่นนั้น เอริกก็รู้สึกหนานสั่นไปทั่วร่าง
“นี่มัน…บ้าไปแล้วแน่ๆ ”
“ไม่มีสิ่งใดบ้าบอเท่ากับสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ในตอนนี้หรอก…เอริก”
“………………..”
ชายทั้งสองมองหน้ากันและจ้องตากันอยู่นาน จนในท้ายที่สุดเอริกก็ถอนหายใจ
“รับทราบครับ….ข้าจะให้ความสำคัญกับนางเป็นอันดับแรก”
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปได้แล้ว ทุกอย่างเพื่ออนาคตของมวลมนุษยชาติ”
“รับทราบครับท่าน !”
การตามล่าอันยาวนานจึงเริ่มขึ้นด้วยประการฉะนี้
MANGA DISCUSSION