พี่สาวนางร้าย ปักธงตายตั้งเเต่ตอนเเรก !? - ตอนที่ 35
“อ๊าาาาา ไอรินๆๆๆ รักที่ซู๊ดดดดดเลย”
ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล สองพี่น้องที่ขึ้นเตียงด้วยกันก็ยังคงนอนกอดกันเหมือนทุกครั้ง
ทว่า คืนนี้ไม่รู้ไอริซเมานมสดมาหรือยังไง ตัวเธอที่พวงแก้มย้อมไปด้วยสีชมพูอ่อนถึงได้เอาแก้มมาถูกับใบหน้าของไอรินไม่หยุดเสียที
“อึก !”
พอเป็นแบบนี้ ไอรินก็คงนอนไม่หลับแน่ๆ แถมทำแบบนี้มานานห้านาทีได้แล้วจนอยากจะถามเหลือเกินว่า ‘ไม่เบื่อหรือไง แก้มหนูแดงหมดแล้วนะ’
ทว่า ไอริน ก็ไม่ได้พูดออกมา แม้จะเริ่มรำคาญนิดหน่อย
ฟุดฟิดๆ
กลิ่นหอมอันคุ้นเคย และ มือสองข้างที่โอบรอบเอวของเด็กสาวเอาไว้
แม้เบื้องบนจะโดนถูไถจนแทบลุกเป็นไฟ แต่ช่วงล่างก็แนบชิดหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอีกฝ่าย
แน่นอนว่า ยังใส่เสื้อผ้าอยู่ทั้งคู่ ไม่ได้มีความหมายในเชิง 18+
ที่เด็กสาวรู้สึกก็คือความรักที่อีกฝ่ายมีให้จนล้นทะลักออกมาทำให้หัวใจของตนเต้นไม่เป็นจังหวะและยากจะเคลื่อนไหวออกจากอ้อมกอดที่ไม่ว่าจะได้อีกซักเท่าไหร่ก็ไม่พอ
“โธ่..พี่ริซ นี่ล่ะก็”
ไอรินช้อนตามองพี่สาวของตนด้วยพวงแก้มที่ย้อมด้วยสีแดงระเรื่อไม่แพ้กัน
ดวงตาอีกฝ่ายหยาดเยิ้มอย่างมีความสุข แต่ดวงตาของไอรินที่หรี่ลงและริมฝีปากเล็กๆที่ขมิบวาดโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยวก็ดูจะหยาดเยิ้มไม่แพ้เธอ
มือเล็กๆซ้อนทับมือของพี่สาวที่โอบรอบท้องของตัวเอง ก่อนจะสอดนิ้วมือแทรกระหว่างนิ้วมือของอีกฝ่าย
พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใจให้ ไอริซก็พลิกฝ่ามือประกบกับฝ่ามือของไอรินแล้ววางลงบนหน้าท้องของไอรินโดยที่นิ้วมือทั้งห้าของทั้งสองประสานเข้าหากัน และ กุมมือกันและกันแน่น
ไอริซเพิ่มแรงกอด ไอรินที่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายที่พรั่งพรูมากเป็นพิเศษก็หลับตาพริ้มและซบอกของไอริซอย่างมีความสุข
คืนนี้คงนอนไม่หลับ
ไม่ใช่เพราะกังวลเรื่องนอแมน แต่น่าจะเป็นเพราะอยากจะเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกนี้อีกซักพักต่างหาก
ต่อให้อยู่ท่านี้ทั้งคืนก็ไม่เบื่อ
ไม่ได้รู้สึกร้อนอะไรเพราะเวทย์ความเย็นของไอริซทำให้อุณหภูมิของห้องนี้กำลังดีเหมือนเปิดแอร์
เพราะงั้นกอดกันแบบนี้ตลอดไปทั้งคืนก็ได้ ไม่เป็นปัญหา มีอยู่บ่อยครั้งที่พอไอริซทำแบบนี้ ไอรินก็ผลอยหลับไปโดยไม่รู้ตัว
“ฮุๆๆๆ”
“..อื้อ…..”
เป็นช่วงเวลาที่เอื่อยเฉื่อยและสงบสุขเหมือนทุกครั้ง ยิ่งได้นอนบนเตียงคิงไซค์นุ่มๆนี่ มันก็ทำให้รู้สึกฟินจนอยากจะหยุดเวลาเอาไว้เพียงแค่นี้
ทว่า ท่ามกลางเสียงสายฝนและเสียงลมหายใจอุ่นๆขณะที่สูดกลิ่นกายของกันและกัน ทันใดนั้นเองมันก็มีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
ก่อนที่จะ—
ปึ้ง !
“ทั้งสองคนมีเรื่องด่วน รีบมา—”
กึก !
ประตูที่เปิดออกอย่างกะทันหันทำให้สองพี่น้องสะดุ้งเฮือกและมองไปที่ประตู
พริบตานั้นเองที่สายตาของสองสาวสบเข้ากับสายตาของชายหนุ่ม
“เอ่อ…..ขอโทษที”
ชายหนุ่มผมทองที่เห็นสองสาวนอนกอดกันในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยจนเผยให้เห็นขาอ่อน เนินอก ไม่ก็หัวไหล่เล็กน้อย หาได้เบือนหน้าหนีแต่อย่างใด
ชายชาตรีนาม นอแมน กล่าวขอโทษ จากนั้นก็ยืนแง้มประตูแล้วจ้องมองทั้งสองไม่วางตา
“………………..”
“………………..”
“……………….”
ไอริซและไอรินมองนอแมนเงียบๆไม่พูดอะไร
บรรยากาศเริ่มวังเวงจนสุดท้ายนอแมนก็พูดขึ้นมา
“เชิญต่อได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ คิดซ่ะว่าฉันเป็นหนอนผีเสื้อที่เกาะอยู่หน้าประตูก็ได้”
นอแมนที่ทำตาโตไล่สายตาไปตามเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยของไอริซและไอรินซึ่งเผยให้เห็นผิวกายเนียลขาวจนพูดได้ว่าเป็นอาหารตาชั้นดี
“โลลิค่อนชัดๆ”
ไอริซมองนอแมนด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอามือดึงชุดนอนที่หลุดลุ่ยจนเผยให้เห็นเนินอกขึ้นมา แล้วเอาผ้าห่มขึ้นมาปิดต้นขาของตนและคลุมร่างของไอรินที่ตอนนี้กำลังสั่นสะท้านด้วยความโกรธ
“ตามปกติ คนเขาต้องปิดประตูกลับไปแล้วนะ กล้ามากที่มาจ้องกันตรงๆแบบนี้”
“เพราะฉันคือลูกผู้ชายที่เต็มเปี่ยมด้วยความซื่อตรงยังไงละ”
“คำว่า ภัยสังคม กับคำว่า ซื่อตรง ความหมายของมันอยู่คนละโลกเลยนะ ”
แน่นอนว่า ภาพของไอริซที่กอดไอรินเอาไว้ราวกับจะบังน้องสาวสุดที่รักให้รอดพ้นจากสายตาของภัยสังคม จากนั้นก็มองมาที่นอแมนด้วยสายตาเย็นชา มันช่างชวนให้ใจเต้นและน่าทะนุถนอมจนถึงขนาดที่เอาไปทำหนังสือเด็กดีที่แปะเลข 18+ ไว้ข้างหน้าได้ก็ไม่แปลก
กระนั้นแล้ว นั่นก็หาได้สลักสำคัญ เพราะนอแมนในตอนนี้มีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า
“ต้องขอโทษที่รบกวนช่วงเวลาที่เร่าร้อนของพวกเธอ ก็เข้าใจแหล่ะถึงความหลากหลายและรสนิยมทางเพศ ริซ ก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว ฉันเข้าใจดีเลย แต่ถึงอย่างงั้นกับน้องสาวตัวเอง แถมยังเด็กขนาดนี้ …มันก็นะ ฮ่าๆ เอาเป็นว่าจะพยายามลืมๆและไม่พูดเรื่องนี้ล่ะกัน”
“ไม่อยากจะโดนไอ้โลลิค่อนโรคจิตที่มองร่างกายของพวกเราด้วยสายตาแบบนั้นมาว่าใส่เลยซักนิด แล้วอีกอย่าง พวกเราก็แค่กอดกันเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น ช่วยทำความเข้าใจใหม่ด้วยค่ะ ”
ไอริซมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางอารมณ์เสียกว่าปกติ ส่วนไอรินนนั้นดวงตาเริ่มเปล่งแสงสีแดงออกมานิดหน่อย
แม้จะเป็นแค่นอแมน แต่พอสัมผัสได้ถึงเจตนาอาฆาตรแค้นจากคุณน้องสาวในอ้อมกอดของคุณพี่สาว เขาก็รีบกระแอมไอเพื่อเปลี่ยนเรื่องหน้าด้านๆ
“เอาเป็นว่าขอโทษล่ะกัน แต่ก็เป็นอาหารตาชั้นดี—”
“…………..”
“อะแฮ่มๆ เอิ่ม…ขอโทษที่เข้ามาในห้องโดยไม่เคาะประตู แต่ก็นะ ใครใช้ให้พวกเธอไม่ล็คอประตูกันล่ะ แบบนี้มันอันตราย—”
“…………..”
เพราะอีกฝ่ายไม่พูดอะไรและจ้องใส่ด้วยสายตาเย็นชา นอแมนที่เหงื่อไหลซิกๆก็จนตรอกในที่สุด
“ขอโทษครับ…….”
พูดง่ายๆแต่แรกแบบนี้ก็จบ
สุดท้ายนอแมนก็เดินคอตกออกไปแล้วปิดประตูห้อง รอให้สองพี่น้องจัดเผ้าจัดผมให้เรียบร้อยแล้วเปิดประตูออกมา
“เอาละ…งั้นเราไปคุยกัน–”
“ยืนคุยอยู่หน้าห้องแบบนี้ดีแล้วค่ะ”
ไอริซหลบหลังประตูและยืนคุยกับนอแมน โดยแง้มประตูเอาไว้เล็กน้อย
“แต่ว่า—”
“ไม่คิดจะเชิญผู้ชายแปลกหน้าเข้ามาในห้องค่ะ คุยกันตรงนี้แหล่ะ”
“แต่นี่คือเรื่องสำคัญ—”
“ไม่สำคัญเท่ากับการที่สมองของคุณบันทึกภาพน้องสาวของฉันในแง่ลามกๆเอาไว้ในหัวหรอกค่ะ ถ้าจะเข้ามาล่ะก็ ขอรบกวนไปตัดไอ้ที่อยู่ระหว่างขาทิ้งก่อน จากนั้นก็ไปควักเอาสมองส่วนที่บันทึกภาพนั้นไปทำลายทิ้ง พอเสร็จขั้นตอนทุกอย่างก็ขอแนะนำให้แสดงความจริงใจด้วยการควักลูกตาของตัวเองออกมา แล้วก็ก่อนจะเข้าห้องรบกวนทำให้หัวใจตัวเองหยุดเต้นก่อนเข้ามาด้วยค่ะ”
“นั่นจะฆ่ากันรึไง !?”
“เป็นกฎระเบียบที่เคร่งครัดในการเชิญผู้ชายเข้ามาในห้องของเด็กผู้หญิงค่ะ”
“กฎระเบียบพรรคนั้นมันมีที่ไหนกันเล่า !?”
“ก็ที่นี้ไงค่ะ ถ้าทำตามไม่ได้ก็คุยกันหน้าประตูนี้แหล่ะค่ะ”
“อึก !”
นอแมนไม่อาจปฏิเสธว่าเมื่อกี้ตนทำผิดจริง สุดท้ายก็ทำได้เพียงทำคอตกอย่างน่าสมน้ำหน้าแล้วพูดอยู่หน้าประตู
“เฮ้อ…..”
นอแมนสูดหายใจเฮือกใหญ่ราวกับรวบรวมความกล้า
“………….”
“………….”
พอมองตาไอริซที่ตอนนี้ดูไม่พอใจอย่างแรง เขาก็ตัดสินใจพูดออกมา
“รู้รึเปล่าว่าเป็นเพราะพวกเธอ แผนการที่วางมาก็เลยล่มหมดเลยนะ”
“???”
ถ้าเป็นคนที่ติดตามเรื่องราวของเขามาตั้งแต่ตอนแรก ก็เป็นอันรู้กันดีว่า นอแมนนั้นเป็นคนที่เสมอต้นเสอมปลายเลยจริงๆ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
สถานที่พูดคุยของพวกเราย้ายไปที่ห้องนอนของนอแมนแทน
หลังจากที่เขาพูดออกมาหน้าประตูห้องว่าภารกิจล้มเหลว นอแมนก็บ่นไม่หยุดเป็นต่อยหอย
“เฮ้อ…คนเขาก็อุตส่าห์ฝ่ากับดักเลือดตาแทบกระเด็น แล้วดูผลลัพธ์ที่ได้สิ—”
นอแมนเดินไปเดินมารอบเราทั้งคู่ที่นั่งอยู่บนเตียง
ไอรินที่นั่งอยู่ข้างฉัน ไหล่สั่นกึกๆแล้วก็กำลังกำหมัดแน่น
ถ้าไม่กอดไว้แน่นๆล่ะก็ ไอรินคงกระโดดไปชกหน้าไอ้หมอนี่แน่ๆ
“แผนของฉันผิดพลาดเพียงเพราะพวกเธอเอากระดาษทิซซู่ที่วาดวงเวทย์ไปใช้เช็ดปากเนี่ยนะ ? มันก็อาจจะจริงที่ฉันมีส่วนผิดที่เผลอลืมวางทิ้งไว้บนโต๊ะในครั้งแรก แต่ครั้งที่สองคุณน้องสาวตรงนั้นก็เป็นคนหยิบไปใช้เองนี่นา”
“ชิ ! ไม่น่าเผลอลืมเลย”
ไอรินจุ๊ปากด้วยท่าทางเจ็บใจ บางทีเพราะเธอมัวแต่หมั่นไส้นอแมนก็เลยไม่ทันได้สังเกตุว่าทิซซู่นั่นเป็นของที่นอแมนเอาไว้ใช้ในแผนการ
เพราะเป็นแบบนี้ไอรินจึงเถียงได้ไม่เต็มปาก
ส่วนตัวฉันก็เถียงไม่ออก เพราะตอนนั้นก็นึกว่าเป็นทิซซู่ของร้านอาหารก็เลยเผลอหยิบไปใช้จริงๆ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้นอแมนพึ่งเอามาโชว์ให้พวกเราเห็นได้ไม่นาน
“แล้วไม่ได้มีสำรองเอาไว้หรอ ?”
“จะ จะ จะไปมีได้ไงกันเล่า !? ของพรรคนั้นทำยากจะตาย”
“งั้นหรอ….”
ฟังจากน้ำเสียงตึงเครียดและสีหน้าอีกฝ่าย นอแมนคงพูดจริงๆไม่ได้โกหก
“เพราะเป็นแบบนี้ไง แผนทุกอย่างที่เกือบจะสำเร็จ มันถึงได้ล้มเหลวกันหมดเลย”
นอแมนเอามือกุมหัวและนั่งยองๆอยู่ที่พื้น
ทำท่าเหมือนคนที่กำลังเครียดอยู่จริงๆ แต่ไม่สิ ถ้าแผนพัง มันก็น่าจะเครียดจริงๆนั่นแหล่ะ
“ทั้งๆที่สู้แทบตาย ถึงขนาดเกือบโดนไอ้พวกหมาบ้านั่นเขมือบแล้วแท้ๆ”
นอแมนโชว์แผลที่หัวที่มีเลือดซึมออกมาจากบาดแผลคล้ายถูกบางอย่างบาดลึกจนตอนนี้มีเลือดพุ่งปรี๊ดๆออกมาไม่หยุด ถ้าไม่ได้เอาผ้ามากดเอาไว้
นอกจากนี้ พอฉันสังเกตดูดีๆ เสื้อผ้าก็เยิน ทั่วร่างก็เต็มไปด้วยบาดแผลถลอกและคราบสีดำสกปรกเต็มไปหมด
แบบนี้อีกฝ่ายคงไม่ได้โกหก น่าจะผ่านเรื่องต่างๆมามากมายจริงๆนั่นแหล่ะ
“ทำไมถึงไม่โดนเขมือบไปให้จบๆไปเลยนะ”
“ชู่ว์ ! พูดแบบนี้ไม่ดีเลยนะไอริน “
ฉันกระชิบบอกน้องสาวที่บ่นอุบอิบเบาๆ ในขณะที่นอแมนก็ยังบ่นอิดๆออดๆเรื่องภารกิจที่ล้มเหลวไม่หาย
เขาพูดทำนองว่า ‘เป็นเพราะพวกเรา’ บ้าง ไม่ก็ ‘เจ็บใจที่ล้มเหลว เพราะความผิดพลาดง่ายๆพรรคนี้’ หรือ บางครั้งก็เอามือปิดหน้าแล้วสูดน้ำมูกเฮือกใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นบางครั้งก็มีน้ำตาไหลซึมออกมา
อึก ! เอาเป็นว่าทางนี้รู้สึกผิดสุดๆไปเลยค่ะ
ฉันเลยต่อว่าน้องสาวของฉันเบาๆ ไม่ให้นอแมนที่นั่งจิตตกได้ยิน
“ส่วนหนึ่ง มันก็มาจากความผิดของพวกเรานะ”
“โกหกทั้งเพ เมื่อกี้หนูแอบเห็นหมอนี่แสยะยิ้มด้วยแหล่ะ”
“???”
พอฉันมองไปที่นอแมนอีกครั้ง
“ฮึก ! บ้าเอ้ย ! แบบนี้โดนสั่งเก็บแน่ๆ เพราะแผนล้มเหลว ฉันคงไม่มีหน้ากลับไปเจอน้องแมวที่เลี้ยงไว้ที่บ้านอีกแล้ว”
อืม…..คิดถึงน้องแมวที่อยู่ที่บ้านพอๆกับชีวิตของตัวเอง คงต้องประเมินหมอนี่ใหม่ซ่ะแล้วสิ
ดูจากน้ำตาและสีหน้าที่สิ้นหวังขนาดนั้น น่าจะไม่โกหกนะ
แต่ถ้าแบบนั้นหมายความว่า ไอริน โกหกงั้นหรอ ?
ไม่ๆ ถ้าแม้แต่ไอรินยังโกหก งั้นโลกใบนี้ก็คงไม่มีใครที่เชื่อใจได้อีกแล้ว
บางทีไอรินอาจจะตาฝาดไปก็ได้มั้ง
“ไม่หรอกน่า ไอริน ตาฝาดไปเองรึเปล่า ถึงจะเป็นคนที่ห่วยแตกหรือน่าทุเรศจนถึงขั้นที่แมลงสาบยังมีชีวิตที่สดใสมากกว่า แต่ท่าทางแบบนี้ดูไม่น่าจะเป็นการเสแสร้งเลยนะ”
“แต่เมื่อกี้หนูเห็นหมอนี่แอบยิ้มจริงๆนะ”
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ…..”
แม้อีกฝ่ายจะแกล้งร้องไห้จริงๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องในครั้งนี้พวกเรามีส่วนผิดร่วมอยู่ด้วย
“อ๊ะ !”
ระหว่างที่ฉันกำลังคิดว่าจะปลอบนอแมนยังไงดี ทันใดนั้นเองไอรินก็เอากำปั้นทุบฝ่ามือราวกับนึกขึ้นมาได้
“จริงๆแล้ว แผนการนี้น่ะ มันไม่มีทางสำเร็จมาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรอ ?”
กึก !
พริบตาที่ไอรินพูดโพล่งขึ้นมา ทั่วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด
นอแมนที่ร้องไห้ออกมาตั้งแต่เมื่อกี้ จู่ๆก็หยุดร้อง
มันกลายเป็นว่า ดวงตาของเขาค่อยๆมองลอดออกมาจากช่องว่างของฝ่ามือที่เอามาปิดบังหน้าของตนเอง
สายตาดำมืดที่มองลอดออกมา ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกขนลุกแปลกๆ อย่างกับจะบอกว่า ‘ฉันล่ะเกลียดเด็กเซ็นส์ดีอย่างเธอจริงๆ’
แต่ที่แน่ๆ สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก มาคราวนี้มันกลับอึมครึมขึ้นอย่างชัดเจน
“ยังไงถ้าเอาทิซซู่ไปวางไว้กลางสายฝน สุดท้ายมันก็ต้องเปียกจนวงเวทย์ใช้ไม่ได้อยู่ดีไม่ใช่หรอ ?”
สิ่งที่ไอรินเสนอออกมา มันทำให้ฉันสะกิดใจขึ้นมาได้
“แน่นอนว่าพอเป็นแบบนั้น แผนการมันก็ต้องล้มเหลวอยู่แล้วสิ”
หลังจากที่ไอรินพูดออกมาแบบนั้น จู่ๆนอแมนก็ลุกพรวดขึ้นมาจากพื้นแล้วเถียงกลับด้วยเสียงอันสั่นเทา
“นะ นะ นั่นมันไม่จริงซักหน่อย !!!”
“ไม่จริงยังไง ?”
ไอรินถาม นอแมนจึงตอบกลับมาด้วยท่าทางอันมั่นใจ
“คิดว่าฉันไม่ได้เผื่อเรื่องนั้นเอาไว้รึยังไง ? กะอีแค่อุปสรรคพรรคนี้น่ะ ฉันหาวิธีป้องกันเอาไว้แล้ว”
ว่าแล้วนอแมนก็ผายมือออกกว้างแล้วตะโกนออกมา
“นั่นก็เพราะว่ากระดาษทิซซู่ที่ฉันเตรียมมา มันกันน้ำได้ยังไงละ !!!”
“ห่ะ ?”
“เอ๋ ?”
คะ ? ทิซซู่กันน้ำได้ ? มันคืออิหยังนิ ?
ฉันกับไอรินแทบจะหลุดหน้าเอ๋อออกมาพร้อมๆกัน พอได้ยินหมอนั่นพูดออกมาว่าทิซซู่กันน้ำได้
อีของแบบนั้นมันมีอยู่ในโลกด้วยหรอ ?
“ทิซซู่ที่สั่งทำมาเป็นทิซซู่ชนิดพิเศษที่กันน้ำได้ เพราะงั้นมันถึงได้มีจำนวนจำกัดยังไงละ ! คิดว่ากะอีแค่ฝนฉันไม่ได้คาดการณ์อะไรเอาไว้ล่วงหน้าเลยอย่างงั้นหรอ !?”
“ทิซซู่กันน้ำได้….”
“โกหกชัดๆ……”
เราทั้งคู่มองหน้ากัน ก่อนจะจ้องไปยังนอแมนที่สะบัดมือไปมาจนมือแทบจะพันกันมั่วชั่วไปหมด
แถมตอนนี้ยังมีเหงื่อไหลท่วมแก้มทั้งสองข้างอีกต่างหาก สายตาก็ดูล่อกแล่กไปมา แลดูน่าสงสัยสุดๆ
ทิซซู่กันน้ำได้ ?
น้อยๆหน่อยเถอะ จะโกหกก็ให้พอประมาณ
เรื่องพรรคนี้ แม้แต่เด็กอนุบาลก็ไม่เชื่อหรอก
“เฮ้อ……”
มองดูอีกฝ่ายที่ทำหน้าร้อนรน ก่อนจะมองไปยังไอรินที่มองอีกฝ่ายด้วยหางตาราวกับจะดูถูก
“หนูว่าหมอนี่ มันจะต้องไปทำอะไรพลาดแน่ๆก็เลยโทษให้เป็นความผิดของพวกเราแทน”
“……………”
ฉันเห็นด้วยกับน้องสาวของฉันที่วันนี้ฉลาดหลักแหลมจนคุณพี่สาวถึงกับประทับใจ
ทว่า ในตอนนี้ฉันคงไม่มีเวลามาลูบหัวและเอ่ยชม เพราะต้องจัดการกับอีตานอแมนที่ตอนนี้พยายามอ้างสรรพคุณและกระบวนการผลิตต่างๆ
“กระดาษที่ใช้ต้องผ่านการหมักหมมมานานกว่าหนึ่งเดือน แล้วก็ต้องผ่านการเคลือบด้วยน้ำมันมังกรที่ผ่านกระบวนการที่ซับซ้อน—”
บลาๆ
ถ้าปล่อยให้แถมากไปกว่านี้ก็เกรงว่าไอรินจะรำคาญจนเกิดการทำร้ายร่างกายกันเกิดขึ้น
ว่าแล้ว ฉันก็ปรบมือเพื่อเรียกความสนใจของทั้งสอง
แป๊ะ !
“เอาเป็นว่า ในเมื่อความแตกแล้วก็ช่วยไม่ได้ค่ะ พวกเราจะช่วยปิดบังตัวจริงเท่าที่จะทำได้ละกัน”
“พี่ริซ !”
“ไอรินพี่เข้าใจนะว่าน้องคงรำคาญ แต่ในเมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้วก็คงต้องช่วยเหลือกันเท่าที่จะทำได้…ถึงอีกฝั่งจะดูเป็นคนที่ดูไม่น่าเชื่อใจจนอยากจะถีบให้ตกเรือก็ตามเถอะ”
“ฮึก….ถ้าพี่ริซว่างั้นล่ะก็…ก็ได้ค่ะ”
เป็นอีกครั้งที่ไอรินเห็นต่างและไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
แต่ดูจากการที่ไม่แย้งอะไรเพิ่ม เธอคงรู้ดีว่าทะเลาะกับหมอนี่ไป มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
“เพราะงั้นเลิกโม้ทิซซู่กันน้ำพรรคนั้นได้แล้ว เฮ้อ…กะอีแค่ฝนตก มันไม่ได้เป็นปัญหาขนาดนั้นซักหน่อย ถ้าพายุมันแรงมากก็หาอะไรมาปิดไม่ให้โดนน้ำซ่ะก็สิ้นเรื่อง เพราะงั้นเรื่องที่ว่าไม่ได้เจอปัญหาเพราะฝนตก คนๆนี้ก็คงไม่ได้โกหกหรอกนะไอริน”
กึก !
พอฉันพูดออกไปแบบนั้น นอแมนก็หยุดกึกและแข็งค้างในท่าชี้มือขึ้นฟ้าอย่างดูน่าขัน ส่วนไอรินก็ถามฉันกลับด้วยความสงสัย
“แต่แบบนั้น วงเวทย์จะทำงานหรอคะ ?”
“ทำไมจะไม่ทำงานละ ? ยังไงเวทย์ติดตามก็เชื่อมต่อวงเวทย์จากแต่ล่ะอาคารโดยไม่ถูกขวางกั้นโดยกำแพงที่ทำจากหินอ่อนอยู่แล้ว ……คลื่นพลังเวทย์สามารถทะลุวัตถุได้ นั่นคือหลักการขั้นพื้นฐานของเวทมนต์เลยนะ กะอีแค่เอาของมากันฝนเช่นโล่หรือโลหะต่างๆ ยังไงก็ไม่มีปิดกั้นการเชื่อมต่อของวงเวทย์ได้อยู่แล้ว”
“โอ๊ะ ! จริงด้วยค่ะ”
“นั่นแหล่ะ ถ้านั่งคิดดูดีๆ และหาวิธีแก้ปัญหาโดยใช้หัวซักหน่อย แม้แต่น้องที่รู้ถึงปัญหานี้ก็คงแก้ไขได้ไม่ยาก ….แน่นอนว่า เรื่องพวกนี้ต่อให้เป็นคุณนอแมนก็ต้องแก้ได้อยู่แล้วล่ะ”
ว่าแล้ว ฉันก็มองไปที่นอแมนที่ยังคงยืนนิ่งและทำท่าแปลกๆอยู่
“เอ่อ…คุณนอแมน..ได้ยินที่ฉันพูดรึเปล่า ?”
“อะ อะ อื้ม !”
พอได้ยินที่ฉันเรียกตัวเขาที่เหมือนจะสติหลุดออกจากร่างไปชั่วขณะก็กลับมาพยักหน้ารับหงึกๆ
“หึ ! ถ้าพวกเธอไม่เอาไปใช้จนหมดก่อน ป่านนี้ฉันคงเอาโล่ของชุดเกราะที่ประดับอยู่ในคฤหาสน์มากันฝน และการตามหาก็คงสำเร็จไปนานแล้ว”
นอแมนกลับมาขี้โม้ได้อีกครั้ง วันนี้เขาทำตัวน่าสงสัยจริงๆ เดี๋ยวก็ขี้โม้ เดี๋ยวก็มืดมน
อารมณ์ขึ้นๆลงไม่เหมือนไอรินที่บางครั้งแม้อารมณ์จะขึ้นๆลงบ้าง แต่ก็ยังน่ารักๆแล้วก็น่าร๊ากกกที่สุดอยู่ดี
ว่าแล้วก็อยากกอดไอรินอีกจัง
มาหม่ะ มาให้กอดหน่อย เอ้า ! ฮึบ !
“คะ ?”
ฉันเมินไอรินที่ทำหน้างงจากการที่อยู่ๆฉันก็กอดเธอ แล้วหันไปจัดการกับนอแมนที่กำลังจะกลับมาขี้โม้อีกรอบ
“แล้วถ้างั้นจะเอาไงต่อคะ ?”
พอได้ฉันเรียกสติอีกครั้ง นอแมนก็พยักหน้า
“คราวนี้ฉันมีแผน ช่วยทำตามแผนของฉันจะได้รึเปล่า ?”
“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าแผนที่คุณว่ามาคุ้มค่า พวกเราจะยอมตามน้ำไปก็ได้ค่ะ”
ด้วยเหตุนี้เอง จากการที่ถกเกียงกันนานเกือบห้านาที แผนการเร่งด่วนอย่างแผนยัดหลักฐานปลอมให้หัวหน้าพ่อบ้าน จึงเริ่มต้นขึ้นด้วยประการฉะนี้
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
หลังจากที่ไอริซและไอรินเดินออกไปจากห้องนอน
นอแมนที่แสร้งทำเป็นร่าเริงและทำตัวกวนบาทามาโดยตลอดก็เดินตรงไปที่กำแพง
อารมณ์ของเขาในตอนนี้มันตีกันมั่วไปหมดจนสีหน้าตายด้านไร้อารมณ์ไปแล้วเรียบร้อย
ส่วนหนึ่งมาจากความยินดีที่โบ้ยความผิดไปให้สองพี่ร้องได้สำเร็จเรียบร้อย
ส่วนอีกหนึ่งมาจากความรู้สึกผิดที่ต้องโกหกไอริซซึ่งพยักหน้าหงึกๆและยอมเชื่อใจคนอย่างเขา แถมเมื่อกี้เธอก็ยังอุตส่าห์อวยพรก่อนเริ่มแผนการให้เขาว่า ‘ระวังตัวด้วยนะคะ’
อ่า….ถึงจะไม่ได้มีรสนิยมชอบเด็กในวัยนี้ก็เถอะ แต่แบบนี้มันนางฟ้าชัดๆเลย ถ้าไม่มีคนอยู่ในใจอยู่แล้วล่ะก็ คงเผลอตกหลุมรักไปแล้วแน่ๆ
“อ้ากกกก บ้าเอ้ยๆๆๆ รู้สึกแย่สุดๆ รู้สึกผิดจนอยากตายชะมัด”
แถมยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่เธอพูด มันก็ยัง—
ตึ้ง !
ชายหนุ่มเอาหัวโขกกำแพง ก่อนจะพูดกับตัวเองที่ในตอนนี้สายตานั้นกลวงโบ๋และว่างเปล่า พอๆกับที่ว่างในสมองที่กินเนื้อที่กว่า 90% ของสมองเขาไปแล้วเรียบร้อย
“ทำไมตรูถึงไม่หาอะไรมากันฝนกันฟ่ะ….”
นอแมนมัวแต่สิ้นหวังจนลืมไปเลยว่า ปัญหาพรรคนี้ มันแก้ได้ง่ายๆแค่นิดเดียว
ถ้าทำตามที่ไอริซว่าเอาไว้อย่างหาอะไรมาบังวงเวทย์ติดตาม แผนการในครั้งนี้ มันคงสำเร็จอย่างดงามโดยที่เขาไม่ต้องมากล่าวโทษพวกเธอ
“อึก ! แต่ก็เอาเถอะจะมาทำตัวมืดมนต่อก็คงไม่ได้”
ว่าแล้ว นอแมนก็ตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ
“สู้ตายโว้ย ! ครั้งนี้แหล่ะ ตรูต้องทำมันให้สำเร็จให้จงได้”
ชายหนุ่มพูดปลุกใจ ก่อนจะลากสังขารแล้วมุ่งหน้าเข้าสู่ศึกดวลเดือดกับคุณพ่อบ้านที่กำลังไล่ตามหลังมา