พี่สาวนางร้าย ปักธงตายตั้งเเต่ตอนเเรก !? - ตอนที่ 3: ไม้ต่อ
สองปีผ่านไป หลังจากที่ถูกลักพาตัวมา แล้วก็อีกหนึ่งปีกว่าๆที่ไม่ได้พบกับไอริน
มันช่างเป็นช่วงเวลาที่เงียบเหงาและโดดเดี่ยว แต่โชคดีที่เด็กๆในห้องขังคอยเป็นกำลังใจให้
ระหว่างนั้นฉันก็ไม่ย่อท้อที่จะทวงไอรินกลับคืนมา
ฉันยังคงแกล้งทำตัวเป็นหนูทดลองที่ดีว่านอนสอนง่าย
ระหว่างนั้นก็ลองค้นหาวิธีที่จะออกไปสู่โลกภายนอก
เวทย์ที่ฉันถนัดคือเวทย์น้ำแข็งที่มีความละเอียดสูงและมีปริมาณพลังเวทย์มหาศาลจากแก่นมนตราที่ฝังอยู่ข้างใน
ในช่วงที่ทำการทดลองของทุกวันซึ่งทำการปลดกุญแจมือ พวกเราจะไม่อาจหนีออกไปได้ เพราะห้องทดลองโดยรอบได้ฝังไอเท็มเวทมนต์ชนิดพิเศษซึ่งสามารถสร้างคลื่นเสียงความถี่สูงระดับที่สามารถสั่นสะเทือนจนทำให้เกิดเลือดออกในสมองและตายคาที่ ถ้าพวกนักวิจัยเห็นพวกเราทำท่าจะหนี พวกเขาก็จะสั่งใช้งานทำให้พวกเราตายโดยทันที
ดังนั้นระหว่างที่ทำการทดลองตัวฉันจึงไม่คิดหนี สิ่งที่ทำก็คือตั้งใจฝึกฝนพลังเวทย์ของตัวเองโดยควบคุมความละเอียดให้มากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็คอยสังเกตลูกกุญแจที่อีกฝ่ายนำมาไขกุญแจมือของฉัน และ บางครั้งที่ฉันใส่กุญแจมือกลับเข้าไปเอง ฉันก็จะพยายามใช้เวทย์ตัวเองตรวจสอบโครงสร้างของกุญแจมือ
นอกจากนี้ ทุกๆวันฉันจะทดลองสร้างวัตถุบางอย่างจากน้ำแข็งและแอบเอาออกไปจากห้องทดลอง แล้วคอยดูว่า วัตถุดังกล่าวจะอยู่ได้นานแค่ไหน ก่อนที่จะละลาย
พอทำซ้ำนานๆเข้า วัตถุที่ฉันใช้น้ำแข็งสร้างขึ้นก็อยู่ได้นานขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าฉันจะถูกกำไลโลหิตคุมไม่ให้ใช้เวทมนต์ก็ตาม แต่วัตถุพวกนั้นก็ยังคงรูปอยู่ได้
จนสุดท้าย ฉันก็สามารถสร้างลูกกุญแจปลอมออกมาได้สำเร็จและใช้มันไขกุญแจมือของฉัน
“—–!!!”
“พี่ไอริซ !?”
การค้นพบครั้งใหญ่นำพาความหวังมาสู่พวกเรา
หลังจากนั้นฉันจึงใช้เวทมนต์แอบสร้างทางลับขึ้นมาเพื่อหนีออกไปนอกกรงขัง
ฉันใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ในการสำรวจเส้นทางหลบหนีทั้งหมด
ค่อนข้างจะเป็นงานที่กดดันและแข่งกับเวลา แต่พอนึกถึงน้องสาวที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งหนึ่งปี ฉันก็คิดว่าตัวเองจะมายอมแพ้แค่นี้ไม่ได้
หลังจากนั้น เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปอีกรอบ—
ฉันและพวกเด็กๆได้ใช้เวทมนต์ที่ตนชำนาญจนสร้างแผนที่ห้องวิจัยออกมาได้สำเร็จ
วันแห่งการตัดสินได้ถูกกำหนดขึ้น ผู้นำการหลบหนีในครั้งนี้ก็คือตัวฉันผู้สามารถสร้างลูกกุญแจของทุกคนได้
ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันได้พยายามศึกษาโครงสร้างของกำไลโลหิตทุกๆคืนพร้อมๆกับสร้างแผนที่ศูนย์วิจัย
สุดท้ายฉันจึงใช้เวทย์น้ำแข็งของตัวเองสร้างลูกกุญแจขึ้นมาแล้วปลดปล่อยเด็กๆทุกคนให้เป็นอิสระ
พวกเราได้ตรงไปที่ห้องของผู้คุมแล้วทำการแย่งชิงลูกกุญแจทั้งหมดมา เสร็จแล้วก็ตรงไปปลดปล่อยเด็กๆที่ถูกขังอยู่ที่อื่น พวกเราสร้างความอลหม่านและความสับสน พร้อมๆกับทำลายห้องสื่อสารทำให้พวกนักวิจัยไม่สามารถเรียกกำลังเสริมได้ โดยระหว่างที่กำลังหนี ฉันและเด็กๆบางส่วนก็มุ่งตรงไปยังห้องที่อยู่ลึกสุดของศูนย์วิจัย
ตึก….ตึก
ฉันเดินผ่านทางเดินปูด้วยอิฐที่ทอดยาวออกไปไกล จนกระทั่งมาถึงห้องๆหนึ่งที่มีประตูเหล็กหนาใหญ่ตั้งตระหง่าน
“ฝากด้วยนะ—”
“ครับ !”
ฉันฝากให้เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆจัดการ เขาวางมือลงบนเหล็กกล้า จากนั้นวินาทีถัดมาความร้อนที่แผ่ออกมาจากมือของเขาก็ละลายเหล็กทั้งแผ่นทำให้เกิดรูโหว่ขนาดใหญ่ที่ทำให้พวกเราสามารถลอดผ่านเข้าไปได้
ฉันเดินเข้าไปข้างในพร้อมๆกับเหล่าผู้ติดตามตัวน้อย
“—-!!!”
เมื่อก้าวเข้าไปถึง ฉันก็พบกับห้องขนาดใหญ่ที่มีสายไฟระโยงรยางค์เต็มไปหมด
เป็นห้องที่มืดสนิทและดูห่ดหู ที่ตรงกลางห้องมีร่างเล็กๆถูกมัดด้วยโซ่สีทองและกำลังนั่งตัวติดอยู่กับเก้าอี้
เรือนผมสีเงิน มีผ้าปิดตาอยู่ทำให้มองไม่เห็นดวงตา ทว่า ฉันก็จำรูปร่างของเธอได้เป็นอย่างดี
“ไอริน !?”
ใครกันที่ทำให้เธอกลายเป็นแบบนี้ !?
การได้เห็นสภาพอันโหดร้ายของน้องสาวของตัวเองที่ถูกปิดตาปิดปากแล้วถูกลามโซ่มัดติดกับเก้าอี้ ซ้ำร้ายสีผมยังเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอจะต้องผ่านวันคืนอันโหดร้ายมามากมายแน่ๆ
“ท่านพี่ไอริซ !”
“พี่ไอริซค่ะ !!!”
“ไม่เป็นไร ฉันจัดการเอง…..”
ฉันเดินตรงเข้าไปอย่างรวดเร็ว แม้เด็กๆพวกนั้นจะพยายามห้าม
ทันทีที่ถึงตัว ฉันก็ดึงผ้าปิดตาของไอรินออกมาโดยไม่ลังเล
“—-!!!”
“………..”
วินาทีที่สบตาเข้าหากัน ดวงเนตรสีไพรินของเธอกลับไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆเลยแม้แต่น้อย
“มาช่วยแล้วนะ ไอริน….”
ฉันพูดเช่นนั้น ก่อนจะใช้ความเย็นติดลบหลายพันองศาทำลายเครื่องพันธนาการน้องสาวของฉันอย่างง่ายดาย แม้จะรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างหรือพวกเด็กๆจะร้องห้าม แต่ตัวฉันก็ยอมรับราคาที่ต้องจ่ายเพื่อช่วยน้องสาวตัวน้อยคนนี้
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“ลาก่อนนะครับ พี่ไอริซ”
“อึก ! แล้วเจอกันในอีก 5 ปีข้างหน้านะคะพี่สาว !”
หลังการหลบหนีสิ้นสุดลง พวกเราทุกคนได้ตกลงกันว่าจะกระจายหนีกันไปตามที่ต่างๆเป็นกลุ่มย่อยๆเพื่อให้ยากต่อการตามรอย โดยนอกจากฉันก็มีเด็กอีกคนที่อายุเยอะสุดซึ่งมีความรู้ทางภูมิศาสตร์ เขาได้แนะนำทางหนีที่ดีที่สุดและน่าจะนำพาพวกเราไปสู่ดินแดนที่ปลอดภัย ซึ่งสามารถตั้งถิ่นฐานเอาชีวิตรอดได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้
ขอให้ได้พบกันอีกนะ !
พวกเราให้คำมั่นสัญญาแก่กันและกัน จากนั้นก็เดินไปตามเส้นทางของตัวเอง
“ไอริน…….”
พอมาถึงตาของฉัน..ฉันก็มองไปยังน้องสาวตัวเองที่นั่งอยู่ก้อนหินด้วยสีหน้าราบเรียบไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา
ใบหน้าเย็นชา
ความรู้สึกกดดันอย่างน่าประหลาดทำให้ใครๆที่พบเห็นต่างหวาดกลัวตัวเธอไปตามสัญชาติญาณ
ดวงเนตรสีไพรินไร้ประกายแสง ซ้ำยังเรือนผมสีเงินผิดมนุษย์
น้องสาวของฉันผ่านอะไรมาเยอะ และ ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้รึเปล่า
“แก ! จับนังเด็กพวกนั้นเอาไว้ !!!”
กองกำลังจอมเวทย์ถือคฑาเวทย์นับสิบคนวิ่งตรงมาทางพวกเรา ฉันรีบยืนขึ้นแล้วชูมือไปข้างหน้าหมายจะจัดการแช่แข็งพวกเขา
ทว่า—
ซวบ !
ไอรินที่นั่งนิ่งๆมาตลอดหันหน้าไปทางพวกเขาแล้วเอ่ยเบาๆด้วยเสียงอันเย็นชาทว่ามันกลับน่าหวาดกลัวราวกับมีแท่งน้ำแข็งที่แหลมคมมาเสียบอยู่ที่กลางอก
“ตายซ่ะ—-”
สิ้นคำพูดของเด็กสาว กลุ่มจอมเวทย์ชุดดำเหล่านั้นก็หันคฑาเวทย์ใส่หัวตัวเอง
ตู้มมมมมมม
สิ้นแรงระเบิดที่ดังสนั่นหสั่นไหวไปทั่วผืนป่า ร่างของจอมเวทย์เหล่านั้นก็กระจัดกระจายขึ้นฟ้าก่อนจะตกลงมาเป็นฝนเลือดแล้วยอมผืนหญ้ากลายเป็นสีแดง
“………………”
เป็นครั้งแรกที่สีหน้าของไอรินมีการเปลี่ยนแปลง
ใบหน้าที่เปื้อนเลือดค่อยๆฉีกยิ้มกว้างอย่างช้าๆ
ประกายแสงปรากฎขึ้นมาบนนัยน์ตาคู่นั้นอีกครั้ง
“สวยจังเลย….”
เธอมองฝนเลือดที่ตกลงมาบนร่างของเธอพลางเอ่ยออกมาด้วยเสียงร่าเริงราวกับเด็กๆ
ไม่ต้องให้บอกก็คงรู้ว่าบางทีน้องสาวคนเก่าของฉันอาจจะไม่อยู่ที่นี่อีกแล้วก็เป็นได้
แต่ถึงจะเป็นอย่างงั้น…แม้ว่าจะเป็นอย่างงั้นก็ตาม
“แค่กๆ”
มองฝ่ามือของตัวเองที่ย้อมไปด้วยสีแดง เลือดที่เปื้อนมือก็ไม่ใช่ของใครอื่นนอกจากของฉันเอง
เวลามีจำกัด
มันไม่สำคัญเลยว่าตอนนี้เธอจะเป็นปีศาจหรือเป็นซาตาน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นน้องสาวของฉันก็ยังเป็นน้องสาวที่ฉันรักเสมอไม่เปลี่ยนแปลง
มันไม่สำคัญว่าเธอเป็นอะไรมากกว่า เธออยากจะเป็นอะไร
ในฐานะพี่สาวฉันจะช่วยเธอเท่าที่ร่างกายนี้จะอำนวย
ในช่วงเวลาอีก 5 ปีนับจากนี้ โชคชะตาของไอรินจะดำเนินไปในทิศทางไหน ฉันก็ไม่อาจจะคาดเดาได้
“นี่ไอริน….”
ฉันเดินไปหาเด็กสาวที่มองศพของพวกจอมเวทย์ด้วยท่าทางเหม่อลอย
“เปียกฝนแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดเอาหรอก ไปหาเสื้อเปลี่ยนกันเถอะ”
“—-!!!”
ไอรินน้อยของฉันเบือนหน้ามาทางฉัน
ดวงเนตรสีไพรินเปล่งประกายสีแดงเล็กน้อย
พร้อมกันนั้นริมฝีปากเล็กๆก็เอ่ยคำบัญชาออกมา
“ไสหัวไปซ่ะ—-”
พริบตาก็เกิดความรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วร่าง
รู้สึกถึงอำนาจบางอย่างที่ยากจะขัดขืน
ต้องทำตามที่เธอสั่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามขัดขืน
เวทย์ควบคุมจิตใจของเธอรุนแรงมากๆจนเกือบจะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
ทว่า ก่อนที่เท้าจะถอยหนี มือสองข้างก็เคลื่อนไหวไปโดยอัตโนมัติ
หมับ !
“กำลังสั่งใครอยู่ฮึ ไอริน ?”
“อะ อะ อำไออันอ่ะ ?”
เด็กสาวที่โดนฉันหยิกแก้มจนยืดออกเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเป็นครั้งแรก
“ไม่ต้องถามว่าทำไมเลย คนเขาอุตส่าห์ช่วย คำขอบคุณซักคำก็ไม่มี”
“อืออออาาา”
“แล้วก็คำตอบน่ะมันง่ายออกจะตายไป”
ฉันยืดอกอย่างมั่นใจพร้อมกับหิ้วยัยเด็ดดื้อคนนี้ขึ้นมา
“ไม่มีทางที่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าน้องสาวจะมีอำนาจเหนือพี่สาวได้หรอกนะ ฮ่าๆๆๆ”
“เอ๋ ???”
ตรงข้ามกับไอรินที่ตกอยู่ในภาวะสับสน ฉันก็หันหน้าไปทางพระอาทิตย์แล้วออกเดินขึ้นไปทางเหนือ
การเดินทางต่อจากนี้ของพวกเราจะเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย แต่ถ้าหากมีเด็กคนนี้อยู่ล่ะก็ การเดินทางไปสุดขอบโลกก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด