— ประมาณ 1 เดือนครึ่งก่อนเหตุการณ์ ‘งานเลี้ยงอำลาบาเรน’
— ณ ถนนหลวงสาย 13 A เขตกลางของสาธารณรัฐยูเฟเซีย
ในวันนี้ท้องฟ้ายังคงแจ่มใสเฉกเช่นทุกครา ทว่า ผืนถนนที่ทอดยาวออกไปกลับมีกลุ่มคนรวมตัวกันนับสิบคน
เหล่าบุรุษซึ่งแต่งกายสวมทับด้วยชุดสูทสีดำมองภาพตรงหน้าพลางพิจารณาข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ตรงบริเวณถนนสองแยกซึ่งแตกออกเป็นถนนอีกสองสาย
มองภายนอกเหมือนแก๊งมาเฟียซึ่งไม่น่าจะมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ หากแต่พวกเจ้าหน้าที่รัฐทุกคนต่างรู้ดีว่ากลุ่มคนซึ่งเปล่งรัศมีดำทะมึนน่าเกรงขามออกมาเหล่านี้ถูกเรียก ‘ไวท์สเปียร์’
คมหอกแห่งสาธารณรัฐซึ่งมีหน้าที่เก็บกวาดภัยอันตรายระดับสั่นคลอนประเทศ พวกเขาเป็นหน่วยรบภายใต้การบัญชาการของ ยูโน่ ทาคาฮาชิ — ‘วีรบุรุษแห่งอากเนียร์’
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอายุประมาณ 20 ซึ่งในตอนนี้สวมชุดสูทสีดำทะมึนเช่นเดียวกับพวกลูกน้องและกำลังจับจ้องปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติตรงหน้าอยู่
ภายในวงล้อมของหน่วยรบ ‘ไวท์สเปียร์’ คือ รถม้าสีทองและกลุ่มคนนับสิบคนที่ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง
มีชายร่างท้วมหน้าตาคล้ายคางคกคนหนึ่งที่แต่งกายหรูหราอยู่ตรงกลางโดยมีน้ำแข็งเคลือบทั้งตัวราวกับประติมากรรมน้ำแข็ง รอบข้างของเขาคืออัศวินในชุดเกราะสีเงินที่ถูกน้ำแข็งเชื่อมขาติดกับพื้นจนทำให้ขยับไปไหนไม่ได้
ชายร่างท้วมเป็นเจ้านายของอัศวินเหล่านั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
พอไปสอบถามข้อมูลทั้งจากตัวชายร่างท้วมคนนั้นและอัศวินของเขาก็พบว่า ระหว่างที่กำลังเดินทางมาด้วยกัน พวกเขาได้พบเข้ากับเด็กสาวเร่ร่อนสองคนที่กำลังเดินทางอย่างไร้จุดหมาย พวกเขาก็เลยตัดสินใจยื่นมือเข้าไปช่วยพวกเธอ
ทว่า อยู่ๆก็โดนเด็กพวกนั้นทำร้ายแล้วแย่งชิงทรัพย์สินไปหลายอย่าง พอรู้ตัวอีกทีก็โดนอีกฝ่ายใช้เวทย์ไร้ร่ายแช่แข็งพวกตนทิ้งเอาไว้กลางถนน พร้อมกับขโมยม้าทั้งหมดไป
ระยะเวลานับตั้งแต่พบกับเด็กพวกนั้นและถูกทิ้งเอาไว้ก็ผ่านมาได้หนึ่งวันพอดี
“คิดว่ายังไงบ้างครับ”
ชายผิวดำหัวล้านซึ่งมีกล้ามโตและมีร่างกายสูงใหญ่เกือบสองเมตรเอ่ยถามยูโน่ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าของตนหลังจากที่นำข้อมูลมารายงาน
“คิดว่าข้อมูลนั่นเชื่อถือได้มากแค่ไหน เบนิโต”
ชายหัวล้าน หรือก็คือ รองหัวหน้าหน่วยไวท์สเปียร์ เบนิโต เขาตอบหัวหน้าที่ของเขากำลังทอดสายตาออกไปยังป่าที่อยู่ข้างทาง
“ชายคนนั้นให้ข้อมูลว่าคนหนึ่งอายุประมาณสิบสามปีเป็นวัยรุ่นเพศหญิงที่แต่งกายซอมซ่อราวกับสวมผ้าขี้ริ้วและมีผมสีทอง ส่วนอีกคนที่น่าจะเป็นน้องสาวซึ่งแต่งตัวซอมซ่อไม่แพ้กันและมีเส้นผมสีเงิน เมื่อรวมเข้ากับข้อมูลการร่ายเวทย์น้ำแข็งโดยไม่ต้องร่ายและมีอานุภาพถึงขนาดที่ใช้เวทย์ไฟละลายได้ยากลำบาก คิดว่าต้องเป็นวีรชนเทียมหมายเลข 1374 และ 1375 ไม่ผิดแน่ๆครับ”
เบนิโต ส่ายหัวเบาๆและพูดต่อ
“แน่นอนว่า ข้อมูลที่ได้มาไม่น่าเชื่อถือเลยซักนิดครับ มันต้องเป็นกับดักอย่างไม่ต้องสงสัย”
ว่าแล้ว เบนิโตก็เริ่มอธิบาย
“เป็นที่รู้กันดีว่าหมายเลข 1375 มีความสามารถในการควบคุมจิตใจ ดังนั้นย่อมสามารถบังคับให้พวกเขาเหล่านี้โกหกพวกเราและปลอมข้อมูลรูปพรรณสัณฐานได้ ทว่า 1374 และ 1375 กลับทิ้งหลักฐานเอาไว้อย่างชัดเจน ทั้งๆที่หากคิดตามหลักแล้ว พวกเขาควรจะลบร่องรอยให้มากที่สุด การกระทำที่ขาดความรอบคอบอย่างชัดเจนแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝง หากฆ่าปิดปากทิ้งไปเลย ยังจะดูแนบเนียนกว่าเสียอีก”
“…………..”
“นอกจากนี้ยังปล่อยให้ม้าวิ่งหนีไปคนล่ะทิศคนล่ะทาง ซึ่งมองดูเผินๆ อาจคิดว่าทำเพื่อให้พวกเราสับสนทิศทางที่พวกนั้นหลบหนี ทว่า พวกผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมดกลับชี้ไปที่ทิศทางเดียวกันคือถนนทางด้านขวา การหลงเหลือข้อมูลนี้เอาไว้คงคิดจะสร้างความสับสนให้กับพวกเรา…..ซึ่งในกรณีนี้ หากมองในมุมที่อีกฝ่ายใช้ม้าเป็นตัวล่อ ก็ควรจะเอาม้าไปแค่ตัวเดียว แล้วให้ม้าตัวนั้นหนีไปแค่ทางขวา ส่วนพวกตนก็เดินเท้าไปถนนทางฝั่งซ้าย เพื่อหลอกให้พวกเราคิดว่าพวกเธอหนีไปทางขวาด้วยม้า ทว่า การที่ปล่อยออกมาทั้งหมดแบบนี้ ก็ทำให้ใช้ลูกเล่นนั้นไม่ได้ การปล่อยหนีไปทั้งหมดทำให้คิดได้ว่าบางทีพวกนางอาจจะมีจุดประสงค์อื่นแอบซ่อนอยู่นอกจากเส้นทางที่เห็นตรงหน้า”
เพราะอย่างงั้นแล้ว—
ในตอนที่เบนิโตมองมาที่ตน ยูโนก็หยักหน้าแล้วชี้เข้าไปในป่า
“คิดเหมือนกันรึเปล่า เบนิโต”
“ครับ ผมก็คิดว่าพวกนางต้องหนีเข้าไปในป่าแน่ๆครับหัวหน้า”
“นั่นสิ แม้จะดูมีลูกเล่นและวางแผนมาดี แต่ถึงอย่างงั้นเด็กก็ยังเป็นเด็ก ความสามารถในการหลอกลวงยังต้องขัดเกลากว่าจะใช้ได้จริง”
“ครับ….”
“แถมพวกเธอก็ไม่รู้ด้วยว่า พวกเรามีข้อมูลประวัติส่วนตัวทุกอย่างของพวกเธอทั้งหมด จึงทำให้คาดเดาความคิดได้ง่ายมากยิ่งขึ้น”
“ครับ ”
“ไปหาแผนที่มาซ่ะ พวกเราจะวางกำลังกระจายไปยังเมืองต่างๆที่อยู่ใกล้กับป่าแห่งนี้ เบนิโต….นายตามฉันเข้าไปในป่า”
“รับทราบครับ !!!”
หลังจากที่จัดแจงกำลังพลและให้ลูกน้องของตนบางส่วนแยกย้ายไปตามเมืองต่างๆโดยรอบเรียบร้อย ยูโน่ เบนิโต และลูกน้องอีกราวๆสามคนก็เดินทางเข้าไปในป่าเพื่อสำรวจหาร่องรอยของอีกฝ่าย
—- 1 เดือนต่อมา
— ณ ป่าอันเงียบสงบ
ยูโน่เดินข้ามลำธารและแม่น้ำจนไปถึงจุดๆหนึ่งซึ่งเคยมีหลักฐานการตั้งแคมป์เป็นกองไฟที่ดับมอดไปแล้ว
“ที่ตำแหน่งนี้เหมือนกับว่าเคยมีการตากผ้ามาก่อนเลยครับ”
เบนิโตชี้ไปยังกิ่งไม้ที่วางตั้งเป็นราวตากผ้า
ยูโน่พยักหน้าเบาๆก่อนจะออกเดินไปข้างหน้าต่อ
“เอ่อ…..เจอแบบเดิมอีกแล้วครับ”
คราวนี้พวกเขาพบกับกองไฟที่มอดไปแล้วซ้ำยังมีราวตากผ้าทำจากกิ่งไม้คล้ายกับที่เห็นก่อนหน้านี้ข้างๆลำธาร
“นี่มัน..น่าประหลาดจริงๆ ระยะทางไม่ได้ไกลกันมากเท่าไหร่ ทำไมถึงต้องตั้งแคมป์ด้วยนะ ? หรือว่าพวกนั้นกำลังวางกับดักบางอย่างหลอกล่อพวกเราอยู่”
“นั่นสิ….”
ยูโน่เก็บคำถามนั้นไว้ในใจ ก่อนจะตัดสินใจเดินหน้าต่อ
“เอ๋ ?”
“แบบเดิมอีกแล้ว ?”
กองไฟที่ดับมอดและราวตากผ้าจากกิ่งไม้
พวกเขาเจอเป็นจุดที่สาม ทั้งๆที่ห่างจากจุดแรกมาไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร
“ทำไมถึงก่อกองไฟถี่ขนาดนี้ ?”
“นั่นมันก็….ไม่เข้าใจเลยแฮะ”
ยูโน่ทำหน้าตึงเครียด เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะก่อกองไฟติดๆกันโดยไม่ทราบสาเหตุ
“เพราะอะไรกัน ?”
“น่าสงสัย แต่ไม่แน่ว่าอาจจะแค่บังเอิญก็ได้ บางทีอาจจะมีคนตกน้ำระหว่างกระโดดข้ามโขดหินก็ได้”
ยูโน่วัดระยะห่างระหว่างโขดหินที่ใช้ข้ามลำธารแต่ล่ะก้อน
“พูดเป็นเล่นน่าหัวหน้า ความจริงแค่ 1374 สร้างทางเดินน้ำแข็งขึ้นมา พวกนางก็สามารถข้ามไปได้ง่ายๆแล้ว ไม่มีทางตกลำธารถี่ขนาดนี้หรอก ใครมันจะโง่ขนาดนั้นกัน”
“นั่นมันก็จริง …. มันคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ไอ้การที่จะมีคนไถลไปบนพื้นน้ำแข็งแล้วตกน้ำติดๆกัน หรือ ก้าวข้ามโขดหินไม่ผ่านตั้งสามรอบติด”
“นั่นสิครับ ฮ่าๆๆๆ”
“แต่ก็ยังน่าสงสัยอยู่ดี”
ว่าแล้วพวกเขาก็ทำท่าจะเดินเข้าไปในป่าให้ลึกกว่าเดิม แต่ทว่า ระหว่างนั้นเองก็มีนกพิราบสื่อสารตนหนึ่งบินโฉบลงมา
“นี่มัน ?”
ยูโน่ หยิบกระดาษที่พันอยู่รอบเท้าของนกพิราบสื่อสารขึ้นมาอ่าน
“โทษที ตอนนี้ฉันมีธุระด่วน คงต้องฝากให้นายจัดการที่เหลือต่อแล้วล่ะเบนิโต”
“เกิดอะไรขึ้นหรอครับ หัวหน้า ?”
“การสร้าง AHB (Anti Hero specific serum bullet ) ตอนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เหมือนเจ้านักวิจัยนั่น..เอริก มันต้องการให้ฉันไปรับของด้วยตัวเองและก็อยากจะให้ลองทดสองดูด้วย”
“ AHB ? อ่อ เจ้าอาวุธต่อต้านวีรชนเทียมที่ก่อนหน้านี้ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลองสินะครับ เผลอแป๊ปเดียวก็เสร็จแล้วหรอเนี่ย ”
“สำเร็จเร็วจนน่ากลัวความสามารถในการพัฒนาอาวุธของทางเราเลยล่ะ ดูเหมือนว่าครั้งนี้ทางกระทรวงกลาโหมจะยอมให้ใช้สิ่งนั้นที่ผลิตสำเร็จได้เมื่อสองปีก่อนแล้วด้วย”
“ปืน ? ในที่สุดสาธารณรัฐก็คิดจะงัดเอาแท่งเหล็กนั่นออกมาใช้แล้วสินะครับ”
“อ่า…..คงได้เวลายกระดับความทันสมัยของสงครามขึ้นไปอีกขั้น จินตนาการไม่ออกเลยว่าหลังจากนี้มันจะวุ่นวายมากแค่ไหน”
“แต่ถ้าเรามีปืนอยู่ ก็น่าจะได้เปรียบจักวรรดิเซลเทียไปหลายขุมเลย เผลอๆสงครามในครั้งนี้เราอาจจะชนะก็ได้”
ทว่า พอได้ยิน เบนิโต พูดเช่นนั้น ยูโน่กลับส่ายหน้า
“นายคิดว่าศัตรูของสาธารณรัฐมีแค่จักวรรดิเซลเทียอย่างงั้นหรอ ?”
“หมายความว่ายังไงครับ ?”
เบนิโตขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“นายรู้รึเปล่าว่าข้อดีของปืนมีอะไรบ้าง ?”
“พลังทำลาย ความเร็ว และ ความแม่นยำ เป็นอาวุธแห่งยุคสมัยใหม่ที่จะพลิกโฉมสงครามทำให้ยุคสมัยที่ต่อสู้ด้วยดาบและธนูสิ้นสุดลง”
“เหมือนนายจะลืมไปอย่างหนึ่งนะ”
“ลืม ?”
“อีกข้อหนึ่งที่สำคัญก็คือ ปืน เป็นอาวุธที่สามัญชนที่ไม่มีเวทมนต์ก็สามารถใช้ได้”
“ไม่จริงน่า ? หัวหน้า คุณคงไม่ได้คิดใช่ไหมว่า เหตุผลที่สาธารณรัฐไม่เอาปืนมาใช้ซ่ะทีเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่อยากให้ประชาชนรับรู้ถึงการคงอยู่ของมัน ?”
“ใช่….สำหรับสาธารณรัฐของเรา ไม่มีศัตรูไหนที่น่ากลัวไปกว่าประชาชนที่พวกเขาเป็นผู้ปกครองอีกแล้ว การมาถึงของปืนจะทำให้สามัญชนที่ถือครองมันสามารถใช้ปืนเป็นอาวุธต่อกรกับรัฐบาลได้ ดังนั้นที่ผ่านมาจึงเก็บขั้นตอนการผลิตเป็นความลับและผลิตมาเป็นจำนวนจำกัดมาโดยตลอด นายก็รู้ดีใช่ไหมว่า ประชาชนจำนวนมากไม่ชอบใจการปกครองของรัฐบาลทหารในตอนนี้”
“อึก !….นั่นมันก็ใช่ครับ ถ้างั้นทำไมรอบนี้ถึงเอามาใช้ละ ?”
ได้ยินดังนั้น ยูโน่ก็อธิบาย
“เพราะ AHB คือกระสุนปืนชนิดพิเศษซึ่งฝังแร่ที่มีคุณสมบัติรบกวนแก่นมนตราเอาไว้อยู่ โดยการจะเร่งปฏิกิริยาให้ แร่ใน AHM ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ในปัจจุบันมีแค่อาวุธปืนเท่านั้นที่สามารถทำได้”
“แต่ถ้าอย่างงั้น ให้แค่พวกเราใช้ก็พอ ความลับทางการทหารนี่ก็น่าจะพอเก็บเอาไว้ได้นิครับ”
“ทางเบื้องบนคงประเมินว่าการต่อกรกับหมายเลข 1375 จำเป็นต้องใช้ทหารล้อมจับเป็นจำนวนมาก ทำให้ยากจะปิดบังการคงอยู่ของปืนอีกต่อไป หรือบางที พวกเขาก็อาจจะต้องการสร้างความปั่นป่วนภายในให้กับทางจักวรรดิเซลเทีย”
“ความปั่นป่วนภายใน ?”
“นายก็รู้ดีนี่ว่าความสามารถในการเก็บงำความลับข้อมูลทางการทหารของสาธารณรัฐ มันห่วยแตกถึงขนาดสายลับจากจักวรรดิเดินมาหยิบข้อมูลออกไปได้ง่ายๆ เผลอๆป่านนี้ฝั่งนั้นก็คงมีแบบเปลนการสร้างปืนเหมือนกับพวกเราไปแล้วแน่ๆ”
“อ่าว ? ถ้างั้นทำไมฝั่งนั้นถึงไม่เอาปืนมาใช้เลยล่ะครับ”
“ทางนั้นก็มีเหตุผลเดียวกับพวกเรานั่นแหล่ะ”
“ประชาชน ?”
“ใช่…ยิ่งจักวรรดิเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับสายเลือดบริสุทธิ์ และ ให้ค่าคนที่มีพลังเวทย์มากกว่าคนที่ไม่มีพลังเวทย์ พวกคนที่เกิดมาพร้อมพลังเวทย์จะมีหน้ามีตาในสังคม ต่างจากผู้ไร้ซึ่งพลังเวทย์ที่เป็นได้แค่ชนชั้นแรงงานและทาส การปกครองโดยระบอบกษัตริย์ขุนนาง มันเหลื่อมล้ำยิ่งกว่าการปกครองโดยเผด็จการทหารของพวกเราเสียอีก เพราะขนาดประเทศของเราเลิกทาสไปแล้ว ทางฝั่งนั้นยังมีระบอบทาสอยู่เลย…ไม่สิ จริงๆแล้ว ประชาชนในประเทศของเราตอนนี้ทุกคนก็ไม่ต่างจากทาสของพวกท่านผู้นำอยู่แล้ว…… เอาจริงๆก็ไม่ได้ต่างกันขนาดนั้น แต่ถ้าพูดถึงความเคียดแค้นต่อระบอบการปกครอง ทางฝั่งนั้นกินขาดกว่าพวกเราอยู่หลายขุม”
“หมายความว่า หัวหน้าคิดว่า สาเหตุที่อีกฝั่งไม่กล้าเอาปืนมาใช้ ก็เพราะกลัวว่าพวกทาสและสามัญชนจะใช้มันโค่นล้มระบอบขุนนางอย่างงั้นสินะครับ”
“อ่า ลองนึกภาพดูสิ ยุคสมัยที่สามัญชนจับอาวุธปืนเข้าห้ำหั่นกับพวกจอมเวทย์ที่ถือไม้กายสิทธิ์….รัฐบาลทหารของพวกเราอุ้มคนเก่งเป็นงานอดิเรกและลำลายหลักฐานเก่งอยู่แล้ว ต่างจากขุนนางฝั่งจักวรรดิที่ยึดถือลำดับชั้นและฆ่าสามัญชนง่ายๆเป็นผักปลาโดยไม่พยายามทำลายหลักฐานเลยแม้แต่น้อย ถ้าจะให้เปรียบเทียบ ขุนนางจักวรรดิก็เป็นไอ้สารเลวที่ฆ่าคนทิ้งตรงๆและไม่เคยคิดว่ามันผิด แต่ทหารของรัฐบาลทหารคือไอ้ชาติชั่วที่รู้ว่าสิ่งที่ทำมันผิด ก็เลยทำลายหลักฐานทิ้งแล้วก็ยังทำในเรื่องที่ผิดศีลธรรมต่อไปภายใต้คำโกหกสวยหรู ทั้งสองฝั่งต่างกันแค่ไอ้เลวที่ตอแหลกับไม่ตอแหลก็เท่านั้นเอง”
“ฮ่าๆ ถ้าพวกนายพลมาได้ยินเข้าคงควันออกหูแน่เลยครับ”
“ไว้ตอนนั้นค่อยเอาข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรค้ามนุษย์ที่พวกมันมีส่วนเกี่ยวข้องไปขายให้นักการเมืองฝั่งตรงข้ามก็พอ นายก็รู้ดีว่า นักการเมืองของเรากัดกันเก่งไม่แพ้พวกขุนนาง”
“เป็นมุขตลกร้ายที่ขำไม่ออกเลยครับ”
“อ่า….”
“เข้าใจละ เท่าที่ฟังมา พวกผู้บริหารคงประเมินว่า หากพวกประชาชนรับรู้ถึงการคงอยู่ของปืน ประชาชนของเราคงไม่มีกำลังก่อการปฏิวัติด้วยปืนมากเท่ากับพวกประชาชนของจักวรรดิที่อัดแน่นความแค้นต่อการปกคอรงของขุนนางเต็มเปี่ยมนี่เอง ”
“เผลอๆทางเราที่มีกำลังผลิตมาก คงคิดจะแจกอาวุธให้ประชาชนของฝั่งนู้นฟรีๆเลยมั้ง”
“จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอนที่ภายในประเทศตีกันเอง ทำการโจมตีปิดฉากทีเดียวจบ”
“ถ้าง่ายขนาดนั้นก็ดี แต่คงใช้แผนนั่นฉวยโอกาสชิงดินแดนมาบางส่วนระหว่างที่ฝั่งโน้นตีกันเองแน่ๆ”
“เฮ้อ…..ไม่ไหวๆ การเมืองนี่เป็นเรื่องยากจริงๆ”
“ภารกิจในครั้งนี้ก็เกี่ยวกับปัญหาทางกรเมืองด้วยนั่นแหล่ะ”
พูดจบยูโน่ก็หันหลังแล้วโบกมือให้ลูกน้องของเขา
“ฝากจัดการที่เหลือด้วย ไว้เสร็จเมื่อไหร่จะรีบกลับมา”
“ครับ ! ”
ฟ้าวววววว
ชั่วพริบตานั้นเอง ร่างของยูโน่ก็พุ่งทะยานทิ้งห่างออกไปด้วยความเร็วราวกับดาวหางจนถึงขั้นทำให้มีสายลมกรรโชกที่พัดใบไม้บนต้นไม้ร่วงหล่นลงมา
“ยังเป็นเวทย์เสริมพลังกายที่น่าทึ่งไม่เปลี่ยนเลย”
“มองตามไม่ทันเลยครับ”
“สมแล้วที่เป็นวีรบุรุษของพวกเรา”
เบนิโตชื่นชมหัวหน้าของตนร่วมกับลูกน้องที่เหลืออยู่ ก่อนจะออกคำสั่งให้ตามรอยวีรชนเทียมต่อ
“เอ๋ ?”
ทว่า การไล่ล่าหลังจากนั้น เขาก็ต้องพบกับหลักฐานน่าสงสัยที่ชวนให้กุมหัวอีกจนได้
“เจอกองไฟและราวตากผ้าอีกแล้ว ? แถมตั้งสองจุดในระยะห่างกันแค่นิดเดียวอีกด้วย !? นี่มันห้าจุดเลยนะ !? แถมดูจากสภาพกองไฟแล้ว เหมือนกับว่าจุดด้วยเวลาไล่เลี่ยกันไม่นานด้วยเรอะ ?”
เป็นการกระทำที่น่าสงสัย แต่ก็ไม่อาจหาจุดประสงค์ที่ซ่อนเร้นอยู่ได้
ด้วยประสบการณ์อันโชกโชน เบนิโตไม่คิดว่า อีกฝั่งจะทำแบบนี้โดยไม่มีเหตุผล
“เพราะอะไร ? ทำไมกัน ? หรือว่ากองไฟเหล่านี้มันมีอะไรพิเศษอย่างงั้นหรอ ?”
“ท่านรองหัวหน้าครับ !?”
ทันใดนั้นเอง ลูกน้องคนหนึ่งก็ยื่นแผนที่ให้กับเขา
“นี่มัน !?”
เมื่อกางออกมาดู เบนิโตก็ถึงกับอ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง
“วงเวทย์อย่างงั้นหรอ ?”
ตำแหน่งกองไฟทั้งห้าจุด อยุ่ในระยะห่างที่แทบจะสมมาตรกันทุกจุด หากลากเส้นเชื่อมต่อจุดล่ะสองเส้น มันก็จะได้ออกมาเป็นวงเวทย์รูปดาวห้าแฉก
“ไม่น่าเชื่อ ? ว่ากองไฟพวกนี้จะมีจุดประสงค์ลับแอบซ่อนอยู่ เยี่ยมมากที่ดูออก !!!”
“ขอบคุณครับ ท่านรอง !”
ทีนี้ปัญหาอีกอย่างของเขาก็คือ วงเวทย์ที่อีกฝ่ายกำลังสร้างมันคืออะไรกันแน่
ตัวเบนิโตไม่ได้สงสัยเลยว่า การก่อกองไฟเหล่านี้จะมีจุดประสงค์อื่นอย่างเช่น มีเด็กสาวคนหนึ่งซุกซนจน
ตกน้ำไปตั้ง 5 รอบ
“แต่มองแค่นี้ เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าอีกฝ่ายวาดวงเวทย์เอาไว้ทำไม แต่ผู้ที่ครอบครองแก่นมนตราย่อมมีพลังที่จะดำเนินพิธีการของมหาเวทย์ได้”
จะสร้างอะไรออกมากันนะ ?
ภัยธรรมชาติอย่างงั้นหรอ ?
จะว่าไปก็ได้ยินมาว่า เมื่อสัปดาห์ก่อน ผู้ครอบครองแก่นกลางแห่งวายุ ได้สร้างพายุยักษ์เป่าพวกทหารที่สะกดรอยตามทิ้งไปพร้อมๆกับหมู่บ้านที่พวกนั้นแอบซ่อนตัวอยู่ซ่ะด้วย
บางที เจ้า 1374 และ 1375 ก็อาจจะวางแผนชั่วร้ายบางอย่างไม่ต่างจาก ผู้ครอบครองแก่นกลางแห่งวายุ กระมั้ง
“อึก ! นี่มันประมาทไม่ได้เลย”
เผลอๆ การหาความลับของวงเวทย์นี่ อาจจะเดิมพันด้วยชีวิตของผู้คนจำนวนมากก็เป็นได้
“หรือว่าจะบังเอิญ…..ไม่สิ ไม่มีทางเป็นไปได้”
เนื่องจากเบนิโตประเมินคู่ต่อสู้ของตนสูงเกินไป เขาเลยทิ้งคำตอบที่ถูกต้องไปซ่ะแล้ว
“ทุกคน…ถอยออกไปจากที่นี่ก่อน ไว้รอกำลังเสริมแล้วค่อยกลับมาใหม่ดีกว่า แล้วก็กำชับให้วางกำลังทหารปิดทางเข้าออกของป่าเอาไว้ทุกทาง อย่าให้ใครเข้ามาได้ ….รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลยจริงๆ”
เป็นลางสังหรณ์ที่ผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง
หลังจากนั้นเบนิโตก็เล่นใหญ่รัชดาจัดเต็มปิดทางเข้าออกของป่าและเลื่อนการค้นหาออกไปเพราะความระแวงต่อวงเวทย์ที่ไม่เคยมีอยู่ในหัวไอริซเลยซักครั้ง
นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญอีกประการที่ทำให้การพบตัวเด็กสาวทั้งสองคนต้องเลื่อนออกไปนานกว่าที่ควร
หากในวันนั้น เบนิโต ไม่ตัดสินใจเช่นนี้ ในอีกไม่กี่วันถัดมา เขาจะต้องเจอกับไอรินที่กำลังไข้ขึ้นอย่างแน่นอน
นี่จึงเป็นข้อผิดพลาดครั้งสำคัญที่ไม่ได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ซึ่งแม้แต่เบนิโตเองก็ไม่รู้ตัวเช่นเดียวกัน
MANGA DISCUSSION