หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้น พวกเราทุกคนที่เตรียมทุกอย่างครบเรียบร้อยก็ได้รับคำแนะนำให้ไปพบกับเพื่อนของคุณหมอโยฮันที่ทำงานอยู่ที่กิลนักผจญภัย
“สรุป…..นายก็เอาเรื่องยุ่งยากมาให้ฉันจัดการอีกแล้ว ?”
“โทษที…ฝากด้วยล่ะ กาเซล”
ตรงข้ามกับพวกเราที่นั่งอยู่บนโซฟาหนังดูดีมีราคา นั่นก็คือชายวัยกลางคนที่มีรอยบากบนหน้า มีผ้าปิดตาที่ตาขวา และสวมชุดสูทสีดำและมีผ้าคลุมสีแดงสดคลุมทับบ่าอยู่อีกชั้น บนอกประดับตราสีทองหน้าตาคล้ายดาบและธนูไขว้กัน หน้าตาตราดูคล้ายกับตราที่สลักไว้บนป้ายชื่อของกิลนักผจญภัย
ชายผู้ซึ่งอยู่ตรงหน้าของพวกเรามีชื่อว่า กาเซล ….เขาคือเพื่อนของคุณหมอที่บอกพวกเราเอาไว้ก่อนหน้านี้
ใครจะไปคิดกันล่ะว่า เพื่อนที่คุณหมอพูดถึงหรือก็คือกาเซลนั่นจะเป็นคนใหญ่คนโตอย่างหัวหน้ากิลนักผจญภัยของเมืองแห่งนี้ คาดไม่ถึงเลยจริงๆ
“นี่นายคิดว่าฉันช่วยนายได้ทุกเรื่องรึไง ไม่ใช่กาเซลราเอม่อนซักหน่อย….”
“ถึงจะไม่รู้ว่ากาเซลราเอม่อนที่นายพูดถึงคืออะไร แต่คนที่จะช่วยฉันได้เหลือแค่นายจริงๆ”
พอเห็นคุณหมอก้มหัวให้อีกฝ่าย ฉันก็ก้มหัวบ้างด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้พวกเขาลำบาก
“ได้โปรดอย่าโทษคุณหมอเลยนะคะ เรื่องทั้งหมดเป็นความผิดพวกเราเอง ต้องขอโทษจริงๆค่ะ”
“อะ เอ๋ ?”
พอเห็นฉันก้มหัวให้อีกฝ่าย ไอรินก็เลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก
แต่พอฉันส่งสายตาให้ ไอรินก็ก้มหัวตามแบบงงๆ แม้ดูแล้วจะตามไม่ทันก็ตาม
ถึงหลังจากที่ก้มหัวไปแล้วพักหนึ่ง เธอถึงจะเพิ่งรู้สึกตัวแล้วบ่นพึมพำว่า ‘อ่าว ? ทำไมเราต้องก้มหัวให้มนุษย์ด้วยล่ะเนี่ย’ แต่ไอรินก็ไม่ได้โวยวายออกมา นอกจากรอให้ฉันเงยหน้าขึ้นมาก่อน
“เฮ้อ….ให้ตายเถอะ ฉันไม่ได้ว่าพวกแกซักหน่อย แล้วก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับเรื่องนี้มากด้วย เพราะงั้นเงยหน้าขึ้นมาซ่ะ แบบนี้ฉันก็ดูเป็นคนไม่ดีสิ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ดีจริงๆ ขอบคุณที่นายไม่ถือสา”
“ไม่ถือก็แย่แล้ว ฉันพูดกับเด็กๆพวกนั้นไม่ได้พูดกับแก”
“อึก !”
คุณหมอทำคอตกอย่างน่าสงสาร ในขณะที่คุณกาเซลมองมาที่ฉันและไอริน
“ถ้าจะถามเกี่ยวกับภูมิหลังหรือความเป็นมา มันก็คงยาวมากหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ตอบไม่ได้สินะ”
“เรื่องนั้น…..”
“อ่า…ช่างมันเถอะ ฉันไม่ชอบเรื่องยุ่งยาก”
พูดจบเขาก็เดินไปหยิบบัตรที่ทำจากกระดาษแข็งมาให้เราสองใบ
“จะลงทะเบียนให้เดี๋ยวนี้ ช่วยกรอกแบบฟอร์มให้เรียบร้อยด้วย”
“ขอบคุณค่ะ….แต่ว่าแบบนั้น จะไม่เป็นอะไรหรอคะ ?”
คุณกาเซลไม่มองตาฉัน เขาทำเพียงแค่หยิบลูกแก้วสีใสออกมา
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หมอนี่ชอบพาคนแปลกๆมาหาฉัน”
เป็นคำตอบเรียบง่ายที่ยากจะคาดเดาความรู้สึก
“ถ้าถามว่ามีปัญหารึเปล่า มันก็มีแหล่ะ ถ้าโดนจับได้ เรื่องก็คงจบไม่สวยซักเท่าไหร่”
“เดี๋ยวๆ อย่าไปขู่เด็ก—”
ทว่า ก่อนที่หมอโยฮันจะพูดห้าม หัวหน้ากิลที่มีใบหน้าเย็นชากลับยกมือขวางไม่ให้เขาพูดต่อ
“แต่ว่าในยุคที่วุ่นวายพรรคนี้ อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้เสมอนั่นแหล่ะ”
“……………..”
“การที่ใครซักคนจะหายไปจากชีวิตของคนเรา มันเกิดขึ้นได้ตลอดโดยที่ไม่มีโอกาสได้แม้แต่จะเตรียมใจ บ่อยครั้งที่หมอนี่ชอบพาคนแปลกๆมาขอความช่วยเหลือจากฉัน—”
บรรยากาศที่เงียบสงบทำให้รู้สึกอึดอัด…ไม่สิ กดดันอย่างน่าประหลาด
“แล้วก็หลังจากที่ได้รับการช่วยเหลือจากฉันไปแล้ว พวกคนเหล่านั้นก็ไม่เคยเหยียบกลับมาที่ห้องนี้อีกแม้แต่ครั้งเดียว”
“………………….”
คราวนี้เป็นคุณหมอโยฮันที่ก้มหน้าเงียบๆไม่พูดอะไร
“เธอไม่จำเป็นต้องเข้าใจว่าทำไมฉันถึงช่วยพวกเธอ เพราะยังไงโลกใบนี้ก็เต็มไปด้วยข้อสงสัยและปริศนามากมายที่คนเราไม่มีทางเข้าใจจนวันตายอยู่แล้ว”
หัวหน้ากิลกาเซลเว้นหายใจเล็กน้อย ก่อนจะยื่นบัตรประจำตัวนักผจญภัยให้กับพวกเรา
“แต่ถ้าคิดว่าสิ่งที่ฉันทำให้ในวันนี้เป็นบุญคุณที่ต้องชดใช้ หลังจากนี้ก็จงรีบๆไสหัวออกไปจากห้องทำงานของฉันซ่ะ ไสหัวไปให้ไกลๆ แล้วถ้าซักวันหนึ่งยังมีชีวิตรอดอยู่ ก็จงกลับมาที่นี่ให้ฉันเห็นหน้าเห็นตา พวกแกทำแค่นั้นก็พอแล้ว”
พูดจบเขาก็เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานไม้สักหรูหราแล้วจัดการเอกสารบนโต๊ะต่อโดยไม่มองหน้าของพวกเราอีก
“ความจริงต้องตรวจวัดพลังเวทย์ แต่ครั้งล่าสุดที่หมอนี่พาคนแบบพวกเธอมาก็ทำเอาห้องนี้ระเบิดเละเทะไปหมด เพราะงั้นฉันเลยปลอมข้อมูลพลังเวทย์ให้เรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไรต้องกังวล เอาล่ะ…ทีนี้ก็ไสหัวออกไปได้แล้ว”
“เอ่อ…คือว่า”
คุณหมอโยฮันทำท่าทางอ้ำอึ้งๆเล็กน้อย
“ขอบคุณนะ—”
“ไม่จำเป็น แกพูดกับฉันแบบนี้มาเป็นสิบๆรอบแล้ว และนี่ก็คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายด้วย เอาเป็นว่าถ้าหมดธุระแล้วล่ะก็ รีบๆไสหัวออกไปได้แล้ว ถึงจะเห็นแบบนี้หัวหน้ากิลก็ไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้นหรอกนะ”
“เข้าใจแล้ว….”
ถึงจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่สองคนนี้ดูจะไม่ได้สนิทกันเหมือนกับที่คุณหมอโยฮันเคยพูดเอาไว้
แต่ดูจากการที่เขายังช่วยเหลือพวกเราอยู่ บางทีคุณกาเซลอาจจะไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไรและก็ยังมีสัมพันธ์บางอย่างที่ตัดกับคุณหมอไม่ขาด
อืม…เป็นเรื่องที่ต่อให้ถามไปตรงๆก็คงไม่รู้คำตอบอยู่ดี
“ขอบคุณค่ะ….”
ฉันจึงเดินตามหลังคุณหมอโยฮันออกไปโดยไม่ลืมขอบคุณอีกฝ่ายที่ยังคงก้มหน้าอยู่กับกองเอกสาร
ทว่า ก่อนที่จะปิดประตู ฉันก็ไม่ลืมที่จะถามคำถามที่ฉันคาใจเอาไว้ตั้งแต่เมื่อกี้
“จะว่าไปที่คุณพูดเล่นกันก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับกาเซลราเอม่อนนั่น มุขแบบนั้นอย่าบอกนะว่า—”
กึก !
เป็นชั่วครู่ที่เขาหยุดปากกาที่กำลังเซ็นอยู่ไปชั่วขณะ
เป็นพริบตาเดียวที่เขามองฉันด้วยสายตาสีดำมืดสนิทอันยากจะหยั่งลึก
“ครั้งหนึ่ง…เคยมีคนพยายามถามคำถามเดียวกับเธอ”
“คะ ?”
“แต่ว่ามันไม่มีอยู่จริงหรอก เรื่องราวที่เหมือนกับเทพนิยายนั่น…..โอกาสรอบที่สองของชีวิตคนเราน่ะ มันไม่มีอยู่จริงหรอก”
“…………………….”
“เพราะงั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือวันนี้และวันพรุ่งนี้ของเธอ ต่อให้คนเราจะเชื่อว่ามีอดีตที่เรียกว่าชาติที่แล้วหรืออะไรก็แล้วแต่ นั่นมันก็แค่ความสำคัญตนผิดของมนุษย์ที่หลงเชื่อว่าคนเราที่มีเพียงชีวิตเดียวจะมีโอกาสแก้ตัวรอบที่สอง”
ในช่วงเวลาสุดท้าย ก่อนที่ประตูจะปิดลงไปเองทั้งๆที่ฉันไม่ได้เป็นคนปิด คนๆนั้นก็ได้พูดทิ้งท้ายกับฉันเอาไว้ว่า
“การกลับชาติมาเกิดไม่มีอยู่จริง—-ชีวิตของเธอคือปัจจุบันในตอนนี้เพียงเท่านั้น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น มีเพียงเรื่องนั้นเท่านั้นที่ต่อให้ต้องตายก็ห้ามลืมเป็นอันขาด…..แล้วก็มุขนั่นน่ะลืมๆไปซ่ะเถอะ เจ้าแมวฟ้านั่นอาจจะสามารถเสกของวิเศษได้ทุกอย่าง แต่ต่อให้มันมีของวิเศษมากมายเป็นหมื่นแสน อนาคตที่มือด้วนๆนั่นเปลี่ยนแปลงได้ มันก็มีเพียงชีวิตของเด็กเสื้อเหลืองแค่คนเดียว….ในท้ายที่สุดโลกที่เด็กคนนั้นอยู่ก็ไม่เคยเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะกอบกู้โลกไปอีกซักกี่ร้อยครั้ง มือเล็กๆนั่นก็ไม่สามารถช่วยมากไปกว่าที่มือเล็กๆนั่นจะยืดถึงในท้ายที่สุดอยู่ดี ”
ปึ้ง !
สิ้นเสียงประตูที่ปิดลง คำพูดที่เขาพูดก็ยังคงดังก้องอยู่ในหัว
ในช่วงท้ายๆ ฉันเข้าใจแค่นิดหน่อยถึงสิ่งที่เขาจะสื่อ
ถ้าคิดอย่างมีเหตุมีผล ฉันก็ควรจะสอบถามข้อมูลอะไรหลายๆอย่างจากเขามากกว่านี้
‘เธอไม่จำเป็นต้องเข้าใจว่าทำไมฉันถึงช่วยพวกเธอ เพราะยังไงโลกใบนี้ก็เต็มไปด้วยข้อสงสัยและปริศนามากมายที่คนเราไม่มีทางเข้าใจจนวันตายอยู่แล้ว’
ทว่า ฉันไม่คิดหรอกว่าคนที่พูดกับฉันแบบนั้นจะเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง ยิ่งเขาพูดว่าให้ฉันอยู่กับปัจจุบัน การไปไขความลับในปริศนาของเรื่องการกลับชาติมาเกิดก็คงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร
แล้วอีกอย่าง คำถามนั่น ลึกๆแล้วฉันรู้คำตอบดีอยู่แล้ว ดังนั้นถ้ายืดบทสนทนาต่อไป มันก็แค่การสนทนาระลึกความหลังที่ไม่มีวันย้อนกลับไปได้อีกของผู้มีความทรงจำอดีตชาติของคนสองคนก็เท่านั้นเอง
ยังไงในตอนนี้ การเดินทางของไอรินและฉันคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
“นี่ๆ พวกนายสองคนไม่ชอบกันหรอ ?”
“???”
ทว่า ในระหว่างที่ฉันกำลังปล่อยวางอยู่หน้าประตู ไอรินก็เถรตรงซ่ะจนถามคุณหมอออกไปตรงๆ
“เอ่อ…เรื่องนั้นก็”
“เดี๋ยวสิ อย่าทำให้คุณหมอลำบากใจสิไอริน”
“ทำไมถึงถามไม่ได้กันคะ ถ้าไม่พูดออกมาตรงๆแล้วใครมันจะไปเข้าใจกันล่ะ”
ไอรินเท้าสะเอวมองคุณหมอที่เกาแก้มแล้วยิ้มแห้งๆ
“เรื่องบางเรื่องละเอียดอ่อนนะ ไม่ใช่ว่าอยากจะพูดก็พูดได้ทันที”
“มนุษย์นี่ยุ่งยากจัง”
“เขาเรียกความเอาใจใส่ต่างหาก”
“แต่เพราะเอาใจใส่มากเกินไป สุดท้ายแล้วพอปล่อยเวลาทิ้งไว้แบบนั้น ก็คงไม่มีวันเข้าใจกันได้ จนวันตายนั่นแหล่ะ”
อืม…เด็กคนนี้นี่บางครั้งก็มีเหตุผล แต่บางครั้งก็ดูไร้เหตุผลจังแฮะ
แซ่กๆๆๆ
“พี่ริซน่าเกลียด ! พอเถียงไม่ได้ก็มาขยี้หัวหนูเล่นเฉยเลย”
“เขาเรียกว่าเทคนิคในการเปลี่ยนเรื่องต่างหาก”
พอฉันขยี้หัวไอรินจนยุ่ง ไอรินที่ผมกระเซิงก็พยายามเขย่งเท้าแล้วขยี้หัวฉันคืน
ทว่า ส่วนสูงที่ต่างกันมากเกินก็ทำให้ไอรินทำได้เพียงแตะๆปลายผมของฉัน
“ฮึ่ม ! ขี้โกง พี่ริซคนขี้โกง !”
“ฮุๆ ไว้ตัวสูงกว่านี้ ถึงตอนนั้นก็ค่อยเอาคืนพี่ละกัน”
ฮ่าๆๆๆๆ
พอเห็นเราสองคนหยอกล้อกัน คุณหมอที่ทำสีหน้าอึมครึมมาตลอดก็หลุดเสียงหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆๆ พวกเธอสองคนนี่จริงๆเลยนะ”
“หึ ! ยิ้มได้ซ่ะที ตาลุงหัวมันฝรั่งอย่างนาย ยังไงก็เหมาะกับมันฝรั่งยิ้มมากกว่ามันฝรั่งบึ้งนั่นแหล่ะ”
อะเร๊ะ ? อย่าบอกนะว่าที่ไอรินพยายามคุยกับคุณหมอก่อนหน้านี้ นั่นก็เพราะว่าเธออยากพยายามช่วยคุณหมอ ?
ว่าแต่ หัวมันฝรั่งเนี่ยนะ แม้แต่เธอก็คิดเหมือนกับคนส่วนมากหรอเนี่ย ?
“ฮ่าๆ ขอโทษจริงๆที่ทำให้กังวล เรื่องระหว่างหมอกับกาเซล มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก”
ว่าแล้ว คุณหมอก็มองไปที่ประตูซึ่งปิดสนิทและตั้งตระหง่านอยุ่เบื้องหน้า
“ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นคนที่ยิ้มแย้มและร่าเริงมากกว่านี้นั่นแหล่ะ แต่พอผ่านอะไรหลายๆอย่าง คนเราก็เลยเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ….ทว่า แม้จะเปลี่ยนไปแค่ไหน เนื้อแท้ของเขาก็ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน”
คุณหมอมองพวกเราและเอ่ยถาม
“พวกเธอคิดว่ากาเซลเป็นคนยังไงล่ะ ?”
“ถึงจะเจอกันเป็นเวลาสั้นๆจนอาจจะตอบยาก แต่ลึกๆแล้วน่าจะเป็นคนดีคนหนึ่งเลยค่ะ ถึงจะพูดจาดูโหดร้ายไปบ้าง แต่ก็มีความเป็นห่วงเป็นใยแอบซ่อนอยู่”
“น้ำชาที่ชงให้หอมดี คิดว่าน่าจะลาออกจากงานนี่แล้วไปเปิดร้านน้ำชามากกว่า”
แม้คำตอบของไอรินจะดูแหม่งๆชอบกล แต่คุณหมอก็หยักหน้าแล้วกลับมายิ้มได้อีกครั้ง
“นั่นสินะ….ก็คงตามนั้นแหล่ะ”
“งั้นไปโน้มน้าวให้ลาออกจากงาน แล้วไปเปิดร้านน้ำชากันเถอะ”
“ไม่ใช่แล้วจ้ะ !”
“อ๋อย ! อย่ามาขยี้หัวหนูเล่นสิค่ะ !!!”
เพราะไอรินกาวจัด ก็เลยขยี้หัวเล่นซ่ะเลย
แย่แล้ว น้องสาวของฉันจะเห็นแก่กินเกินไปแล้ว
หลังๆมานี้ชอบลากบทสนทนาเข้าเรื่องของกินตลอด
ในเมืองนี้ ไม่ได้ใส่กัญชาไว้ในอาหารใช่ไหมเนี่ย ไหงน้องสาวของฉันถึงได้เสพติดการกินอาหารขนาดนี้กันนะ หรือจะบอกว่าตอนอยู่ในป่าไม่ค่อยใส่เครื่องปรุง อาหารที่ฉันทำก็เลยไม่อร่อยอย่างงั้นหรอ !?
หืม ?
จะบอกว่าฉันทำอาหารอร่อยสู้อาหารที่คนในเมืองนี้ทำไม่ได้เนี่ยนะ !?
อาเร๊ะๆๆๆ เป็นไปไม่ได้ๆ อาหารที่ฉันทำ ไอรินไม่ชอบงั้นหรอ ?
ไม่จริงน่า ฉันคนนี้…พี่สาวคนนี้พ่ายแพ้กับคุณป้าที่ขายบาร์บีคิวอยู่ข้างทางเนี่ยนะ
ถึงชั่วโมงบินในการทำอาหารต่างกันก็เถอะ แต่ฉันคนนี้เนี่ยะนะที่พ่ายแพ้
อืม….บ้าน่า นี่ไอรินน้อยไม่ชอบอาหารฝีมือของฉันงั้นหรอ ?
นี่คงไม่ใช่ความจริงล่ะมั้ง ฉันต้องคิดไปเองแน่ๆ
ใช่แล้ว เรื่องพรรคนั้น มัน—
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้
—- ไม่มีทางเป็นไปได้ !!!! เรื่องแบบนี้ฉันต้องคิดไปเองเห็น !!!
“ไอรินนนนนนนนนนน”
“อุเกี๊ยก ! ค ค คะ ? ทำไมอยู่ๆพี่ริซก็ทำหน้าน่ากลัวแบบนั้นล่ะคะ”
“นี่ๆ ระหว่างอาหารที่แม่ครัวในเมืองนี้ทำกับอาหารฝีมือพี่ ไอรินชอบแบบไหนมากกว่าหรอ”
ฉันนวดไหล่ไอรินอย่างเป็นกันเองพลางยิ้มอย่างเป็นมิตรเพื่อคลายความกดดัน
“พะ พะ พี่ริซเป็นไรอ่ะ”
พอไอรินมองไปทางคุณหมอราวกับขอความช่วยเหลือ คุณหมอก็ย้อนกลับไปว่า—
“ถ้าไม่บอกตรงๆ ก็ไม่มีทางเข้าใจไม่ใช่หรอ ?”
ไอรินมองหน้าฉันที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะมองไปยังคุณหมอที่ยิ้มแย้มพอๆกับฉัน
ขวับๆๆๆๆๆ
ก่อนจะส่ายหัวรัวๆให้คุณหมอด้วยสีหน้าร้อนรนอย่างน่ารัก ทวินเทลสองข้างหมุนไปหมุนมา
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกันถึงส่ายหัวแรงๆจนหัวแทบจะหลุด
ไม่สิ…จริงๆก็พอเข้าใจแหล่ะ แบบนี้ มันหมายความว่า อาหารที่ฉันทำสู้แม่ครัวในเมืองนี้ไม่ได้นี่เอง
อ่า……
นี่มันน่าเศร้าจริงๆ
ฮึก !
ไม่ได้น้อยใจนะ พี่สาวคนนี้ไม่ได้น้อยใจซักหน่อย
“พะ พะ พี่ริซ นะ น้ำตา ?”
“เปล่า…ฝุ่นเข้าตาต่างหาก”
“ไม่ใช่แย้ว ไหลเป็นสายน้ำขนาดนี้ไม่ใช่แล้วอ่ะ อุหวาาา อะไรเนี่ย ? ไหงน้ำตาของพี่ริซกลายเป็นน้ำแข็งเฉลยเลย ใครทำพี่ริซร้องไห้กัน บอกมานะ เดี๋ยวหนูจะไปจัดการคนที่รังแกพี่ริซให้เอง!!!”
“งือออ แต่ยังไงพี่ก็รักไอรินนะ รักที่สุดในโลกเลยล่ะ เพราะงั้นหลังจากนี้พี่สาวจะพยายามมากขึ้น ขอสัญญาเลยจ้ะ !!!!”
“อั่ก ! หายใจไม่ออก สะ สะ ไส้จะทะลักออกมาแย้ว พะ พะ พี่ริซ จะ จะ จายเหย็นๆ แค่กๆ ก่อน—”
หลังจากที่กอดไอรินด้วยความรักเพื่อชดเชยความบกพร่องที่ไม่อาจเติบเต็มความปราถนาของท้องน้อยๆของเธอ รู้ตัวอีกทีไอรินก็หยุดดิ้นและนอนหลับคาอ้อมกอดของฉันอย่างมีความสุข
“สำลักความรักจนตายไปซ่ะแล้ว…….”
“เมื่อกี้คุณหมอว่าอะไรรึเปล่าคะ ?”
“อะแฮ่มๆ ไม่มีอะไร หมอว่าเราไปรับเควสที่กาเซลรับรองกันก่อนดีกว่า”
หลังจากนั้น พวกเราก็ตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับเควสที่ได้รับมาจากหัวหน้ากิลกาเซล แน่นอนว่า ไอรินที่แสนจะขี้เซาก็ถูกฉันอุ้มไปในท่าอุ้มเจ้าหญิง
MANGA DISCUSSION