พี่สาวนางร้าย ปักธงตายตั้งเเต่ตอนเเรก !? - ตอนที่ 20
หากเปรียบเปรยชีวิตของใครหลายๆคนคือกีฬาวิ่งระยะไกล เรื่องราวของเด็กสาวคนนั้นกลับเปรียบเสมือนกีฬาวิ่งผลัด
จุดเริ่มต้นมาจากการที่นักวิ่งคนหนึ่งได้เก็บไม้คฑาเล็กๆอันหนึ่งที่เปราะบางขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะตัดสินใจออกวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกหนีเส้นชัยที่กำลังไล่ตามตัวเธอมาอย่างช้าๆ
ใช่ เส้นชัย…..สำหรับพวกเธอ มันคือสิ่งที่ไล่ตามมาจากข้างหลัง หาใช่สิ่งที่พวกเธอกำลังวิ่งเข้าหา
เด็กสาวได้คว้าไม้คฑาแล้วออกวิ่งหนีห่างจากเส้นชัยที่กำลังไล่ตามตัวเธอมาอย่างกระชั้นชิด
หนึ่งเมตรผ่านไป สองเมตรผ่านไป สามเมตรผ่านไป จนรู้สึกตัวอีกทีก็วิ่งไปได้เพียงแค่ 6 เมตร
‘อ่า เส้นทางของฉันสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้แล้วสินะ’
นักวิ่งคนนั้นมองคฑาเล็กๆในมือด้วยความรู้สึกเสียดาย
อยากจะเห็นปลายทางที่คฑาเล็กๆนี้ไปถึงเส้นชัย อยากจะเห็นว่าคฑาเล็กๆนี้ยังคงอยู่เคียงข้างตัวเธอจนถึงวันที่ทั้งคู่ไปถึงเส้นชัยไปพร้อมๆกัน
ทว่า ในตอนนี้มันยังเร็วเกินไป
เส้นทางของคฑาที่เธอถืออยู่ มันไม่ควรจะสิ้นสุดลงโดยที่มันไม่ได้ออกวิ่งด้วยตัวเองแม้แต่ก้าวเกียว
ดังนั้นเธอจึงอ้อนวอนต่อปาฏิหาริย์และเล่นโกงในเกมการวิ่งในครั้งนี้
‘ฝากที่เหลือด้วยล่ะ !’
‘เข้าใจแล้ว !’
นักวิ่งคนแรกโบกมือลานักวิ่งคนที่สองตาล่ะห้อย ก่อนหันหลังกลับแล้วเดินเข้าหาเส้นชัยอย่างช้าๆด้วยร่างกายที่เลือนลาง พลางจินตนาการถึงอนาคตที่ทั้งสองคนจะก้าวไปถึง กระนั้นแล้วแผ่นหลังที่ค่อยๆหายไปช้าๆกลับไร้ซึ่งความกังวลแต่อย่างใด ราวกับว่าตัวเธอได้เตรียมใจเอาไว้ตั้งแต่แรก
‘อ๊ะ !’
ทว่า นักวิ่งคนที่สองกลับส่งเสียงประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากวิ่งไปได้แค่สองเมตร
‘แห่ะๆ โดยไล่ตามทันซ่ะแล้วสิ’
เมื่อมองไปข้างหลังก็พบว่าเส้นชัยได้มาจ่ออยู่ตรงหน้าตนเสียแล้ว
หลังจากที่มองมือข้างหนึ่งที่กลายเป็นละอองแสง เธอก็ถอนหายใจเบาๆ พลางมองไม้คฑาในมือครู่หนึ่งด้วยความเสียดาย
อยากเดินทางร่วมไปกับเด็กคนนี้ต่ออีกซักนิดจัง
จะขว้างออกไปก็กระไรอยู่ แต่จะถือเอาไว้จนทำให้คฑาน้อยๆชิ้นนี้เข้าเส้นชัยไปด้วย มันก็คงไม่ทัน
ว่าแล้ว นักวิ่งคนที่สองก็เล่นโกงตามคนแรก
‘ฝากที่เหลือด้วยเน้อ ~ ♪’
‘หา !?’
นักวิ่งคนที่สามซึ่งมารับไม้ต่อส่ายหน้าด้วยความระอา
‘นี่นะคือ ครั้งสุดท้ายแล้วไม่ใช่รึไง ?’
นักวิ่งคนที่สามบ่นออกมาด้วยความไม่พอใจ
‘ถ้าเด็กคนนี้สำคัญขนาดนั้น ทำไมถึงไม่ฝืนไปด้วยกันอีกซักหน่อยเล่า ?’
‘อุ๊ ! ขอโทษจริงๆ’
นักวิ่งคนที่สองทำได้เพียงกล่าวขอโทษซ้ำไปซ้ำมา
‘เฮ้อ…ช่วยไม่ได้ล่ะนะ’
นักวิ่งคนที่สามถึงจะบ่นนู่นบ่นนี่ แต่ก็รับคฑามาแต่โดยดี
‘ฝากด้วยล่ะ….’
นักวิ่งคนที่สองยิ้ม แต่นักวิ่งคนที่สามทำหน้าบึ้ง
‘พวกเธอเล่นโกงมาตั้งขนาดนี้ ยังคาดหวังอะไรจากฉันอีกล่ะ…ดูสิ…ดูขาของตัวฉันสิ’
เมื่อมองไปที่ขาของนักวิ่งคนที่สามก็พบว่า ตั้งแต่เข่าลงไปไม่มีขาอยู่ ดังนั้นเธอคงทำได้แค่คลานตรงต่อไปข้างหน้า
‘ฮึบ !’
ดังนั้นนักวิ่งคนที่สองจึงถอดขาของตนให้กับนักวิ่งคนที่สาม
‘แบบนี้คงจะไปได้ไกลขึ้น คิดว่าห้าเมตรจะถึงไหม ?’
ได้ยินดังนั้น นักวิ่งคนที่สามที่ลองขยับเท้าขึ้นลงเพื่อปรับตัวให้เข้ากับขาของนักวิ่งคนที่สองก็ส่ายหน้า
‘วิ่งไม่ถนัด สุดท้ายแล้วต้องล้มลงระหว่างทางแน่ๆ’
‘หรอ….’
‘แต่ว่าไม่ต้องเป็นห่วง’
‘ทำไมถึงมั่นใจแบบนั้น ?’
‘ก็เพราะว่าเธอทั้งสองคนคอยทะนุถนอมเด็กคนนี้มาตลอดเลยนี่นา’
นักวิ่งคนที่สามลูบคฑาเล็กๆในมือด้วยสายตาอันอ่อนโยนพร้อมกับปลุกใจนักวิ่งคนที่สองในแง่บวก
‘เพราะงั้น วันที่เด็กคนนี้ก้าวไปสู่เส้นชัยด้วยเท้าของตัวเองจะต้องมาถึงในซักวันอย่างแน่นอน ฉันเชื่อแบบนั้น !!!’
‘อึก ! น่าอิจฉาเธอกับนักวิ่งคนแรกจริงๆ ทางวิ่งของฉันเต็มไปด้วยขวากหนามและมันก็แสนสั้นซ่ะเหลือเกิน’
หึ ! นักวิ่งคนแรกรวมๆแล้วเขามีขวากหนามไม่ต่างจากเธอหรอกนะ แถมตัวฉันในตอนนี้จะวิ่งไปได้อีก 1 เมตรถึงรึเปล่าก็ยังไม่รู้ ‘
ทั้งสองวิ่งมาได้ 8 เมตรแล้ว
6 เมตรแรกเป็นฝีมือของนักวิ่งคนแรก 2 เมตรหลังเป็นฝีมือของนักวิ่งคนที่สอง และนักวิ่งคนที่สามจะวิ่งไปอีกไกลแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้
ทว่า ทั้งสามต่างรู้ดีว่าเมื่อนักวิ่งคนที่สามไปถึงเส้นชัย มันจะเกิดอะไรขึ้น
‘น่าๆ ยังไงเด็กคนนี้ก็เป็นน้องสาวสุดที่รักของพวกเรานี่นา เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปน่า หลังจากนี้เธอจะต้องหาขาของตัวเองเจอแล้วก้าวไปตามเส้นทางข้างหน้าที่ขาคู่นั้นเลือกที่จะก้าวเดินไปได้อย่างแน่นอน เธอน่ะไปนั่งพักได้แล้วน่า’
‘อื้ม..ขอบคุณนะ’
ว่าแล้ว นักวิ่งคนที่สามก็รับคฑาต่อมาจากคนที่สอง
‘อ่า…..’
น้ำหนักอันหนักอึ้งและความรู้สึกอันอบอุ่นจากฝ่ามือที่ยังคงจับคฑาอยู่จนถึงเมื่อกี้
มันทำให้นักวิ่งคนที่สามคิดว่าตัวเองควรจะพูดบางอย่างกับนักวิ่งคนที่สองเสียหน่อย
‘นี่ ! เธอน่ะ ! อ่าว ? หายไปซ่ะแล้ว…….’
เมื่อมองไปข้างหลัง กลับเหลือเพียงเสนชัยที่กระชั้นชิดเข้ามา นักวิ่งคนที่สองดันวิ่งเข้าเส้นชัยไปก่อนจะได้บอกลาจนได้
‘เฮ้อ…จริงๆเลยน๊า อย่างน้อยก็ให้ฉันได้บอกลาหน่อยก็ดี’
ทว่า ถึงจะบ่นแบบนั้น นักวิ่งคนที่สามก็ออกวิ่งโดยไม่รอช้า
‘ไม่ต้องเป็นห่วง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทำมาโดยตลอดจะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน’
ว่าแล้ว เธอก็มองไปที่คฑาอันเล็กที่อยู่ในมือของเธอ
‘เนอะ ! ไอริน ?’
นักวิ่งคนที่สามเอ่ยเช่นนั้นก่อนจะสะดุดขาตัวเองแล้วล้มลง
‘หวาาาา’
นั่นเปิดโอกาสให้เส้นชัยไล่ตามเข้ามาอย่างรวดเร็ว
‘ฮึบ !’
กระนั้นแล้ว เธอก็ลากขาที่ค่อยๆหลุดออกจากเข่าอย่างช้าๆเพื่อมุ่งตรงต่อไปข้างหน้า
‘ยังไม่จบหรอก…จะมาจบลงแค่นี้ได้ยังไง’
‘อย่างน้อยก็ให้ฉันได้วิ่งไปได้ไกลมากว่าเบอร์สองสิยะ !
นักวิ่งคนที่สามเอ่ยเช่นนั้น ก่อนจะลากขาไปตามลู่วิ่งที่ทอดยาวออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“พี่ค่ะ ! พี่ค่ะ !”
แรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงจนทำให้สมองภายในหัวโคลงเคลงไปมา ประหนึ่งใบบัวที่ลอยกลางแม่น้ำใหญ่
สิ่งนั้นปลุกสติของฉันที่ดับลงชั่วขณะขึ้นมา
“อุก !”
รู้สึกปวดหัวพอสมควร คงเป็นเพราะใช้สมองมากเกินไป
การแบ่งการทำงานของสมองออกเป็นร้อยๆส่วน ช่างเป็นการกระทำที่บ้าบิ่นซ่ะเหลือเกิน
แม้พลังเวทย์จะมากแค่ไหน แต่สมองก็ไม่ได้สอดคล้องกับพลังที่มีอยู่ การสร้างผีเสื้อน้ำแข็งให้เป็นดั่งตาที่สองของตัวเองจำนวนมาก มันทำให้เกิดการส่งต่อข้อมูลจำนวนมหาศาลเข้าสมองจนทำให้รู้สึกถึงความร้อนที่เกิดตามมาราวกับจะแผดเผาสมองจนมอดไหม้กันเลยทีเดียว
“พี่ริซ ! ฮึก ! พี่ริซ !!!”
ทว่า พอกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง ภาพของเด็กสาวผมเงินที่ผมยุ่งเหยิงและมีน้ำตาเจิ่มนองไปทั่วดวงเนตรสีทับทิม ภาพอันน่าคิดถึงนี่ก็ทำให้ฉันคิดว่าการฝืนตัวเองเมื่อกี้ก็ไม่ได้เสียเปล่าเสียทีเดียว
ฉันลูบแก้มย้อยนุ่มๆนั้นอย่างช้าๆ ก่อนจะหยิกเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว
“อย่าทิ้งพี่ไปอีกนะไอริน”
“ฮึก ! ขอโทษค่ะ ! ขอโทษ ! หนูขอโทษ ! หนูจะไม่ทำอีกแล้ว ฮืออออออออ”
ไอรินที่ร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม เสียงร้องที่ชวนให้คิดถึงความทรงจำเมื่อวันวาน
มันซ้อนทับกับภาพความทรงจำของการเดินทางอันยาวไกลที่นานมากแล้ว แต่ฉันกลับจำได้อย่างน่าอัศจรรย์
“จริงๆเลยน้า….เด็กคนนี้นี่”
ว่าแล้วฉันก็ดึงหัวของน้องสาวตัวน้อยแนบอกของตัวเอง จนเราทั้งคู่ต่างนอนแผ่ราบอยู่บนพื้น
ดวงตาที่เงยหน้ามองท้องฟ้าก็เห็นการผสมผสานของแสงสีดำและแสดที่ค่อยๆกลมกลืนกลายเป็นสีดำอย่างช้าๆ
ความอบอุ่นและสัมผัสนุ่มนิ่มแพร่กระจายไปตามปลายประสาทโดยมีจุดเริ่มต้นมาจากปลายนิ้วที่ลูบเรือนผมนุ่มลื่นอย่างทะนุถนอม และ หน้าอกที่มีเจ้าตัวน้อยมาถูไถไปมาราวกับจะออดอ้อน
การที่ไอรินกลับมาสู่อ้อมอกของฉันอีกครั้ง มันทำให้ฉันทั้งดีใจและรู้สึกขมขื่นในเวลาเดียวกัน
กระนั้นแล้ว ฉันก็ยังยิ้มแย้มเหมือนทุกครั้ง แม้ว่าบางส่วนข้างในจะร่ำไห้พอๆกับเด็กคนนี้ก็ตาม
“ไอริน…ถ้าคราวหน้าทิ้งพี่ไปอีก ต่อให้ต้องไล่ตามไปสุดขอบโลกพี่ก็จะทำนะ”
“ค่ะ ! ขอโทษ หนู..คือว่าหนู….สัญญาค่ะ….หนูจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วค่ะพี่ริซ”
ไอรินที่เบะปากร้องไห้จนใบหน้ายับยูยี่สัญญากับฉันพร้อมกับเอามือสองข้างกอดเอวของฉันแน่นยิ่งขึ้น
ฉันเลยตอบกลับโดยวางคางลงบนกระหม่อมของเธอเบาๆ
“อื้ม…..”
“เพราะงั้น….เพราะงั้น…..พี่ริซห้ามทำอะไรฝืนตัวเองแบบนี้อีกนะคะ”
“จะพยายาม…..แต่ถ้าเพื่อไอรินแล้วสำหรับพี่ไม่มีคำว่าฝืนตัวเองหรอกนะ”
พอฉันพูดแบบนั้น ไอรินก็ช้อนตาขึ้นมองด้วยพวงแก้มที่แดงระเรื่อเล็กน้อย
ฉันเลยฉวยโอกาสประทับริมฝีปากลงบนกระหม่อมของเธอเบาๆ จนไอรินที่ใบหน้ากลายเป็นสีแดงราวกับมะเขือเทศรีบเอาหน้าซุกหน้าอกของฉันราวกับจะกลบซ่อนความเขินอาย
“พี่น่ะรักไอรินที่สุดเลยนะ”
“อื้ม…..”
ฉันเห็นแค่เพียงใบหูที่กลายเป็นสีแดงก่ำ
แต่ปลายนิ้วที่ขยุ้มแผ่นหลังของฉันและศีรษะที่แนบชิดกับร่างของฉันแน่น นั่นก็คือปฏิกิริยาที่ฉันพอใจมากพอแล้ว แม้ว่าหากถ้าเธอเอ่ยบอกรักฉันบ้าง ฉันจะดีใจจนตัวละลายได้เลยก็ตาม
พวกเรากอดกันบนหลังคาของโรงพยาบาลจนเวลาล่วงเลยผ่านไป
นานแค่ไหนก็ไม่ได้นับ
สิ่งที่รู้มีเพียงแค่ร่างกายของเราสองที่โอบกอดกันและกัน คอยแบ่งปันความอบอุ่นให้อีกฝ่ายเสมือนเมื่อครั้งไอรินยังเด็กๆ
ช่างเป็นความทรงจำที่น่าคิดถึง
พอได้ทำแบบนี้บ้าง ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นพี่สาวที่โชคดีที่สุดในโลกซ่ะเหลือเกินที่มีน้องสาวที่น่ารักและขี้อ้อนมากขนาดนี้
ถึงบ่อยครั้งจะชอบเอาปัญหามาให้และชอบเล่นอะไรแผลงๆ
แต่ฉันก็ยังรัก รัก รักเด็กคนนี้….รักไอรินที่เป็นเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ของฉัน
แน่นอนว่าไม่ใช่ความรักในแง่ทางเพศ ในแง่ครอบครัว แต่มันเป็นมากยิ่งกว่านั้นเสียอีก
แม้จะไม่รู้ว่า เรียกความรักเช่นนี้ว่าอะไร แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็ยังคงรักเด็กคนนี้…และจะยังคงรักตลอดไป นั่นคือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ต่อให้ห้วงเวลาผ่านไปอีกกี่ล้านปีแสงก็ตาม
— รักที่สุดเลย ไอรินของพี่
“ฟรี้~ ”
พอรู้ตัวอีกทีไอรินก็นอนหลับในสภาพที่ยังนอนกอดฉันอยู่
น่าจะผ่านอะไรมาหลายๆอย่าง เด็กคนนี้เลยสลบเหมือดในสภาพที่ยังคงยิ้มอยู่ แม้ว่าจะมีหยดน้ำไหลซึมอยู่บริเวณหางตาก็ตาม
พอเอามือวางลงบนศีรษะก็พบว่ายังคงตัวรุมๆอยู่ ดูท่าไข้หวัดที่เป็นอยู่จะยังไม่หายดี
“คงเพราะส่วนหนึ่งเป็นหวัดอยู่ก็เลยสะลึมสะลือและตัดสินใจแปลกๆ”
ระหว่างที่ฉันค่อยๆดันร่างที่รู้สึกเมื่อยล้าขึ้นมา คุณหมอโยฮันก็เดินเข้ามาใกล้แล้วอธิบายอาการของไอรินให้ฉันฟัง
“ขอบคุณค่ะ”
พร้อมกันนั้น เขาก็ยื่นมือมาแล้วช่วยพยุงฉันขึ้น
“ทั้งเรื่องที่ใช้เวทย์ควบคุมจิตใจล้างสมองให้คิดว่าเธอเป็นพี่สาวของคนพวกนั้น รวมถึงการหนีออกจากบ้านในครั้งนี้ และการทำลายโรงพยาบาลยันการที่เห็นหมอเป็นเรา ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เด็กคนนี้สะสมความเครียดร่วมกับไข้ที่ทำให้การตัดสินใจขาดความรอบคอบ….หมอคิดว่าน่าจะเป็นอย่างงั้น”
“ถ้างั้น…..ก่อนหน้านี้ฉันไม่น่าว่าเด็กคนนี้แรงๆเลย คราวหน้าคงต้องใจเย็นลงกว่านี้สินะคะ”
“เป็นเรื่องธรรมดาของคนเรานั่นแหล่ะ เกือบตายไปแล้วด้วยนี่นะ จะโกรธบ้างก็คงไม่แปลก ถ้าไม่โกรธเลยก็ไม่ใช่คนแล้วล่ะ ฮ่าๆๆ”
คุณหมอโยฮันหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะยื่นมือมาที่ฉัน
“ให้ช่วยไหม ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอุ้มไหวอยู่….”
ฮึบ !
ฉันอุ้มไอรินขึ้นมาพลางนึกย้อนไปถึงความทรงจำในอดีต
“เด็กๆนี่โตเร็วจังนะคะ”
“อื้ม ! เผลอแป็ปเดียวจากหนูน้อยที่ชอบเกาะแขนด้วยสีหน้าใสซื่อ ก็กลายเป็นคนที่กอดแขนด้วยสีหน้าที่ต่างไปจากอดีตคนล่ะขั้ว เด็กๆนี่โตเร็วจริงๆนั่นแหล่ะ”
“พูดถึงใครอย่างั้นหรอ ~ ♪ ”
คุณหมอพูดยังไม่ทันจบ เมอลินก็โผล่ขึ้นมาอย่างกระทันหันแล้วแย่งแขนของคุณหมอไปกอดหน้าตาเฉย
ทำเอาคุณหมอโยฮันหัวเราะแห้งๆด้วยท่าทางเสียดาย
“การเป็นพี่ที่ดีนี่ ไม่ใช่ง่ายๆเลยนะคะ”
“นั่นสินะ……….”
“แต่ฉันจะพยายามค่ะ”
“เธอทำได้ดีแล้วล่ะ หมอเป็นกำลังใจให้นะ”
“ขอบคุณมากค่ะ คุณหมอ…..”
พวกเรายิ้มให้กันเบาๆ ก่อนจะพากันเดินลงจากหลังคา ท่ามกลางค่ำคืนที่มีหมู่ดาวประปรายอยู่เต็มท้องฟ้า