พี่สาวนางร้าย ปักธงตายตั้งเเต่ตอนเเรก !? - ตอนที่ 2: เเยกจาก
หนึ่งเดือนผ่านไปหลังปลูกถ่ายแก่นมนตรา สมาชิกในห้องขังก็มีเพิ่มขึ้นและลดลงอยู่เป็นระยะๆ พอรู้ตัวอีกทีฉันก็กลายเป็นพี่ใหญ่สุด และ ร่างกายของพวกเราก็เริ่มคุ้นชินกับแก่นมนตราที่ใส่เข้าไปเป็นที่เรียบร้อย
จะเหลือก็แค่ยาประหลาดๆที่พวกนักวิจัยชุดขาวคอยฉีดให้กับพวกเราทุกๆเย็น มันทำให้พวกเราต้องเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสทุกๆคืน ซ้ำร้ายบางครั้งพวกมันยังจับเราไปสู้กับมอนสเตอร์ที่พวกมันจับมา บ้างเป็น สิงโตมีปีก บ้างเป็นกอบลินตัวสีเขียว เห็นพวกนักวิจัยพูดกันทำนองว่า ทำเพื่อดูว่าพวกเราจะเอาไปใช้รบจริงได้แค่ไหน แถมอาหารที่ให้กับพวกเราในแต่ล่ะวันก็ดันเป็นก้อนขนมปังแข็งๆและซุปเย็นชืด..ได้กินแค่วันล่ะมื้อเองด้วย ค่อนข้างจะขาดอาหารสุดๆ
แต่ช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา พวกเราก็สามารถควบคุมพลังเวทย์ได้ชำนาญขึ้นเรื่อยๆ จริงๆแล้วก็คิดจะหาโอกาสแหกคุกอยู่หรอก แต่ด้วยกุญแจมือสีดำที่สวมอยู่บนข้อมือ เรากลับไม่สามารถใช้เวทมนต์ได้
เห็นพวกนักวิจัยบอกว่ามันคือ ‘กำไลโลหิต’ อุปกรณ์เวทมนต์ที่ใช้คุมขังนักโทษและมีความสามารถควบคุมไม่ให้ผู้สวมใส่สามารถใช้เวทมนต์ได้ พวกเขาสวมมันไว้กับพวกเราเพื่อป้องกันพวกเราหนีและจะมาถอดออกให้ก็ต่อเมื่อเริ่มทำการทดลอง
เคยมีครั้งหนึ่งมีเด็กคิดจะฉวยโอกาสหนีตอนทำการทดลอง ทว่า นักวิจัยเหล่านั้นก็ได้ร่ายเวทย์โจมตีใส่จนขาของเด็กคนนั้นขาด ทำให้หนีไปไหนไม่ได้อีกเลย
หลังจากนั้นวันถัดมา เด็กคนนั้นที่เหลือแค่ตัวกับหัวก็ถูกโยนเข้ามาในห้องราวกับจะเตือนพวกเราว่าถ้าคิดจะหนีล่ะก็เตรียมตัวตายเหมือนเด็กคนนี้ได้เลย
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงไม่มีใครกล้าหนีหรือขัดขืนอีก พวกเราที่กลัวตายก็ได้แต่ทำตามที่พวกมันสั่ง แม้ว่าสุดท้ายเพื่อนๆของเราจะค่อยๆตายจากไปทีล่ะคนสองคนก็ตาม
“ทำไมปะป๊ากับหม่าม๊าต้องทิ้งพวกเราด้วย !”
มีครั้งหนึ่งที่ไอรินซึ่งมีสีหน้าหม่นหมองถามฉัน
“หนูกับพี่ริซเป็นเด็กไม่ดีอย่างงั้นหรอ ? ทำไมพวกเราต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วย !?”
น้ำเสียงของเธอเจือไปด้วยความเจ็บปวดและความโกรธแค้น
ความรู้สึกถูกทรยศหักหลังที่ถูกพ่อแม่ขายทิ้งราวกับเป็นสิ่งของ
ซ้ำร้ายยังถูกขายทิ้งมาในสถานที่ซึ่งทุกข์ทรมานถึงขนาดที่ตายไปยังจะดีซ่ะกว่า
สำหรับเด็กตัวเล็กแค่นี้หรือสำหรับฉันเอง แน่นอนว่า มันคือ เรื่องที่โหดร้ายสุดๆ
“ถ้าไม่ได้ต้องการหนูตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จะให้หนูเกิดมาทำไม ! เกลียด ! เกลียดปะป๊ากับหม่าม๊าที่สุดเลย !!!”
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบเด็กคนนี้ยังไงดี
นี่คือสงคราม…เพื่อชัยชนะแล้วพวกผู้ใหญ่ไม่สนหรอกว่าจะต้องแลกอะไรมาบ้างเพื่อให้พวกตนได้รับชัยชนะ
ไม่ว่าจะเด็กหรือคนแก่ คนที่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้างแล้วสั่งให้พวกทหารไปตาย ไม่มีวันเข้าใจความทรมานของผู้คนข้างล่างได้หรอก ยิ่งเป็นพวกเราที่กลายมาเป็นหนูทดลองเพื่อความมั่งคั่งของพวกเขา พวกเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ พวกเราเป็นได้แค่เหยื่อของสงครามนี้ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้มีเหตุผลมากไปกว่านั้น
“ถ้าเป็นอย่างงี้ไม่เกิดมายังจะดีซ่ะกว่า ! ใช่ ! ชีวิตแบบนี้น่ะตายๆไปซ่ะยังจะดีกว่าอีก !”
ทว่า มีแค่เรื่องนี้ที่ฉันไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ ถึงคำตอบก่อนหน้านี้จะครุมเครือ แต่มีแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่ฉันมั่นใจ
หมับ !
“พี่ริซ !?”
ฉันกอดน้องสาวของฉันที่ดวงตาแดงก่ำและน้ำตานองหน้าเบาๆ
ดึงตัวเธอเข้ามาใกล้แล้วก็นาบหน้าผากของฉันกับหน้าผากของเธอ
“อย่าพูดแบบนั้นสิไอริน…สำหรับพี่แล้วโลกที่ไม่มีน้องอยู่ มันทรมานมากๆเลยนะ”
ใช่…สำหรับตัวฉันที่อยากจะตายไปให้รู้แล้วรู้รอดตั้งแต่วันแรก ไอรินคือเหตุผลเดียวที่ทำให้ฉันยังคงทนอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้
ทุกครั้งที่ทรมานจากอาการปวดอก พอเห็นน้องสาวที่ทรมานยิ่งกว่า มันก็ทำให้ฉันคิดว่าตัวเองจะร้องไห้ออกมาไม่ได้
พอรู้สึกร้อนไปทั่วร่างจากฤทธิ์ของยาที่ถูกฉีดใส่เป็นประจำ เมื่อมองไปทางน้องสาวที่กำลังอาเจียนออกมาไม่หยุด มันก็ทำให้ฉันทนต่ออาการปวดร้อนนี้แล้วเดินไปลูบหลังเธอได้ในที่สุด
เอาจริงๆ ถ้าให้เทียบแล้ว อาการข้างเคียงของฉันรุนแรงมากกว่าของไอรินเป็นสิบเท่า
ทว่า เพราะเป็นเด็กที่ใสซื่อ ไอรินก็เลยทนต่อความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจไม่ไหวต่างจากฉันที่เป็นผู้ใหญ่และระลึกชาติได้
พอเห็นเป็นแบบนี้แล้ว ใครมันจะมัวไปอิดออดโอดครวญได้กันเล่า บางทีนี่คงเป็นสัญชาติญาณความเป็นพี่ล่ะมั้ง
ถึงจะลำบากและกดดัน แต่เพราะมีไอรินอยู่ข้างๆ ฉันจึงยังมีความหวังที่จะแหกคุกออกไปจากที่นี่
ฉันได้ตั้งมั่นว่าจะพาไอรินออกไปจากที่นี่ให้ได้ ก่อนที่ตัวเธอจะถูกความบิดเบี้ยวของสถานที่แห่งนี้กลืนกินจิตใจอันดีงามของเธอเข้าไปทั้งหมด
“โลกภายนอกยังมีสิ่งที่สวยงามอยู่มากมาย และน้องก็เป็นหนึ่งในนั้น”
ความอบอุ่นจากร่างกายเล็กๆนี่มอบความกล้าให้ฉันเสมอ
เพราะงั้นในตอนนี้มันก็ถึงตาฉันที่จะตอบแทนเธอกลับบ้าง
“เพราะงั้นอย่าพูดว่าไม่อยากเกิดมาหรือตายไปยังจะดีซ่ะกว่าเลยนะ….โลกใบนี้น่ะ มันน่าเศร้ามากเกินพอแล้ว ถ้าเสียน้องไปอีก ความน่าอยู่ของโลกใบนี้คงหายไปกว่าครึ่งเลยล่ะ….อย่าพูดว่าไม่อยากอยู่เลยนะ โลกที่ไม่มีไอรินอยู่น่ะพี่ทนไม่ได้หรอก…แล้วก็โลกใบนี้ที่ทำให้พี่ได้พบกับไอริน พี่น่ะรักมากๆเลยล่ะ ถึงจะไม่เท่าไอรินก็ตาม”
“พี่ริซ”
ได้ยินที่ฉันบอกไอรินก็จ้องมองฉันด้วยดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
ร่างเล็กๆในอ้อมแขนสั่นระริกเล็กน้อย ก่อนที่ศีรษะเล็กๆจะเอียงลงมาซบอกของฉัน
จากนั้นก็—-
“อุ๊ ! แงๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“โอ๋ๆๆๆ”
ถึงจะโมโหอารมณ์ร้ายไปบ้าง แต่ยังเป็นเด็กขี้อ้อนและขี้แยไม่เปลี่ยน
“ฮึก ! ขอโทษค่ะ ! ขอโต้ด ! หนูก็ ฮึก ! หนูก็รักพี่ริซเหมือนกัน”
“จ้าๆๆ”
ฉันลูบหัวของไอริซเบาๆ แม้ผมจะสากไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร
ใช้เวลาอยู่นานกว่าไอริซจะร้องไห้จนหลบไป นี่จึงเป็นอีกวันที่เด็กคนนี้ผล็อยหลับบนตักของฉัน
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เวลาได้ล่วงเลยผ่านไป การทดลองอันโหดร้ายก็ผ่านพ้นไปได้ครึ่งปี
พวกเราเริ่มคุ้นชินกับชีวิตข้างในนี้อย่างช้าๆ
เด็กที่มาใหม่และตายจากไป ….โดยไม่รู้ตัวพวกเราก็ค่อยๆคุ้นชินกับความตายของเพื่อนที่ครั้งหนึ่งเคยพูดคุยเล่นด้วยกัน กระนั้นพวกหน้าเดิมๆก็จะผูกพักกันพอสมควร ทำให้เวลาที่จากไป มันยากจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
ทว่า ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
ตอนเช้าตื่นมาทานข้าว ตอนกลางวันแยกย้ายกันไปตามห้องทดลอง ส่วนตอนเย็นก็โดนฉีดยาแปลกๆเข้าไปตรงแขน พอตกดึกก็ต้องทนทุกข์ทรมาน พวกเราทำได้เพียงโอบกอดกันและกันเอาไว้เพื่อหวังว่าอย่างน้อยความทรมานจะทุเลาลง
เหตุการณ์ดังกล่าววนลูปอยู่เนิ่นนาน ระหว่างนั้นฉันก็พยายามควบคุมพลังของตัวเองให้คล่องพลางจดจำเส้นทางของศูนย์วิจัยแห่งนี้เอาไว้ เพื่อที่ซักวันฉันและพวกเด็กๆจะสามารถหนีออกไปจากที่แห่งนี้ได้
ฉันต้องรอคอยโอกาสอย่างใจเย็น
จะใจร้อนไม่ได้ โอกาสมีแค่ครั้งเดียว
ถ้าพลาดคือทุกอย่างจบเห่ ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว แต่เด็กๆทุกคนที่เกี่ยวข้องจะต้องตาย
พยายามคงความสุขุมเอาไว้ และ อดทนทุกครั้งที่เห็นไอรินครวญครางด้วยสีหน้าเจ็บปวด
นับเป็นเรื่องที่บีบรัดหัวใจของฉันเป็นอย่างมากที่ต้องเห็นไอรินงอตัวแล้วหอบหายใจอย่างรุนแรงทุกๆคืน
บ่อยครั้งที่ฉันรู้สึกกลัวว่าจะเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นและทำให้ไอรินต้องตาย
แต่ไอรินก็ผ่านมันมาได้ ทุกๆเช้าที่เห็นเด็กคนนั้นเอามือของฉันไปนาบแก้มของเธอแล้วหลับปุ๋ย มันก็ทำให้ฉันกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ จนเด็กๆคนหนึ่งมองฉันด้วยสายตาราวกับมองเห็นตัวประหลาด
เพราะงั้นฉันก็เลยแบ่งปันความอบอุ่นให้เด็กๆพวกนั้นบ้าง บางครั้งก็มีเด็กมาขอนอนหนุนตักด้วย และ บางครั้งก็มีเด็กมาขอให้ฉันลูบหัว ไอรินที่เห็นฉันโดนแย่งไปก็แสดงความอิจฉาและความหึงหวงออกมา
เริ่มรู้สึกว่าจะยกระดับจากพี่สาวกลายเป็นแม่เฉยเลย ควรดีใจดีไหมเนี่ย ?
ทว่า ถึงฉันจะช่วยปลอบโยนเด็กๆพวกนั้นมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วมันก็มีทั้งคนที่รอดและไม่รอด แน่นอนว่าการสูญเสียเด็กๆพวกนั้นไป มันค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่ทำให้ฉันเจ็บปวดเป็นอย่างมาก และถึงแม้จะไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา แต่ฉันก็มองเห็นความสั่นไหวข้างในดวงตาของไอริน ฉันรู้ดีว่าเธอรู้สึกเสียใจที่ต้องสูญเสียมิตรสหายซึ่งครั้งหนึ่งเคยคุยเล่นด้วยกันหรือทะเลาะกันไปโดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะบอกลา
พบพานและสูญเสีย
ภายในห้องขังเล็กๆนี่ พวกเราได้ผ่านประสบการณ์ต่างๆมามากมาย
ฉันได้ให้สัญญากับไอรินและเด็กๆทุกคนว่า ซักวันหนึ่งพวกเราจะกลับออกไปสู่โลกภายนอกให้ได้
จนกระทั่ง—
“หมายเลข 1375 ออกมาตรงนี้ !”
หมายเลข 1375 คือเลขทดลองของไอริน ส่วนของฉันคือ 1374
ในวันนั้น ช่วงตอนเช้าวันหนึ่งที่ฉันเฝ้ามองใบหน้ายามหลับของไอรินพลางลูบปอยผมของเธอ อยู่ๆก็มีนักวิจัยมาเปิดประตูแล้วดึงไอรินออกไปจากตักของฉัน
“เดี๋ยวก่อนค่ะ ! นี่มันยังไม่ได้เวลาทดลองเลยไม่ใช่หรอ !?”
ฉันพยายามดึงตัวไอรินกลับมาพร้อมกับถามว่าเขาจะพาเธอไปไหน
เพี๊ยะ !
แต่พวกเขาก็ไม่ตอบนอกเสียจากตบหน้าของฉันอย่างแรงจนหัวกระแทกเข้ากับกำแพง
รู้สึกมึนหัวแล้วก็ปวดแก้ม สัมผัสได้ถึงรสชาติขมเหล็กข้างในปาก
“ไม่ใช่เรื่องที่แกต้องรู้ 1374 !”
“หึ ! จะบอกให้เอาบุญล่ะกัน หลังจากนี้แกสองคนคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะ”
“เห้ย ! ไปบอกมันทำไมวะ !?”
“ฮ่าๆๆ ไม่เห็นเป็นไรเลย”
นักวิจัยคนหนึ่งเยาะเย้ย ส่วนอีกคนก็ทำตาเขียวใส่
แต่มันหมายความว่าไงที่จะไม่ได้เจอกันอีกแล้วน่ะ ?
“นังเด็กนี่มีร่างกายที่ทนทานพลังเวทย์ได้มากกว่าพวกแก เพราะงั้นก็เลยกะจะลองใส่แก่นมนตราเข้าไปเพิ่มอีกชิ้น จะรอดรึเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าโชคร้ายก็ตาย แต่ถ้าโชคดีหน่อยก็กลายเป็นก้อนเนื้อเดินได้นั่นแหล่ะ” “ฮ่าๆๆ”
“ไอริน ! ไม่นะ ! ไอริน !!!”
“พี่ริซ !”
ฉันพุ่งเข้าไปหมายจะคว้าเด็กคนนั้นกลับคืนมา
ไอรินยื่นมือมาฉันราวกับจะคว้ามือของฉันเอาไว้เช่นเดียวกัน
ฉัวะ !
“กรี๊ดดดดด !”
เจ็บ ! มือ ! มือของฉัน !?
“หึ ! อย่าเข้าใจผิดไป หนูทดลองอย่างพวกแก แค่เหลือหัวและตัวก็ทดลองได้ ถ้าขัดขืนล่ะก็ จะแขนหรือขาก็ไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย พวกเราสามารถตัดทิ้งได้ทุกเมื่อ อย่าได้ลืมไปซ่ะล่ะ”
มือของฉันข้างหนึ่งถูกหนึ่งในนักวิจัยตัดทิ้งด้วยเวทย์สายลม
“พี่ริซ ! พี่ริซ !!!”
ไอรินถูกอุ้มไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ตัวฉันไม่อาจช่วยอะไรเธอได้แม้แต่น้อย
การสูญเสียเลือดอย่างกะทันหันในปริมาณมากๆทำให้สติของฉันพร่าเลือนอย่างช้าๆ
ท่ามกลางความมืดที่ค่อยๆโอบล้อมเข้ามา เสียงของไอรินก็ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งความเงียบสงบเข้าปกคลุม
ฉัน…ได้สลบไป ก่อนที่จะตื่นขึ้นในตอนเย็นและรู้ว่าไอรินไม่ได้อยู่เคียงข้างฉันอีกต่อไปแล้ว