ตอนที่ 19
‘ไอริซ….ขอโทษนะ ฤดูฝนปีนี้ทำให้พืชที่ปลูกไว้ตายไปเกือบหมดเลย’
‘ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป พวกเราทุกคนจะต้องอดตายกันแน่ๆ’
นั่นคือความทรงจำเมื่อครั้งที่หนูยังเป็นเด็กที่ใสซื่อและไม่รู้อะไรเลยซักอย่าง
ในคืนวันหนึ่งที่พี่ริซอายุ 10 ขวบ คุณพ่อคุณแม่ได้บอกให้หนูไปนอนก่อน และเสริมว่ามีอะไรบางอย่างจะคุยกับพี่ริซ
ทว่า ในตอนนั้น หนูก็แอบแง้มประตูฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็น
‘เพราะงั้นคงต้องฝากให้ลูกช่วยแล้วล่ะ’
‘ช่วยอดทนเพื่อพวกเราหน่อยนะ’
‘ถ้าผ่านฤดูนี้ไปได้ พวกเราก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องอีกแล้ว’
‘ผู้ตรวจการคนนั้นได้ยินว่าชื่นชอบเด็กสาวอายุพอๆกับลูก น่าจะอ่อนโยนกับลูกอยู่ เพราะงั้นไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ’
‘ถ้าโชคดีต้องตาต้องใจก็อาจจะรับลูกไปเป็นเมียน้อยก็ได้ แต่ถ้าไม่อย่างน้อยก็ช่วยแก้ปัญหาเรื่องปากท้องให้เราได้อยู่ดี’
เพราะหันหลังให้ หนูเลยมองไม่เห็นสีหน้าของพี่ริซในตอนนั้น สิ่งที่รู้มีแค่แผ่นหลังเล็กๆที่สั่นเทาซึ่งกำลังก้มหน้าลงต่อหน้า ชายหญิงท่าทางผอมแห้งที่มองเธอด้วยความคาดหวัง
‘ไม่ต้องห่วงลูกต้องทำได้แน่’
‘ใช่แล้ว ก็ลูกสาวของแม่น่ารักออกนี่นา ถ้าแต่งตัวสวยๆก็น่าจะไปรอดอยู่’
‘ถ้าเป็นลูกต้องปกป้องครอบครัวได้แน่’
“อื้ม ! ก็พ่อและแม่น่ะ มีลูกไว้เพื่อการนี้อยู่แล้วนี่นา”
‘………………….’
ในตอนนั้น หนูไม่รู้เลยว่าพี่ริซที่ร่าเริง ทำไมถึงเงียบผิดปกติ
ไม่เข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่กำลังพูดเรื่องอะไร
แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมคืนนั้นพี่ริซถึงหายตัวไปแล้วกลับมาอีกทีในอีกสามวันถัดมา
สิ่งที่รู้มีแค่ พี่ริซกลับมาในรุ่งเช้าพร้อมกับข้าวสารกระสอบใหญ่ราวๆสามกระสอบ
สำหรับพวกเราที่อยู่ในชนบทบ้านนอกคอกนาฐานะยากจนแล้งแค้นจนต้องอดมื้อกินมื้อเป็นประจำ นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นข้าวสารมากมายขนาดนั้น
‘เก่งมากลูกพ่อ ! แบบนี้หน้าหนาวนี้ พวกเราต้องรอดไปได้แน่ๆ’
‘ถึงจะน่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ถูกใจ แต่ทำได้ขนาดนี้ก็ดีมากแล้ว แม่ภูมิใจในตัวลูกมากๆเลย’
‘ทำไมถึงมองพ่อแบบนั้นล่ะ ?’
‘อย่ามองพ่อกับแม่แบบนั้นสิ พวกเราทั้งคู่อุตส่าห์ทำให้แกเกิดมาเลยนะ !?’
‘ถ้าเลือกได้พ่อก็ไม่อยากให้ลูกทำแบบนั้นหรอก แต่นี่ก็เพื่อครอบครัวของเรานะ ครอบครัวที่เลี้ยงแกมาตั้งแต่เด็กๆ หรือว่าลูกไม่รักครอบครัวของเราแล้วอย่างงั้นหรอ ?’
‘—– !!! ’
ในตอนนั้น เหมือนพี่ริซจะตวาดอะไรบางอย่างใส่ทั้งสองคนจนทั้งสองคนสะดุ้ง ทว่า หลังจากนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่ใบหน้ากลายเป็นสีแดงก็ตวาดใส่แล้วชี้ไปที่บ้าน พี่ริซจึงรีบวิ่งเข้าไปในบ้านแล้วเอามือปิดหน้า โดยไม่หันหน้ากลับมาอีก ไม่สนแม้กระทั่ง ตัวหนูที่พยายามร้องเรียก
‘เฮ้อ…แต่อย่างน้อยก็อยู่รอดไปได้อีกฤดู’
‘ต้องขอบคุณเด็กคนนั้น ดีจริงๆที่ไอริซคือลูกของเรา’
‘ครั้งหน้าก็…..’
‘ค่ะ …..ถ้าจำเป็นก็ต้องทำ ไม่งั้นพวกเราต้องอดตายแน่ๆ’
ในขณะที่คุณพ่อคุณแม่พูดอะไรบางอย่าง หนูก็ตื่นเต้นไปกับข้าวสารปริมาณมากที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
— คุณพ่อคุณแม่ค่ะ ข้าวสารพวกนี้ไปหามาจากไหนหรอคะ ? วันนี้จะมีงานเลี้ยงอะไรรึเปล่า ?
พอหนูถามออกไปแบบนั้น คุณพ่อคุณแม่ก็ยิ้มแล้วลูบของหัวหนูอย่างอ่อนโยน พร้อมกับบอกให้หนูได้รู้ว่า
‘นั่นน่ะพี่ริซหามาให้พวกเราเลยนะ’
‘อย่าลืมไปขอบคุณพี่สาวของลูกซ่ะล่ะ วันนี้เรามาฉลองกันเถอะ !’
— ค่ะ !
หนูรู้สึกดีใจและขอบคุณพี่ริซมากๆที่หาข้าวมาให้
ในที่สุดพวกเราที่อดมื้อกินมื้อมาตลอดก็จะได้ทานข้าวเต็มอื่มซ่ะที
ในใจของหนูคิดเพียงแค่นั้น
ไม่รู้เลยถึงความรู้สึกของพี่ริซที่เอาแต่มุดฟูกอยู่คนเดียวในห้องทั้งวันอย่างเลื่อนลอย
แม้ว่าคุณพ่อและคุณแม่จะพยายามไปเกลี้ยกล่อมให้ออกมา เธอก็ไม่ฟัง
เวลาร่วงเลยผ่านไปจนถึงตอนกลางคืนที่พวกเราได้กินข้าวในปริมาณที่มากสุดๆในระดับที่ไม่เคยกินมาก่อน
ข้าวสีขาวพูนจานกลิ่นหอมฉุยถูกวางลงบนโต๊ะทั้งสี่มุม
พวกเราที่ทนรอไม่ไหวจึงกินอย่างเอร็ดอร่อย จนกระทั่งพี่ริซทนหิวไม่ไหวแล้วเดินเข้ามา
‘…………..’
‘………….’
‘……………’
คุณพ่อคุณแม่และพี่ริซจ้องหน้ากันโดยไม่พูดอะไร บรรยากาศระหว่างพวกเราเริ่มอึดอัดและตึงเครียด
ทว่า หนูก็จำได้ดีว่าคุณพ่อเคยบอกหนูเอาไว้ว่าอะไรเมื่อตอนกลางวัน
อย่าลืมไปขอบคุณพี่สาวของลูกซ่ะล่ะ
— พี่ริซค่ะ !
เพราะจำคำพูดนั้นได้ หนูที่เคี้ยวข้าวแก้มตุ้ยก็พุ่งไปกอดเอวของพี่ริซ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองพี่ริซที่สีหน้าดูหม่นหมองแล้วคลี่ยิ้มออกมา
— ขอบคุณนะคะที่ทำเพื่อพวกหนู ไอรินอิ่มมากๆเลยค่ะ !
ใช่…หนู…..ในตอนนั้นพูดออกไปโดยที่ไม่รู้อะไรเลยซักอย่าง
‘อะ…อื้ม’
ไม่เข้าใจถึงรอยยิ้มที่เจ็บปวดของพี่ริซในตอนนั้นและอ้อมกอดอันสั่นเทาที่ดึงหนูเข้าไปกอด
— พี่ริซมากินข้าวด้วยกันเถอะค่ะ !
‘จ้ะ !’
หนูจูงมือพี่ริซที่ยิ้มแย้มมานั่งข้างๆหนู จากนั้นก็ตักข้าวเพิ่มให้
— ทานเยอะๆเลยนะคะ พี่ริซจะได้โตไวๆ
‘ฮุๆ นั่นมันไอรินต่างหาก’
พี่ริซกลับมายิ้มแย้มได้อีกครั้ง ตัวหนูที่โง่เขลาคิดว่าตนเองทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
‘ไอริซ—-’
ไม่ได้เข้าใจเลยถึงธาตุแท้ของคุณพ่อคุณแม่ในตอนนั้น
‘ครั้งหน้าก็ฝากด้วยล่ะ’
คุณพ่อพูดออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และคุณแม่ก็มองมาด้วยสายตาที่อ่อนโยน
‘ค่ะ !’
และพี่ริซก็ตอบกลับทั้งสองด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงเหมือนทุกที ถ้าไม่ดูดีๆก็จะไม่รู้เลยว่าขอบตาของเธอมีรอยคล้ำอยู่เล็กน้อย แม้แต่รอยฟันที่ฝังลึกลงบนลำคอเนียลขาวของเธอและรอยนิ้วมือสีเขียวช้ำข้างๆกัน ถ้าไม่ตั้งใจสังเกตุดูดีๆก็คงมองไม่เห็น
— มากินข้าวกันต่อเถอะค่ะ !
‘ ‘ ‘ อื้ม ! ’ ’ ’
ครอบครัวของหนูนั้นอบอุ่นและแสนสุข
แม้จะไม่ได้ร่ำรวยหรือมั่งมี แต่ครอบครัวเล็กๆของเราก็ฝ่าฟันความยากจนแล้งแค้นกันมาอย่างสามัคคี พวกเราต่างมีความสุขกับชีวิตในตอนนี้
ไอริน ผู้โง่เขลา คนนั้นเคยเชื่อเช่นนั้นมาโดยตลอด ด้วยสายตาอันคับแคบ
เธอไม่เคยรู้เลยถึงมุมมืดของจิตใจมนุษย์จนถึงวันที่พ่อแม่ของเธอขายตัวเธอและพี่สาวให้กลายเป็นหนูทดลองของพวกนักวิจัย
ความทรมานที่ได้รับจากการทดลอง และ การได้เห็นเพื่อนร่วมห้องขังต้องเจอในสิ่งเดียวกับสิ่งที่พี่สาวของเธอต้องเจอ
นั่นทำให้ไอรินคนเดิมได้ตระหนักรู้ถึงความต่ำช้าและเลวทรามของตัวเอง
ไม่ว่าจะพ่อ แม่ ของเธอ รวมไปถึงตัวเธอเองที่ยิ้มแย้มบนความทุกข์ของไอริซ
มันช่าง โง่เขลา ไร้ค่า และ ไม่รู้อะไรเลยซักอย่าง
แถมยังเห็นแก่ตัว และ ต่ำช้า พวกมนุษย์อย่างพ่อแม่ และตัวเราเองนี่มัน—
— เลวที่สุด
……ทั้งเราและมนุษย์ทุกคนบนใบโลกนี้
มันไม่มีอะไรที่น่ารังเกียจเท่ากับมนุษย์อีกแล้ว
ไอรินเกลียดมนุษย์มากแค่ไหน ตัวเธอก็เกลียดตัวเองมากเท่านั้น
หลังจากเรื่องราวในมื้อค่ำวันนั้น มันก็มีอีกหลายๆครั้งที่พี่ริซของเธอหายตัวไปจากบ้านตอนกลางคืนแล้วกลับมาในวันรุ่งขึ้นด้วยท่าทางทรุดโทรม
ทุกครั้งที่ไอรินโผกอดเธอแล้วยิ้มต้อนรับ ไอรินไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มของไอริซที่ตอบเธอกลับมานั้น มันทั้งหนักหน่วงและขมขื่นมากแค่ไหน
ความรู้สึกผิดบาปที่เอ่ยกับพี่สาวตนเช่นนั้นด้วยความไม่รู้ คือตราบาปที่ติดตัวเธอมาจนถึงทุกวันนี้
เธอเป็นหนึ่งในคนเลวที่ผลักดันให้ไอริซต้องฝืนทำในสิ่งที่เธอไม่อยากทำ
เธอเป็นคนบีบบังคับพี่สาวของเธอและมีความสุขบนความทุกข์ของไอริซ แม้จะอ้างว่าตอนนั้นไม่รู้ แต่มันก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้อยู่ดีว่าเธอมีส่วนร่วมให้เกิดเหตุการณ์พวกนั้นขึ้น
ถ้าในวันนั้นเธอไม่ยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณตามที่พ่อของเธอสั่ง
ถ้าเธอเฉลียวใจและคำนึงถึงจิตใจของพี่สาวตัวเองอีกซักหน่อย เหมือนกับที่ไอริซคอยแคร์ความรู้สึกของตัวเธอ
บางทีไอริซคงจะต่อต้านมากกว่านี้ และ เรื่องราวมันคงจบลงที่ครั้งนั้นแค่ครั้งเดียว
หรือบางที มันอาจจะมีทางออกอื่นที่ดีกว่านี้สำหรับไอริซก็เป็นได้
ไอรินนั้นรู้ดีว่า ไอริซนั้นให้ความสำคัญกับเธอมาก่อนเสมอ พี่สาวของเธออาจจะรักเธอมากกว่าพ่อแม่ของเธอเองเสียอีก
เพราะงั้นแล้ว สิ่งที่ผลักดันให้พี่ริซทำเรื่องพรรคนั้น มันจึงไม่ใช่พ่อแม่ของเธอ หากแต่เป็นรอยยิ้มของไอรินเองต่างหาก
รอยยิ้มที่หวานหอม หากแต่เคลือบด้วยยาพิษ ไอริซถูกบังคับให้ทำอย่างไม่เต็มใจเพราะรอยยิ้มที่น่ารังเกียจของไอรินผู้นี้
ความบริสุทธ์ของเด็กสาวที่มีราคาเพียงแค่ข้าวสารสามกระสอบ
คนที่ขายไอริซและหักหลังอย่างโหดร้าย มันก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากไอรินผู้โง่เขลาคนนี้นี่เอง
๐๐๐๐๐๐๐
เกลียด….เกลียด…เกลียด
เกลียดตัวเอง….เราเกลียดตัวเองที่สุดเลย !
เพราะไอ้หมอนี่ดันมาถามเรื่องไม่เป็นเรื่อง มันเลยทำให้เราดันนึกถึงเรื่องแย่ๆในอดีตอีกจนได้
พอนึกขึ้นมาได้ มันก็ยิ่งซ้ำเติมความห่วยแตกของเราในฐานะน้องสาวยิ่งกว่าเก่า
สารเลว
ต่ำช้า
ไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาด่าตัวเองได้มากไปกว่านี้
เมื่อรวมกับผลงานครั้งนี้ที่เกือบจะฆ่าพี่ริซไปด้วย พูดไม่ออกเลยจริงๆ
คนอย่างเรานี่มัน….คนอย่างเรานี่มัน
— ไม่สมควรอยู่ข้างพี่ริซจริงๆ
“มนุษย์ที่อยู่อย่างสุขสบายอย่างพวกแกคงไม่เข้าใจหรอก ถึงความลำบากของพวกเราที่บางครั้งต้องแทะหญ้ากินเพื่อประทังชีวิต”
“…………..”
“ไม่เคยรู้หรอกถึงสันดานอันต่ำช้าของมนุษย์ที่ขายได้แม้กระทั่งลูกๆของตัวเองเพียงเพื่อแลกกับความสุขสบาย”
“…………..”
“แล้วก็ไม่มีทางยอมรับหรอกว่า ความโง่เขลาของมนุษย์มันทำร้ายผู้อื่นได้มากแค่ไหน ต่อให้มนุษย์มีสิ่งที่เรียกว่าความรัก มนุษย์มันก็ใช้สิ่งนั้นเพื่อย่ำยีความรู้สึกของคนที่มันรักเองอยู่ดี”
“………….”
“สามารถทำร้ายคนที่ไม่รู้จักเพื่อความปรารถนาของตนเอง ย่ำยีความรู้สึกของคนไม่รู้จักเพียงเพื่อความสุขสมสั้นๆโดยแลกกับความทุกข์ทรมานของใครบางคนที่จะติดตัวเธอคนนั้นไปชั่วชีวิต”
“……………..”
“โลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ความละโมบ และความชิงดีชิงเด่น โลกที่ทำให้เราถือกำเนิดขึ้นมา มนุษย์เป็นคนสร้างขึ้นมาไม่ใช่รึไง ?”
“………………”
“ถึงจะพูดจาสวยหรูว่าโลกใบนี้ยังมีคนดีอีกมาก ? แล้วมันจะทำไม ? คิดว่าคำพูดพรรคนั้นจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้อย่างงั้นหรอ ? ”
“คุณหนู ?”
“มีซักครั้งบ้างไหม ? ที่ฝ่ายถูกกระทำได้รับความช่วยเหลือ ? ถ้าคนดีบนโลกนี้จะมีมากขนาดนั้น แล้วทำไมถึงไม่มีใครยื่นมือมาช่วยพวกเราเลยซักครั้งกันล่ะ !?”
เราตะคอกใส่ผู้ชายคนนี้ ประหนึ่งระบายความในใจที่ยากจะพูดออกมาให้พี่ริซฟังตรงๆ
เรารู้ดีว่าหากพูดออกไปตรงๆแบบนี้ พี่ริซจะต้องเศร้าใจมากแน่ๆ เราเลยไม่ทำ
“สุดท้ายก็มีแค่พวกเรา….ที่ต้องเอาตัวรอดด้วยมือของพวกเราเอง”
“…………”
“แม้ว่าจะมีคนดีบนโลกมากแค่ไหน หรือ แม้ว่าจะมีการช่วยเหลือพรรคนั้นอยู่จริงๆ แต่สำหรับพวกเราแล้ว มันก็—”
ไม่มี
ไม่มีใครยื่นมือมาช่วยเหลือพวกเราเลยแม้แต่คนเดียว
เพราะอย่างงั้นแล้ว—
“จะให้ยิ้มรับแล้วทนอยู่กับสังคมโสโครกที่มนุษย์ยัดเยียดให้พวกเราเนี่ยนะ ? ไม่คิดว่าจะเห็นแก่ตัวไปหน่อยรึไง ? ทำไมเราจะเกลียดมนุษย์ไม่ได้ ….กระทั่ง ความรู้สึกเกลียดชัง…กะอีแค่ความรู้สึกน้อยๆเพียงแค่นี้ พวกแกก็ยังจะแย่งชิงมันไปจากเราอีกรึไง ?”
เกลียด…เกลียดพวกมนุษย์ที่ทำให้พี่ริซห้ามเราไม่ให้ฆ่าล้างบางพวกมัน
พวกมันมีดีตรงไหน ทำไมพี่ริซถึงอยากปกป้องพวกมันกันนักหนา ?
กระทั่งความรู้สึกเกลียดยังแสดงออกไปตรงๆไม่ได้ตอนอยู่กับพี่ริซ
รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มาก ทว่า พอไม่ได้อยู่กับพี่ริซ ความรู้สึกหงุดหงิดและโมโหก็ระเบิดออกมา
“เพราะงั้นเราจึงเกลียดที่สุด….ทั้งตัวเองที่เป็นมนุษย์ แล้วก็พวกมนุษย์ที่บีบบังคับให้ตัวเรากลายเป็นแบบนี้”
ทว่า คราวนี้ มีแค่เรากับมัน เราจึงไม่มีเหตุผลต้องทนเงียบอีกต่อไป
“พวกมนุษย์น่ะหายๆไปซ่ะให้หมดได้ก็ดี”
ใช่ หายไปหมดๆ
หายไปให้หมด ทุกคนเลย
“………………”
“แฮ่กๆๆๆ”
รู้สึกหน้ามืดนิดหน่อย เพราะพูดติดๆกันด้วยอารมณ์ที่ร้อนระอุกว่าปกติ
ทว่า พอได้ระบายความอัดอั้นตั้นใจออกมา ก็รู้สึกราวกับได้ยกบางอย่างออกไปจากอก
รู้สึกสบายขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกคันไม้คันมือ
ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเราคือมนุษย์
ศัตรูของเรา
ตัวตนอันน่ารังเกียจที่สมควรจะถูกกำจัด
ฆ่ามันๆๆๆๆ
ฆ่ามันเลย
เสียงในหัวร้องระงมซ้ำไปซ้ำมา
แค่ระบายออกมายังรู้สึกดีขนาดนี้
ถ้าจัดการผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเราทิ้ง มันจะต้องรู้สึกดีมากกว่านี้แน่ๆ
แม้ใจหนึ่งจะพยายามห้าม แต่อีกใจหนึ่งก็สั่งให้เรายื่นมือไปข้างหน้า
ทว่า เป็นตอนนั้นเองที่ผู้ชายซึ่งอยู่ข้างหน้ากลับลืมตาขึ้นมองเราอย่างช้าๆ
สีดำที่นิ่งสงบ
นั่นคือแววตาที่จ้องมองมาที่เราราวกับเตรียมใจบางอย่าง
“งั้นก็ทำซ่ะเลยสิ—”
หันหน้าเข้าหาเรา จากนั้นก็ยืดหลังแล้วมองมาตรงๆ
“ถ้าคิดว่าการฆ่าหมอทำให้คุณหนูรู้สึกดีขึ้น ก็ลงมือทำได้เลย”
นี่คิดจะท้าทายอย่างงั้นหรอ ?
คิดว่าจะท้าทายเราผู้นี้อย่างงั้นสินะ ?
ก็เอ้าสิ ! เอาเลย !!! เดี๋ยวจัดให้เดี๋ยวนี้ล่ะ
“แต่ว่า—”
ทันใดนั้นเอง ผู้ชายคนนี้กลับยกมือขึ้นมาเสียก่อน
อะไร ? จะอ้อนวอนขอชีวิตรึไง ?
“หมอมีข้อแม้ให้หนูหนึ่งอย่าง—”
ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับเรา
“หลังจากที่คุณหนูฆ่าหมอแล้ว ช่วยเอาผ้าผืนนี้ไปเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง จากนั้นก็ได้โปรด—-”
ตาลุงคนนี้ยิ้มอย่างอบอุ่น ก่อนจะยัดเยียดผ้าเช็ดหน้าใส่มือของเรา
“ได้โปรดอย่าร้องไห้อีกเลยนะ—”
“—- !!!”
อะไร ?
พูดอะไรของผู้ชายคนนี้ ?
อะไร ? อะไร ? อะไร ?
พูดไม่รู้เรื่อง ไม่เห็นจะเข้าใจเลยซักนิด ?
“บ่น…อะ..ไร…ของ…แก อึ้ก ?”
ทว่า พอเปล่งเสียงพูดออกมาก็รู้สึกตัวว่าเสียงของตัวเองอู้อี้กว่าปกติ
“ทาม…มาย..กัน… ?”
ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว ใบหน้ารู้สึกชื้นแฉะ
พอวางมือลงบนหน้าของตัวเองก็พึ่งรู้สึกตัวว่ามีของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากดวงตา
“ม่าย…ช่าย….นี่….มัน..ก็…แค่…เหงื่อ”
ไม่…ทำไมเราต้องร้องไห้ด้วย
นี่มันก็แค่เหงื่อเท่านั้นเอง
น้ำตางั้นหรอ ?
ความเศร้าโศรกอย่างงั้นหรอ ?
อย่ามาพูดบ้าๆน่า ทำไม ? ทำไมเราจะต้องมีความรู้สึกพรรคนี้ด้วย ?
ก็แค่เหงื่อเท่านั้น
นี่น่ะก็แค่เหงื่อต่างหาก
ตัวเรากับพวกมนุษย์น่ะ ระหว่างพวกเรามีเพียงแค่ความโกรธแค้นเชื่อมโยงระหว่างกัน
น้ำตา ? ความเสียใจ ?
เราน่ะไม่เหลือของพรรคนั้นให้มนุษย์อีกแล้ว
“ความโกรธแค้นน่ะ..มันน่ากลัวนะ”
ในตอนที่พยายามปัดน้ำตาออกไปจากใบหน้าของตัวเอง ตาลุงคนนี้ก็มองออกไปยังพระอาทิตย์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้าด้วยสายตาอันล่องลอย
“เพราะความสูญเสียมันทรมาน…คนเราก็เลยเลือกที่จะโกรธแค้นแทนเพื่อใช้มันปกปิดความเศร้าที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าความโกรธแค้นที่แผดเผาเราทั้งเป็น”
“………………….”
“จะเศร้าไปทำไม ถ้าในเมื่อการโกรธแค้นใครซักคน มันสบายมากกว่า…..ความโกรธแค้นทำให้เรากระปี้กระเป่าในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความโกรธแค้นนั้นหวานหอมราวกับยาเสพติดที่สามารถกระตุ้นให้คนเราข้ามขีดจำกัดและทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนได้สำเร็จ”
แต่ว่า—
ตาลุงตรงหน้ากลับยิ้มเศร้าแล้วมองมาที่หนูแทน
“ความจริงแล้ว มันก็เป็นเพียงแค่กลไกในการปกป้องจิตใจของคนเราก็เท่านั้นเอง”
พูดออกมาด้วยเสียงที่แหบพร่าและเบาบาง
“ความเศร้ามันทำให้คนเราไม่อยากมีชีวิตอยู่…ความเศร้าทำให้คนเราสูญเสียจุดมุ่งหมายในการมีชีวิต ……และความเศร้าในบางครั้งก็ทำให้คนเราอยากจะตายไปทั้งๆแบบนั้น…ต่างจากความโกรธแค้นที่ช่วยชี้นำเป้าหมายในการมีชีวิต และในบางทีก็ผลักดันให้คนเราครอบครองพลังที่ปกป้องอะไรบางอย่าง แต่ทว่า—”
นิ้วมือหยาบกระด้างจิกเล็บลงบนเข่าของตัวเอง แสงอาทิตย์ยามอัสดงค์สะท้อนใบหน้าของตาลุงที่ใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“สุดท้ายหมอก็…..ไม่เหลืออะไรเลยซักอย่าง”
“—– !!!”
“ความแค้นก็เหมือนสารเสพติด มันทำให้เรามีแรงในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ โดยหารู้ไม่ว่าความโกรธแค้นที่ร้อนแรงเหมือนเปลวเพลิงจะแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่เหลืออยู่…ไม่สิ หลายสิ่งหลายอย่างที่กำลังรอคอยการกลับไปของเรา…หลายสิ่งหลายอย่างที่มีค่ามากยิ่งกว่าความโกรธแค้นพวกนั้นเสียอีก…ทว่า พอรู้สึกตัว มันก็สายเกินไป….ว่างเปล่า..หมดเกลี้ยง ไม่มีอะไรเหลือเลยซักอย่าง…สิ่งที่แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างไป ในท้ายที่สุดแล้วก็คือความโกรธแค้นนั่นแหล่ะ”
“…………….”
“ยามที่เปลวเพลิงแห่งความแค้นมอดไหม้ลง สิ่งที่เหลืออยู่กลับมีเพียงเถ้าถ่านแห่งความเศร้าหมองที่กองพะเนินสูงขึ้นยิ่งกว่าครั้งก่อน ปลายทางของการนำความโกรธแค้นมาเบียดบังความเศร้า สุดท้ายแล้วมันก็จะทำให้ความเศร้าโศกรุนแรงยิ่งกว่าเก่า”
“……………”
“คุณหนู….บางที มันอาจจะเป็นแค่ความหยิ่งผยองของหมอเองก็ได้ แต่ได้รับฟังคำขอร้องของหมอเถอะนะ”
“ไม่….เรา….ไม่ฟัง”
“ได้โปรด….มีความสุขเถอะนะ”
บ้าไปแล้ว
ไอ้หมอนี่…พูดเพ้อเจ้ออะไรของมัน
ของแบบนั้นขอได้ที่ไหน
คำขอเนี่ยนะ
คำขอพรรคนั้นจะเป็นไปได้ยังไง
แล้วก็ ทำไม ?
ทำไมคนอย่างมันต้องปรารถนาให้เรามีความสุขด้วย !?
“……………..”
“เลิกโกหกได้แล้ว—”
คราวนี้ ผู้ชายคนนี้จ้องตาเราตรงๆ จึงไม่อาจหลบจาก ‘เนตรสะกดใจ’ ของเราได้อีกต่อไป
สิ่งที่ตอบรับคำสั่งของเรา คือดวงตาอันอ่อนโยน และ คำพูดที่ร้อยเรียงออกมาราวกับเป็นบทกลอนที่ทั้งหนักอึ้งและเต็มไปด้วยความรู้สึกอันมากมาย
“คนบางคน ขอแลกช่วงเวลาอันเป็นนิจนิรันดร์ เพียงเพื่อช่วงเวลาที่ได้อยู่กับคนที่ตนรักเพียงไม่ถึงหนึ่งนาที”
“คนบางคนยอมสล่ะได้ทุกอย่าง เพียงได้บอกลากับคนบางคนที่ไม่อาจได้เห็นหน้าอีกเป็นครั้งที่สอง”
“คนบางคนยอมข้ามน้ำข้ามทะเล เพียงเพื่อคำสัญญาของคนสำคัญที่ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้า”
“คนบางคนยอมกลายเป็นวายร้าย เพียงเพื่อมอบความสุขอันเป็นนิรันดร์ให้คนที่ตนรัก”
“และก็มีคนบางคน ที่ยอมทิ้งชีวิตทั้งหมดของตัวเอง เพียงเพื่อคนแปลกหน้าที่เจอกันเป็นครั้งแรก”
หลากหลายเรื่องราว หลากหลายเรื่องเล่า ทุกคนต่างมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง นั่นแหล่ะคือมนุษย์
ผู้ชายตรงหน้าเอ่ยเช่นนั้น
“บางครั้งก็เต็มไปด้วยความโง่เขลา และ บางครั้งก็เต็มไปด้วยการตัดสินใจที่ผิดพลาด …ทว่า ทุกคนต่างก็เลือกเส้นทางที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับตนเองและรอบข้าง แม้ว่าในท้ายที่สุดแล้วตอนจบของเรื่องราวทุกเรื่องจะไม่สมหวังเหมือนในนิทานเลยก็ตาม แต่ทุกครั้ง เมื่อเรื่องราวสิ้นสุดลง พวกเขาก็จะกลายไปเป็นดาวดวงหนึ่งบนท้องฟ้าที่ส่องสว่างแล้วชี้นำให้กับเรื่องราวเรื่องถัดๆไป เป็นเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก”
“ตะ…ต้องการจะพูดอะไรกันแน่”
“หมอก็แค่คิดว่าพวกหนูทั้งสองคนน่ะเจ็บปวดมามากพอแล้วล่ะ”
“อึก ! อะ อย่ามาพูดเหมือนเข้าใจเราไปหน่อยเลย”
อะไรกัน ไอ้เจ้ามนุษย์คนนี้ ?
อะไรของมัน ? ไม่เข้าใจๆๆๆ ไม่เห็นจะเข้าใจเลยซักนิดเดียว
“ไม่ใช่เรื่องของแกที่ต้องมารู้สึกแทนเรา !”
“หมอรู้”
“เราจะทำอะไร เราจะคิดอะไร อนาคตของเราเอง มันไม่ใช่เรื่องของแก”
“หมอเข้าใจ”
“ถ้างั้น ? แล้ว ทำไม ?”
กรอด…..
ทำไมกัน ?
พอได้ฟังเรื่องเล่าที่ชายคนนี้พูด
พอได้มองดวงตาของชายคนนี้
“อึก !”
ทำไมมันถึงได้รู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้กันล่ะ ?
รู้สึกเจ็บแปล๊บที่กลางอก รู้สึกอึดอัด รู้สึกทรมาน
“อย่ามามองเราด้วยสายตาแบบนั้นนะ !!!”
เป็นสายตาที่ไม่ใช่เวทนาหรือสงสาร หากแต่เต็มเปี่ยมด้วยความเศร้าโศก
สายตาที่คล้ายกับพี่ริซ…..สายตาซึ่งใสกระจ่างแล้วมองทะลุปุ่โปร่งราวกับเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง
เลิกมองเราด้วยสายตาแบบนั้นซ่ะที !
เพราะรู้สึกแบบนั้นเลยหลบตาของชายตรงหน้าเราไปโดยอัติโนมัติ
“ขอโทษ…..”
“แล้วจะมาขอโทษเราทำไมกันเล่า !!!”
หงุดหงิด หัวเสีย ?
อะไรทำให้เราหงุดหงิดขนาดนี้กัน
เพราะมันทำตัวเหมือนเข้าใจทุกอย่างอย่างงั้นหรอ
หรือเพราะว่ามันทำตัวมาเป็นเศร้าโศรกเหมือนกับตัวเรา ทั้งๆที่ตัวเองใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
ไม่เข้าใจ ไม่เห็นจะเข้าใจเลยซักนิดเดียว
“เกลียดๆๆๆ เกลียดมนุษย์อย่างพวกแกที่สุด เราน่ะเกลียดๆๆ เกลียดมากๆ เพราะงั้นไสหัวไปซ่ะ ! ไสหัวไปซ่ะสิ !!! โดดตึกตายไปตรงนี้เลยก็ดี ! หายไปจากเราซ่ะ !”
“……………….”
“อย่ามามองเราด้วยสายตาแบบนั้นนะ ! อย่ามาทำเป็นเข้าใจเรา !! อย่ามาแสร้งทำตัวเป็นอ่อนโยนกับเรา !!!”
“คุณหนู……..”
“ทั้งๆที่เป็นมนุษย์แค่แท้ๆ ทั้งๆที่ทำได้เพียงทำตัวน่ารังเกียจให้เราเกลียดชังได้อย่างเดียวมาตลอด”
ทำไมๆๆๆ ทำไมถึงกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
ความรู้สึกอุ่นร้อนข้างในที่ระเบิดออกมา
“คิดว่ามาพูดเอาตอนนี้ มันจะได้อะไรขึ้นมา คนโกหก….ไอ้พวกขี้ตอแหล….ก็แค่เล่นละคร…ก็แค่โกหกให้เราตายใจเหมือนทุกครั้ง…เป็นแบบนี้มาเสมอมา….ตลอดมาและตลอดไป…มนุษย์น่ะก็มีแต่จะสร้างความเจ็บปวดให้เราเพียงเท่านั้น…ใช่…ครั้งนี้ก็ต้องเป็นแบบนั้นไม่ใช่รึไง”
เรามองไปที่สายตาของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า แม้จะโดนเราดึงปกคอเสื้อขึ้นมา แต่เขาก็ยังมองเราด้วยสายตาอ่อนโยนอันน่ารังเกียจ
“คิดว่ามาพูดเอาตอนนี้ มันจะแก้อะไรได้รึไง ?”
ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตที่ผ่านไปแล้วได้
สิ่งที่สูญเสียไป ต่อให้ทำอะไรไป มันก็นำกลับมาได้อีกแล้ว
“มาทำตัวเป็นอ่อนโยนเอาตอนนี้ มันก็สายเกินไปแล้วล่ะ”
ใช่…มันสายเกินไปแล้ว
ความรู้สึกดีที่มีให้พวกมนุษย์ มันไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว
ความรักที่เรามีให้ ในตอนนี้มีพื้นที่ไว้ให้กับพี่ริซเพียงเท่านั้น
ใช่…มนุษย์ทุกคนนอกจากพี่ริซ มันก็เลวทั้งหมดนั่นแหล่ะ
หรือต่อให้ไม่เป็นคนเลว มันก็เป็นพวกคนเห็นแก่ตัวที่เอาตัวเองเป็นหลักและไม่เคยยื่นมือช่วยเหลือพวกเราตอนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก หรือต่อให้ช่วยเหลือ พวกมันทุกตัวก็มาโดยแอบแฝงผลประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น
“แค่คำพูดน่ะเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรอก หรือ ต่อให้ลงมือทำอะไรบางอย่าง มันก็สายเกินไป เพราะงั้นเลิกทำเป็นอ่อนโยนกับเราซ่ะที….แบบนั้นน่ะ….ไอ้ความอ่อนโยนมักง่ายพรรคนั้นน่ะ…โหดร้าย….มันจะโหดร้ายเกินไปแล้ว…มาทำตัวอ่อนโยนกับเราแบบนี้ ไม่คิดว่าเห็นแก่ตัวไปหน่อยรึไง ?”
ได้ยินดังนั้น คุณหมอโยฮันก็ยิ้มเศร้าและจ้องมองมาที่เราด้วยสายตาอันอบอุ่น
“เรื่องนั้นน่ะ..คงเป็นไปไม่ได้หรอก…ขอโทษนะคุณหนู ถึงหมอจะเข้าใจดีว่าความรู้สึกอ่อนโยนที่มีให้พวกเธอจากพวกผู้ใหญ่อย่างหมอๆที่แย่งชิงหลายอย่างไป มันจะทั้งน่ารังเกียจและเห็นแก่ตัว แต่มีแค่ความอ่อนโยนนี้เท่านั้น ที่หมอต้องยัดเยียดให้พวกหนู….ใช่ นี่เป็นความเห็นแก่ตัวของหมอเอง นั่นก็เพราะว่า—”
“……………”
“สิ่งที่หล่อเลี้ยงโลกอันแสนโหดร้ายใบนี้ได้ มันมีแค่ความอ่อนโยนที่คนเรามีให้กันเพียงเท่านั้น….บางครั้งอาจจะเจ็บปวด บางครั้งก็อาจจะทำให้สับสน….แต่นั่นน่ะคือสิ่งเดียวที่หมอมอบให้คนแปลกหน้าอย่างพวกหนูได้…เป็นสิ่งเดียวที่สามารถมอบให้ใครก็ตามได้อย่างเท่าเทียม เพราะอย่างน้อยความอ่อนโยน มันก็ทำให้หมอสามารถพูดคุยกับคุณหนูได้แบบนี้ยังไงล่ะ”
“อึก !”
พอ….พอเถอะ…พอกันที
เราปล่อยคอเสื้อของผู้ชายคนนี้ แล้วนั่งพิงกำแพงอย่างช้าๆ
รู้สึกเหนื่อยในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
มากกว่าครั้งที่แล้วที่มีไข้
มากยิ่งกว่าตอนที่เถียงกับพี่ริซเรื่องฆ่าพวกโจร
ถ้าตอนนั้นรู้สึกเศร้าใจที่พี่ริซไม่เข้าใจเรา ในครั้งนี้เราก็รู้สึกเหนื่อยราวกับบางอย่างที่อยู่ข้างในมันกำลังตีกัน
สับสน
รู้สึกสับสนอีกจนได้
เรานี่มัน…ไม่หนักแน่เลยจริงๆ เพราะเป็นคนแบบนี้ พี่ริซถึงต้องคอยปกป้องมาตั้งแต่เด็กๆ
ทั้งๆที่เกลียดมนุษย์จะตายอยู่แล้ว ดันมานั่งคุยกับผู้ชายคนนี้ด้วยสาระที่หาไม่ได้เลยซักอย่าง
พอเถอะ…เหนื่อย
อยากพัก
อยากหลับไปทั้งๆแบบนี้
ไม่อยากรู้ ไม่อยากเห็นอะไรทั้งนั้น
“นี่คุณหนู—”
ทว่า ผู้ชายคนนี้ก็ยังไม่ยอมปล่อยหนูไปซ่ะที
“………………”
“ถึงจะเจอกันไม่นาน แต่คนเเบบพี่สาวของหนู หมอน่ะเห็นมาหลายคนแล้ว”
“…….?”
“ไม่ได้ปรารถนาช่วงเวลาที่ยืนยาว ไม่ได้ปราภนาอนาคตที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและสดใส….เป็นคนที่ประมาณตนและถ่อมตัว โดยหวังเพียงแค่ได้ใช้ชีวิตทุกวันกลับคนที่ตนรักอย่างมีความสุข…แม้ว่านั่นจะหมายถึงช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่ หนึ่งนาที หรือหนึ่งชั่วโมงก็ตาม”
คำพูดถัดมาของผู้ชายตรงหน้าทำให้หนูมองไปยังหลังคาโรงพยาบาล…ที่ซึ่งพี่ริซยังคงยืนอยู่
หากแต่วินาทีถัดมา ร่างของพี่ริซก็ค่อยๆเอนล้มลงอย่างช้าๆ
“พี่ริซ !!!”
“กลับไปหาพี่สาวของเธอเถอะนะ…ถ้าขาดเธอไป เด็กคนนั้นคงอยู่ไม่ได้หรอก……คุณหนูน่ะคือความหมายในการมีชีวิตอยู่ของเธอคนนั้น จะแค่ชั่วพริบตาก็ได้….อยู่ข้างๆและกุมมือของเธอคนนั้นเอาไว้ ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอันยืนยาว ไม่จำเป็นต้องมีอนาคตอันสดใส ….สิ่งสำคัญคือปัจจุบัน….ก็แค่ปัจจุบันที่มีความหมายและยืนยาวยิ่งกว่านิจนิรันดร์สำหรับเธอคนนั้นก็เท่านั้นเอง”
โดยไม่ต้องให้คนแปลกหน้าพูดอะไรมากไปกว่านี้
หนูรีบวิ่งลงบันไดไปแล้วมุ่งตรงไปหาพี่ริซที่ฟุบร่างลงบนหลังคาของโรงพยาบาลด้วยความร้อนรน
ในหัวในตอนนี้ไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลย นอกเสียจากความกังวลว่าพี่ริซจะเป็นอะไรรึเปล่า ?
Chapters
Comments
- ตอนที่ 38 มิถุนายน 9, 2022
- ตอนที่ 37 มิถุนายน 9, 2022
- ตอนที่ 36 มิถุนายน 9, 2022
- ตอนที่ 35 มิถุนายน 9, 2022
- ตอนที่ 34 มิถุนายน 7, 2022
- ตอนที่ 33 มิถุนายน 7, 2022
- ตอนที่ 32 มิถุนายน 7, 2022
- ตอนที่ 31 มิถุนายน 7, 2022
- ตอนที่ 30 มิถุนายน 7, 2022
- ตอนที่ 29 มิถุนายน 7, 2022
- ตอนที่ 28 มิถุนายน 7, 2022
- ตอนที่ 27 มิถุนายน 7, 2022
- ตอนที่ 26 พฤษภาคม 13, 2022
- ตอนที่ 25 พฤษภาคม 12, 2022
- ตอนที่ 24 พฤษภาคม 12, 2022
- ตอนที่ 23 พฤษภาคม 9, 2022
- ตอนที่ 22 พฤษภาคม 9, 2022
- ตอนที่ 21 พฤษภาคม 9, 2022
- ตอนที่ 20 พฤษภาคม 9, 2022
- ตอนที่ 19 พฤษภาคม 9, 2022
- ตอนที่ 18 พฤษภาคม 9, 2022
- ตอนที่ 17 พฤษภาคม 9, 2022
- ตอนที่ 16: น้องสาวผู้น่ารักของฉันโดนดุ เมษายน 30, 2022
- ตอนที่ 15: พี่สาวของหนูตายซ่ะเเล้ว !? เมษายน 29, 2022
- ตอนที่ 14: น้องสาวผู้น่ารักของฉันมีมากกว่าหนึ่งคน !? เมษายน 28, 2022
- ตอนที่ 13: น้องสาวผู้น่ารักของฉันฝึกทำอาหาร เมษายน 27, 2022
- ตอนที่ 12: การเดินทางของพวกเขาทั้งหลาย เมษายน 26, 2022
- ตอนที่ 11: พี่สาวของหนูต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป เมษายน 24, 2022
- ตอนที่ 10: พี่สาวของหนูพูดอะไรบางอย่างที่น่าจะสำคัญ เมษายน 23, 2022
- ตอนที่ 9: พี่สาวของหนูถูกพรากไป พร้อมๆกับพวกเพื่อนๆ เมษายน 21, 2022
- ตอนที่ 8: น้องสาวผู้น่ารักของฉันยอมพูดเปิดใจนิดหน่อย เมษายน 20, 2022
- ตอนที่ 7: น้องสาวผู้น่ารักของฉันช่วยปกป้องคุณพี่สาวด้วยล่ะ ! เมษายน 19, 2022
- ตอนที่ 6: น้องสาวผู้น่ารักของฉันเเสดงความเป็นห่วงด้วยล่ะ ! เมษายน 18, 2022
- ตอนที่ 5: เพื่อจบความขัดเเย้ง การเสียสล่ะคือสิ่งที่จำเป็น เมษายน 18, 2022
- ตอนที่ 4: น้องสาวผู้น่ารักของฉันเข้าวัยต่อต้าน !? เมษายน 18, 2022
- ตอนที่ 3: ไม้ต่อ เมษายน 18, 2022
- ตอนที่ 2: เเยกจาก เมษายน 18, 2022
- ตอนที่ 1: จุดเริ่มต้นภายในห้องขังอันอับชื้น เมษายน 18, 2022
MANGA DISCUSSION