พี่สาวนางร้าย ปักธงตายตั้งเเต่ตอนเเรก !? - ตอนที่ 17
“ก็เป็นอันว่าสัญญาตามนี้เน้อ~ ”
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป หลังจากที่แยกจากไอรินมา
ฉันและคุณหมอโยฮันก็ตกลงเรื่องค่าเสียหายกันเสร็จซ่ะที
พวกเราได้ใช้เวทย์พันธสัญญาเพื่อตกลงเรื่องการชดใช้ค่าเสียหาย
โดยเวทย์พันธสัญญาที่ว่า คือ เวทย์ทางธุรกรรมที่ใช้ตกลงเกี่ยวกับธุรกิจที่สำคัญๆ
มันคือเวทย์ที่เกิดจากการผสมผสานธาตุมืดและแสงระดับสูงและวาดวงเวทย์ลงไปยังวัตถุหรือร่างกายของแต่ล่ะฝ่าย โดยการร่ายแต่ล่ะครั้งจะมีการกำหนดข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายต่างยอมรับเอาไว้ หากมีใครคนใดคนหนึ่งทำผิดสัญญา เวทย์ที่ร่ายเอาไว้ซึ่งจะติดตัวทั้งสองฝ่ายไปชั่วชีวิตก็จะแสดงผลด้วยการลงโทษตามข้อตกลงที่สลักเอาไว้ในตอนที่ทำการร่าย…อารมณ์ก็คงคล้ายๆกับการฝังระเบิดเวลาเอาไว้ในร่างกายนั่นแหล่ะ
สำหรับในกรณีนี้ พวกเราได้ใช้กระดาษเป็นสื่อกลางในการทำสัญญา
ทั้งสองฝ่ายจะต้องหยดเลือดลงบนกระดาษเป็นอันผูกมัดหัวใจของทั้งสองเอาไว้ด้วยกันและฝังวงเวทย์เงื่อนไขเอาไว้ภายในหัวใจที่กำลังเต้นอยู่ ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่ผิดสัญญา วงเวทย์ที่ลงไว้บนหัวใจก็จะทำงาน
แม้จะดูเป็นเวทย์ที่น่ากลัว แต่เวทย์พันธสัญญาก็ไม่ใช่เวทย์อันตรายสำหรับนักเวทย์ระดับสูง เพราะมันเป็นเวทย์ที่สามารถถอนออกมาได้ หากถูกถอนออกโดยผู้ที่มีความชำนาญ
เวทย์พันธสัญญาจึงเป็นเวทย์ที่ใช้ทำสัญญาได้ดีในระดับหนึ่งขึ้นอยู่กับจอมเวทย์คนกลางที่เป็นคนร่ายเวทย์ที่เชื่อมสัญญาระหว่างคนสองคน หากร่ายซับซ้อนก็จะถอนยาก หากร่ายง่ายก็จะถอนได้ง่าย นี่จึงเป็นแค่การทำสัญญาพอเป็นพิธีให้รู้ว่า เราทั้งคู่จะทำตามข้อตกลงที่มีให้กัน แถมเผลอๆ ค่าใช้จ่ายในกรณีจ้างจอมเวทย์มายกเลิกสัญญา มันยังแพงกว่าเสียอีก
“ทำไมถึงร่ายไม่ได้กัน ?”
ในครั้งนี้ฉันและคุณหมอโยฮันได้ฝากจอมเวทย์ที่คุณหมอโยฮันเรียกมา ให้ช่วยร่ายเวทย์พันธสัญญาให้เพื่อยืนยันการชำระหนี้ว่าฉันจะส่งเงินมาให้เป็นระยะๆ แต่หากฉันทำไม่สำเร็จฉันก็จะต้องส่งของชิ้นหนึ่งกลับมาให้แทน
ทว่า ไม่ว่าจะร่ายเวทย์ลงไปซักกี่ครั้ง ประกายแสงสีทองที่ห่อหุ้มร่างของฉันก็สลายไปทุกครั้ง
แม้จะลองเปลี่ยนไปจับมือและสลักวงเวทย์ผ่านทางผิวหนังแทนที่จะใช้กระดาษเป็นสื่อกลาง กระนั้นแล้วเวทย์พันธสัญญาที่มีเป้าหมายมาที่ฉันก็สูญสลายไปทุกครั้ง
“นี่เธอ ? เป็นตัวอะไรกันแน่เนี่ย ?”
“นั่นมัน..ไม่เสียมารยาทไปหน่อยหรอคะ ?”
“อุ๊ ! โทษทีๆ พอดีเธอเป็นคนแรกเลยที่ฉันร่ายเวทย์ใส่ไม่สำเร็จ”
จอมเวทย์ผู้สวมฮู้ดขาวปิดหน้าซึ่งเป็นเพื่อนกับคุณหมอโยฮันกล่าวขอโทษด้วยเสียงใสๆของผู้หญิง
แน่นอนว่า คำพูดของเธอค่อนข้างจะเสียมารยาทจริงๆ แต่ฉันก็ไม่คิดจะถือสาหาความอะไร
“ว่าแต่ โยอัน ? นายไปเจอเด็กคนนี้มาจากไหน ?”
ได้ยินที่จอมเวทย์ถาม คุณหมอโยฮันซึ่งเป็นเพื่อนของเธอก็ใช้ใบหน้าที่กลมดิ้กเป็นมันฝรั่งนั่นส่ายไปมาอย่างช้าๆ
“ก็แค่โชคชะตานำพามาล่ะมั้ง ?”
“แหมๆ ฉันก็อยากได้โชคแบบนี้บ้างจัง ได้เจอสาวน้อยที่น่าสนใจเข้าซ่ะด้วย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้ตัวเธอมาจริงๆเลยน้า”
“ฉันไม่ได้มีรสนิยมชอบเพศเดียวกันหรอกนะคะ”
“หวา…น่าเสียดายจัง”
ตรงกันข้ามกับคุณหมอโยฮันที่ยิ้มอย่างเศร้าๆ จอมเวทย์คนนี้กลับดูร่าเริงซ่ะเหลือเกิน
“ว่าแต่เธอเป็นใครกันอะ มนุษย์ดัดแปลง ? โฮมุนครุส ? หรือว่า อาวุธรุ่นใหม่ที่สาธารณรัฐผลิตขึ้นมา ?”
“เอ่อ..คือว่า เรื่องนั้น”
“เมอลิน…นั่นมันไม่มีมารยาทเลยนะ”
“แห่ะๆ โทษทีๆ”
พอโดนดุ จอมเวทย์ที่ถูกคุณหมอโยฮันเรียกว่าเมอลินก็แสร้งทำเป็นสำนึกผิดอีกรอบ
ดูจากท่าทาง ทั้งสองคนคงสนิทกันน่าดู
แถมฟังจากบทสนทนาที่เมอลินพูด มันทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าทั้งสองคนเคยผ่านอะไรด้วยกันมาหลายๆอย่าง
“ทำไมถึงได้พูดเรื่องเหนือสามัญสำนึกพวกนั้นขึ้นมาง่ายๆกันละคะ ?”
“นั่นสินะ…จริงๆแล้ว เรื่องพวกนั้นมันก็ไม่ควรพบเป็นปกติหรอก แต่ว่า—”
“เพราะนี่คือ สงครามยังไงล่ะ !”
ทว่า คุณหมอโยฮันพูดไม่ทันจบ เมอลินก็มาตบไหล่ของฉันและพูดแทรกซ่ะก่อน
“สงคราม ใช่แล้ว ! เพราะเป็นสงคราม ! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจทั้งนั้น”
เมอลินพูดออกมาด้วยเสียงร่าเริงตรงข้ามกับคุณหมอโยฮันที่ทำหน้าบูดบึ้ง
“จะมนุษย์ดัดแปลงที่มีกำลังกายเทียบเท่าทหารหนึ่งกองพัน เวทย์คำสาปร้ายแรงที่สาปคนทั้งเมืองให้กลายเป็นซ็อมบี้ หรือแม้กระทั่ง เครื่องจักรยักษ์ใหญ่สูงสามเมตรที่ใช้มนุษย์เป็นๆนับร้อยคนเป็นเชื้อเพลิง ไม่ว่าจะเรื่องเหนือสามัญสำนึกมากแค่ไหน โยฮันคนนี้ก็ผ่านมาหมดแล้วจ้า !”
“เป็นวีรกรรมที่เยอะน่าดูนะคะ”
“เรียกว่าโชคชะตานำพามาน่าจะดีกว่า บางทีในครั้งนี้โชคชะตาก็คงจะนำพาพวกเธอให้มาพบกับหมอก็ได้”
คุณหมอโยฮันถอนหายใจ ก่อนจะจ้องมองน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าตัวเอง
ภาพที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำอันนิ่งสงบ คือ ชายสูงวัยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นและความรู้สึกกล้ำกลืนอันยากจะบรรยาย
“พวกเราทุกคนต่างก็ต้องการจบสงคราม—”
เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ
“ความเคียดแค้นระหว่างทั้งสองฝ่ายที่คนรุ่นก่อนสร้างขึ้นมา พวกเราทุกคนต่างก็ตั้งใจจะจบมันในรุ่นของพวกเราเอง ไม่ว่าจะฝั่งของจักวรรดิหรือแม้กระทั่งสาธารณรัฐ….ใช่ พวกเราพยายามที่จบมัน ไม่ว่าจะต้องแลกกับชีวิตผู้บริสุทธิ์มากมายแค่ไหนก็ตาม”
ว่าแล้ว คุณหมอโยฮันก็ถอนหายใจแล้วจิบชาอย่างช้าๆ
พอจิบไปได้เล็กน้อย เขาก็วางแก้วลงบนโต๊ะเบาๆแล้วถอนหายใจอีกรอบ
“แต่ผลลัพธ์ก็อย่างที่เห็น พวกเราทุกฝ่ายต่างปรารถนาสิ่งทีดีที่สุดให้กับลูกหลานของพวกเรา ทว่า ในท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่พวกเราคิดว่าดีที่สุดก็นำมาซึ่งความเคียดแค้นและความสูญเสียอันไร้ที่สิ้นสุดที่คนรุ่นหลังต้องเผชิญ แม้หลายสิ่งหลายอย่าง ตัวหมอจะไม่ได้มีส่วนร่วม แต่ความจริงที่ว่าคนรุ่นหมอไม่อาจเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้จนผลกรรมลงมาตกที่พวกเธอ นั่นก็คือความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่ดี”
พูดจบคุณหมอโยฮันก็มองมาที่ฉันแล้วเอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“เพราะงั้นเรื่องราวของหมอก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่อะไรมากมาย…มันก็แค่เรื่องราวความล้มเหลวของตาแก่คนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ จนในบั้นปลายชีวิตต้องมาเป็นหมอธรรมดาๆอยู่แถบชนบทก็เท่านั้นเอง”
คุณหมอเว้นหายใจเล็กน้อย ก่อนจะมองมาที่ฉัน
“สิ่งเดียวที่ช่วยพวกหนูได้ก็คงมีแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้นั่นแหล่ะ”
“ถึงอย่างงั้น…ฉันก็ยินดีนะคะที่ได้พบกับคุณและให้คุณช่วยดูแลไอริน”
ฉันกล่าวขอบคุณคุณหมอที่ถ่อมตัวซ่ะเหลือเกิน
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
“ทางฉันก็เช่นเดียวกันค่ะ…”
ฉันกล่าวขอบคุณ คุณหมอโยฮัน
หนึ่งในตัวละครของเกม ‘World End Fantasy’ ที่ขึ้นชื่อว่า เป็นนักบุญในคราบตาลุงหัวมันฝรั่ง
ในชาติที่แล้ว แม้จะมีข้อความล้อเลียนผู้ชายคนนี้มากมายเกี่ยวกับดีไซน์ตัวละครที่ออกแบบหัวมาคล้ายมันฝรั่งเป๊ะๆ ทว่า มันก็มีผู้เล่นจำนวนมากที่ลงความเห็นว่าชายคนนี้คือตัวละครที่เป็นปริศนาอันดับต้นๆของเกม แต่ก็เป็นตัวละครที่มีเมตตาต่อทั้งตัวเอกและตัวร้าย นับเป็นตัวละครที่ขาวสะอาดมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆของเกมด้วยก็ว่าได้
ถ้าจะให้เล่าประวัติชายคนนี้ก็คงกินเวลานาน แต่ถ้าจะให้พูดง่ายๆก็คือ ชายคนนี้มีบทโผล่เข้ามาในเกม ‘World End Fantasy’ ช่วงที่โรงเรียนถูกวางเพลิงและมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก เขาคือคนที่ช่วยพูดปลุกใจนางเอกให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้งหลังเผชิญหน้ากับความสิ้นหวัง
การที่ฉันได้มาพบกับเขาที่เมืองแห่งนี้ก็คงเป็นโชคชะตาล่ะมั้ง…โชคชะตานี่ช่างเล่นตลกกับชีวิตของพวกเราซ่ะเหลือเกิน
ทว่า ก็เพราะเป็นหมอคนนี้นี่แหล่ะ ฉันเลยสามารถฝากฝังไอรินไว้ให้เขาดูแลได้อย่างสบายใจ
ถ้าเป็นคนอื่น ฉันคงไม่กล้าให้มารักษาไอรินง่ายๆหรอกนะ
แต่ใครมันจะไปคิดกันล่ะว่า การที่ฉันพาไอรินมาฝากให้เขารักษา มันจะทำให้เกิดเรื่องร้ายแรงพรรคนี้ขึ้น
เฮ้อ…..
“ถ้างั้นเรื่องสัญญามีวิธีอื่นรึเปล่าคะ ?”
“อืม….ยากเลยแฮะ คิดไม่ออกเลย”
“ถ้างั้น พวกเธอทั้งคู่จะปลอมตัวแล้วมาอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ซักพักดูไหมละ ?”
คุณเมอลินส่ายหัว ในขณะที่คุณหมอโยฮันก็ลองเสนอความเห็นออกมา
“เรื่องนั้นน่าจะยากค่ะ”
“ทำไมละ ?”
“คือว่า มันมีเหตุจำเป็นนิดหน่อย…ทำให้ไม่สามารถอยู่เมืองนี้ต่อนานๆได้”
“โดนคนตามล่าหรอ ? หรือว่ามีเป้าหมายการเดินทางที่ต้องทำให้สำเร็จในระยะเวลาที่จำกัด ?”
“เรื่องนั้นมัน….”
“หรือว่าทั้งสองอย่าง ?”
“…………….”
เป็นคำตอบที่ยากจะพูดออกมาตรงๆ ทว่า คุณหมอโยฮันก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรมากนอกจากพยักหน้าเบาๆ
“อืม…บางทีคนเราก็มีเรื่องที่พูดออกมาไม่ได้เหมือนกัน หมอพอเข้าใจ”
“คุณหมอ ?”
“อืม….งั้นเอางี้ดีไหม เราน่ะสนใจจะอยากเป็นนักผจญภัยรึเปล่า ?”
“คะ ?”
“พอดีหมอก็มีเส้นสายกับผู้มีอำนาจในเมืองนิดหน่อย ก็เลยพอจะคุยๆกันเพื่อหาทางกลบเกลื่อนเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้และแอบสมัครสมาชิกนักผจญภัยให้เธอได้ ”
นักผจญภัย…นั่นคืออาชีพเสี่ยงอันตรายที่ได้รับความนิยมในพวกหนุ่มสาวอนาคตไกลที่คิดจะตั้งตัวจากฐานะที่ยากลำบาก
ในโลกที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์ ลำพังทหารที่คอยปกป้องเมืองก็ไม่มีกำลังพอจะจัดการพวกมอนสเตอร์ที่อยู่ในป่าซึ่งหากปล่อยให้เพิ่มจำนวนมากเกินไปก็อาจจะบุกมาที่เมืองและสร้างความเสียหายเอาไว้ทีหลังได้ นอกจากนี้ในการเดินทางก็มีอันตรายจากการโจมตีของพวกมอนสเตอร์ไม่ก็โจรป่า หรือบางทีหมู่บ้านอันห่างไกลจากเมืองหลวงก็มักจะโดนโจมตีด้วยฝีมือของมอนสเตอร์หรือโจรป่าอยู่บ่อยครั้ง แล้วก็นานๆครั้งก็จะมีการค้นพบดันเจี้ยน…วงกตปริศนาที่อยู่ใต้ดินซึ่งหลงเหลือมาจากอารยธรรมในยุคอดีตกาล
นั่นจึงกลายเป็นหน้าที่ของนักผจญภัยในการปราบปรามโจรป่า มอนสเตอร์ และค้นหาทรัพย์สมบัติ
มันเป็นอาชีพที่ไม่รับประกันความปลอดภัย และบางครั้งค่าจ้างก็ไม่คุ้มค่าเสี่ยงอันตราย ทว่า บางครั้งก็นำพามาซึ่งโชคลาภ หากโชคดีทำภารกิจที่ได้รับเงินจำนวนมากได้สำเร็จหรือค้นพบทรัพย์สมบัติจากดันเจี้ยน
มันถือเป็นอาชีพที่เหมาะสำหรับพลิกชีวิตของคนที่มีฐานะยากจนอย่างเช่นพวกเราให้กลายเป็นคนฐานะทั่วๆไป หรือบางครั้งก็ถึงขั้นกลายเป็นมหาเศรษฐีเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับดวง
“ดูจากพลังเวทย์ของพวกเธอ การทำภารกิจกำจัดมอนสเตอร์ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก ….ในส่วนการกลบเกลื่อนเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ถ้าพวกเธอมีพลังมากพอก็อาจจะทำสำเร็จก็ได้”
คุณหมอโยฮันเสนอให้ฉันใช้เวทย์น้ำแข็งสร้างอาคารส่วนที่พังขึ้นมาใหม่ให้มีหน้าตาเนียนเหมือนของเก่า แล้วก็ให้ไอรินใช้เวทย์ควบคุมจิตใจลบความทรงจำคนที่รู้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนี้
“ถ้าทำไหวก็น่าสนใจนะ……”
เพราะไม่รู้ว่าพวกเรามีพลังมากแค่ไหน คุณหมอโยฮันจึงลองเสนอออกมา ซึ่งการประเมินของเขาก็ค่อนข้างจะแม่นยำ ทั้งๆที่มีข้อมูลเพียงแค่นี้ นี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์ในการมองคนสินะ
ประเมินจากศักยภาพของเราทั้งสองคน ถึงจะไม่ทำให้เนียนได้ 100% แต่ก็น่าจะพอกลบเกลื่อนได้อยู่
“พอกลบเกลื่อนเรื่องพวกนั้นเสร็จ ฉันก็จะฝากให้คนรู้จักที่อยู่ในกิลแอบเลือกภารกิจที่ให้เงินเยอะๆมาให้ คิดว่าน่าจะใช้เวลาเร็วที่สุดสองสัปดาห์….น่าจะกลบหนี้ไปได้เกือบหมด”
“งานที่ทำเงินได้เป็นล้าน…ฟังดูไม่น่าไว้ใจเลยนะคะ”
“อื้ม…ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากเสนอหรอก เพราะมันเป็นงานที่เสี่ยงอันตรายและโอกาสรอดชีวิตต่ำ แต่ถ้าเป็นพวกเธอสองพี่น้องที่มีพลังเวทย์แข็งแกร่งขนาดนั้น ถ้าไม่ติดประมาทและได้คนสนับสนุนดีๆ พวกเธอก็คงไม่พลาดหรอกนะ”
ว่าไง ? คิดว่าไงบ้าง ?
คุณหมอโยฮันเกริ่นเช่นนั้น ก่อนจะเว้นจังหวะให้ฉันพิจารณา
อืม…สองสัปดาห์ ? มันจะนานเกินไปรึเปล่า
หลังจากหนีออกมาจากศูนย์วิจัยในวันนั้น มันก็ผ่านมาเกือบจะสองเดือนได้
ยังคงไม่มีวี่แววว่าจะมีคนไล่ตามเราทั้งคู่ทัน
ความจริงแล้วระหว่างเดินทางฉันก็ได้แอบติดต่อกับพวกเด็กๆที่หนีออกมาจากศูนย์วิจัยด้วยกันอยู่
ส่วนถ้าถามว่าติดต่อกันได้ยังไง มันก็เพราะว่าเด็กคนนั้นมีพลังในการควบคุมความฝันของผู้คนที่เธอเคยรู้จัก
เด็กสาวคนนั้นคือเด็กสาวผมสีเทาหม่นผู้มีชื่อว่า อลิซ ….สาวน้อยอายุประมาณ 7 ขวบ ที่ครอบครองแก่นแห่งนิทรา มันเป็นแก่นมนตราที่มอบเวทย์ควบคุมความฝันให้กับผู้ใช้
ในบางคืน เธอมักจะมาหาฉันในความฝันแล้วก็พูดคุยถามหาสารทุกข์สุขดิบและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารต่างๆ พลังในการควบคุมความฝันของเธอทำให้เธอสามาถใช้ความฝันเป็นสื่อกลางในการติดต่อระหว่างเด็กในศูนย์วิจัยทุกๆคนที่ต่างแยกย้ายกันไปทั่วทุกสรทิศ
เธอสามารถใช้ความฝันของตัวเองเป็นสื่อกลางแล้วลากเด็กๆทุกคนที่หลบหนีไปคนล่ะทิศคนล่ะทางให้มาอยู่ในความฝันที่เธอสร้าง ทำให้เกิดเป็นระบบสื่อสารไร้พรมแดนเฉพาะสำหรับพวกเราขึ้นมา
แต่ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในความฝันรวมถึงความสามารถของอลิซ ฉันไม่เคยเล่าให้ไอรินฟังเลยซักครั้ง เพราะคิดว่า ไอรินในตอนนี้ยังขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากเกินไปหน่อย ไว้หลังจากที่เด็กคนนี้ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นหน่อยค่อยพาไปหาทุกๆคนก็คงไม่สาย
แล้วก็ในเรื่องของเนื้อหาที่คุยกัน มันก็เกี่ยวกับเรื่องทำนองว่า แต่ล่ะคนไปอยู่ที่ไหน และมีตำแหน่งไหนที่น่าจะกบดานได้บ้าง
จำนวนสมาชิกในความฝันรวมทั้งฉันและอลิซมีอยู่ 53 คน จริงๆแล้วมีเด็กในศูนย์วิจัยมากกว่านี้เป็นเท่าตัว แต่เพราะไม่รู้จักกับอลิซเพราะเด็กๆที่เหลืออยู่ในคุกอื่น พวกเราเลยติดต่อกันไม่ได้
ทว่า จากการพูดคุยที่ผ่านมาก็ทำให้รู้ว่า ทุกคนปลอดภัยดี แต่ก็มีบางคนที่รู้สึกตัวว่ากำลังถูกสะกดรอยตามอยู่ แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝั่งถึงยังไม่โจมตีหรือลักพาตัว แต่พวกเขาก็พยายามสลัดออกไปอยู่ ณ ขณะนี้
พวกเราจึงคิดว่าจะรีบเดินทางขึ้นเหนือไปให้เร็วที่สุด ถ้าข้ามไปยังจักวรรดิเซลเทียได้สำเร็จ อีกฝ่ายน่าจะตามล่าพวกเราได้ลำบาก
ฉันคิดว่าควรจะลองไปถามความเห็นของเด็กๆพวกนั้นดูซักหน่อยก็ดี เพราะล่าสุดได้ยินจากเด็กที่ไปทางชายแดนมาว่า ช่วงนี้ตรงรอยต่อของสองประเทศกำลังเกิดสงครามกันอยู่ ทำให้การลักลอบข้ามประเทศทำได้ลำบาก ดูท่าฉันคงจะต้องรอข้อมูลจากเด็กวพวกนั้นก่อนเพื่อประกอบการตัดสินใจ
“ขอเวลาคิดซักคืนหนึ่งได้ไหมคะ ?”
“ได้สิ ระหว่างนี้ก็พักอยู่ที่นี่ไปก่อนก็ได้”
“เอ๋ ? แบบนี้จะดีจริงๆหรอคะ ?”
“อืม…ก็คิดซ่ะว่า ไม่มีเจ้าหนี้ที่ไหนปล่อยลูกหนี้ไปง่ายๆล่ะกัน ไม่ต้องคิดมากหรอก เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง”
คุณหมอโยฮันขยิบตาให้
พอเป็นแบบนั้น ฉันก็ต้องก้มหัวขอบคุณเขาอีกรอบ
รู้สึกแย่นิดหน่อยที่ต้องพึ่งพาเขาทั้งๆที่สร้างปัญหาไว้ให้ตั้งขนาดนั้น
ถึงจะก้มหัวขอบคุณอีกเป็นสิบๆรอบ มันก็ยังไม่พอกับสิ่งที่เขาทำเพื่อพวกเราอยู่ดี
ทว่า ความใจดีที่มากเกินไป มันก็ทำให้ฉันเผลอหลุดปากถามเขาออกไป
“ทำไมถึงช่วยพวกเราขนาดนั้นหรอคะ ?”
ได้ยินดังนั้น คุณหมอโยฮัน ก็พูดออกมา
“นั่นก็เพราะว่า—”
หลังจากนั้นเขาก็มองมาที่ฉันด้วยสายตาอันอ่อนโยนแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนคุณลุงที่ใจดี…ไม่สิ ไม่ใช่แค่เหมือนแล้ว ใจดีมากๆเลยต่างหาก
เฮ้อ…พอฉันได้ยินคำตอบของเขา ฉันก็ส่ายหัวเบาๆเช่นเดียวกับเมอลินที่หยิกแก้มของคุณหมอโยฮันจนยืดออก
“อ้อเอ่นๆ เอาๆอ่อยอิ”
“ฮ่าๆ ก็ถึงว่าทำไมมีฉันอยู่ข้างๆ คุณถึงไม่เคยสนใจฉันเลย”
“คุณหมอให้เหตุผลได้แปลกดีนะคะ…ถึงจะฟังดูคุกคามพวกเราไปหน่อยก็เถอะ”
หลังจากได้รับอิสระกลับคืนมา คุณหมอโยฮันก็มองมาที่ฉันอีกครั้งแล้วพยักหน้าเบาๆ
“ก็นั่นแหล่ะ ไม่ต้องไว้ใจหมอก็ได้ หมอก็แค่ทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องและอยากทำ ส่วนพวกเธอก็เชื่อในสิ่งที่พวกเธออยากทำก็พอ เมื่อเส้นทางของเรามาบรรจบกัน มันก็กลายเป็นข้อตกลงที่ลงตัวก็เท่านั้นเอง”
“ฮุๆ เข้าใจแล้วค่ะ ซักวันหนึ่งฉันจะตอบแทนบุญคุณในครั้งนี้อย่างแน่นอน ขอบคุณนะคะคุณหมอ”
“ไม่เป็นไร แต่ก็จะคอยแบบไม่ตั้งตารอล่ะกัน”
พอเราคุยกันเสร็จสรรพ เป็นอันว่าคืนนี้จะพักอยู่ที่โรงพยาบาลของคุณหมอ พวกเราทั้งสามคนก็เดินขึ้นไปจากห้องลับที่อยู่ใต้ดินของโรงพยาบาล
“นี่เธอหาว่าฉันมั่วอย่างงั้นหรอ ?”
“ก็ใช่สิยะ !”
ทว่า หลังจากที่โผล่ขึ้นมาได้ไม่นาน ทันใดนั้นเอง พวกเราก็ได้ยินเสียงพยาบาลสองคนทะเลาะกันดังก้องไปตามทางเดิน
“เกิดอะไรขึ้นน่ะทั้งสองคน ?”
พอคุณหมอโยฮันถาม นางพยาบาลสองคนนั้นก็ตอบคุณหมอในขณะที่มือของทั้งสองยังนัวเนียกันอยู่
“ก็ยัยนี่น่ะสิ ? อยู่ดีๆก็มาหาว่าฉันโกหกเฉยเลย”
“ก็มันจริงไหมละ ? ตอนนั้นเธอก็อยู่ไม่ใช่หรอ ? ตอนที่อาคารครึ่งหลังกลายเป็นน้ำแข็ง !”
“หา ? เธอนั่นแหล่ะ จำผิดแล้ว ! เมื่อตอนนั้นฉันเห็นกับตาว่าอาคารมันถล่มลงมาเอง คนอื่นๆก็คิดว่าน่าจะเป็นเพราะอาคารเก่าแล้วเลยรับน้ำหนักไม่ไหว ใช่ไหมละ ?”
พยาบาลที่บอกว่าอาคารครึ่งหลังถล่มลงมาเพราะรับน้ำหนักไม่ไหวหันไปถามความเห็นจากนางพยาบาลคนอื่นๆที่มองทั้งคู่ตีกัน ซึ่งนางพยาบาลที่เหลือก็พยักหน้าเห็นด้วยกับเธอ
“คุณหมอคะ ! ตอนนั้นคุณก็อยู่ด้วยใช่ไหม ? ช่วยบอกทีว่าที่ฉันเห็นคือเรื่องจริง ! โธ่ ! ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมดเนี่ย ? หลังฉันออกมาจากห้องน้ำ ไหงมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ละ !?”
นางพยาบาลที่บอกว่าเห็นอาคารถล่มลงมาเพราะเวทย์น้ำแข็งของฉันขอความช่วยเหลือจากคุณหมอโยฮัน
“เอ่อ..ทั้งสองคนใจเย็นก่อน”
คุณหมอโยฮันจึงเดินตรงเข้าไปช่วยแยกทั้งคู่ออกจากกัน
“…คือว่า…ขอฉันไปพักหายใจซักครู่นะคะ”
สังหรณ์ใจไม่ดีเลย
เพราะงั้นฉันเลยขอแยกตัวออกมาจากเมอลินและคุณหมอโยฮัน
แต่ทว่า—
“““““ —— !!! ”””””
“เอ๊ะ !”
เมื่อฉันเปิดประตูออกมาข้างนอกโรงพยาบาล เบื้องหน้าของฉันก็ปรากฎสาวน้อยราวๆสิบกว่าคนยืนจ้องมาที่ฉันอยู่แถวที่นั่งรอซึ่งขนาบกับทางเดินที่ตรงออกไปนอกโรงพยาบาล
พวกเขามองมาที่ฉันอย่างพร้อมเพียงและจ้องฉันเงียบๆโดยไม่พูดอะไร
ทว่า ท่ามกลางสาวน้อยพวกนั้น มันก็มีตาลุงหรือผู้ชายวัยกลางคนปะปนอยู่ด้วย
“อึก !”
อะไรกัน ? สายตานี่ ? รู้สึก…สังหรณ์ใจ..เหมือนกับว่าจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้น
“พี่ริซนี่นา !”
พอเด็กสาวคนหนึ่งลุกขึ้นมาแล้วชี้มาที่ฉัน เด็กๆคนอื่นๆก็ลุกพรวดพราดตามและวิ่งตรงมาทางนี้
“ว๊ายยย พี่ริซของหนู !!!”
“พี่ริซขาาาาา คิดถึงจังเยยค่าาาา ”
“เย้ ! พี่ริซกลับมาแล้ว !”
ทว่า คนที่พุ่งเข้าหาฉันเร็วยิ่งกว่าใครกลับเป็นผู้ชายวัยกลางคนไม่ก็ตาลุงอายุขึ้นเลข 5 ราวๆสองถึงสามคน !?
“ตายแล้ว ! พี่ลิซล่ะฮ้า ~ ♥”
“ปี้จ้าว กลับมาแย้วล่ะตัว อุฮิ อุฮิ”
“อุ๋ยตาย ! คิดถึงพี่ริซซี่ที่สุดเลยฮ้า~ ★”
พวกเขาอ้าแขนกว้างเข้ามาอย่างน่ากลัว จนฉันไม่อาจอดกลั้นความสยดสยองที่โดนตาลุงและเด็กสาวจู่โจมใส่พร้อมๆกันได้
“กรี๊ด ! นี่มันอะไรกันเนี่ย ?”
พยายามดันพวกเด็กสาวที่พุ่งเข้ามากอดอย่างเบามือ ส่วนพวกตาลุงน่ะแรงเยอะมากๆ ฉันก็เลยต้องถีบไปไกลๆ
อะไรๆๆๆ นี่มันอะไรกันเนี่ย ?
“คิดถึงพี่ริซจังเลย”
“วันนี้มานอนด้วยกันนะคะพี่ริซ”
“เดี๋ยววันนี้หนูจะช่วยถูหลังตอนอาบน้ำให้นะคะ !”
พวกเธอเข้ามากอดฉันอย่างสนิทสนมจนฉันรู้สึกกระอักกระอ่วน
เหตุการณ์ตรงหน้าฉันในตอนนี้ เดาได้ไม่ยากเลยว่าเป็นฝีมือของใคร
“เกิดอะไรขึ้น !?”
“ตายจริง ? เนื้อหอมเหมือนกันนะเรา”
คุณหมอโยฮันวิ่งเข้ามาหาด้วยใบหน้าประหลาดใจ ตรงข้ามกับเมอลินที่หัวเราะอย่างสนุกสนาน
“อือ…..คุณหมอคะ ?”
“มีอะไรหรอ ?”
ในระหว่างที่ฉันแกะมือพวกเด็กๆออกไป ฉันก็ถามคุณหมอที่พยายามดันพวกผู้ชายไม่ให้เข้ามากอดฉัน
“ตอนนี้ฉันรู้สึกไม่ดีเลย…..พอมียาแก้โรคกระเพาะบ้างไหมคะ ?”
“………………………”
แล้วฉันก็มองไปยังเมอลินเพื่อขอความช่วยเหลือ ทว่า เธอกลับยิ้มเศร้าแล้วพูดกับฉันว่า—
“มีน้องสาวเยอะขนาดนี้….แม่ของเธอน่าจะเหนื่อยน่าดูนะ”
“ไม่ใช่แล้วค่ะ !”
“เหรอ งี้นี่เอง…เฮ้อ…ลำบากเหมือนกันนะสาวน้อย….การที่ต้องมีคุณพ่อที่เจ้าชู้ขนาดนี้ คงจะผ่านอะไรมาเยอะน่าดูเลยสินะ”
เมอลินมองฉันด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ เป็นคนที่ใจดีจริงๆ….ซ่ะที่ไหน !
มันไม่ใช่แล้วย่ะ !!!
“ช่วยหยุดเจ้าพวกนี้ที ! แล้วก็มีแต่น้องสาวที่ไหนกัน ? ดูนั่นสิ ! ตาลุงกล้ามเป็นมัดๆเลยอ่า ! สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ตาลุงชัดๆเลย นี่มันไม่ใช่น้องสาวแล้ว !!! นี่ใช่เวลาเล่นมุขอยู่หรอ ? ช่วยมาจัดการพวกนี้ทีสิคะ !!!”
จะบ้าตาย !
เครียดค่ะ !
อ่าาาาา ไอรินๆๆๆๆ ไอริน ! ยัยน้องบ้า !
ถึงจะพึ่งรู้สึกตัว เพราะเมื่อกี้กำลังจดจ่ออยู่กับเวทย์พันธสัญญา ดูเหมือนว่าผีเสื้อติดตามที่ส่งไปสะกดรอยไอรินจะถูกทำลายไปซ่ะแล้ว !
นี่มันอะไรกัน ? คลาดสายตาไปชั่วโมงเดียว เธอทำอะไรกับเมืองนี้ไปกันแน่ ?
ไม่ตลกเลยนะ ตอนนี้ฉันโกรธสุดๆไปเลย
ถึงจะไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่น้องสาวของฉันมีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น ไอ้การเล่นอะไรแผลงๆแบบนี้ ถ้าไม่มีเหตุผลดีๆมาอธิบาย เดี๋ยวแม่จะจับมาตีก้นลายซ่ะเลย !
ฉันคิดเช่นนั้นอยู่ในใจเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกเป็นห่วงที่ร้อนรุ่มยิ่งกว่า
“หายไปไหนกัน…ยัยน้องคนนี้เนี่ย”
ช่วยอย่าทำให้ฉันเป็นห่วงจะได้ไหม ?
แบบนี้มันทรมานนะไอริน….
กว่าจะจัดการลบล้างเวทย์ควบคุมจิตใจได้สำเร็จ เวลาก็ผ่านไปกว่า 30 นาที
พวกเราเริ่มการค้นหาไอรินที่หายตัวไปได้ช้าพอสมควร