“นี่ไอริน จะว่าไป น้องอยากลองไปโรงเรียนดูซักครั้งรึเปล่า ?”
ท่ามกลางสายลมของฤดูใบไม้ร่วง ระหว่างที่หญิงสาวผมทองกำลังจูงมือเด็กสาวผมเงินไปตามทาง คำถามที่อยู่ๆหญิงสาวเอ่ยถามก็ทำให้เด็กสาวเอียงหัวด้วยความสงสัย
เบื้องหน้าคือพื้นดินที่มีใบไม้หลากสีปกคลุมไปตามทางราวกับมีคนทำ สีส้ม สีเหลือง และ สีน้ำตาล หยดลงบนผืนกระดาษขนาดใหญ่ที่ทอดยาวออกไป
ใบไม้ที่หล่นลงมาเป็นระยะๆช่างดูคล้ายกับฝนใบไม่ร่วงไม่มีผิด
เสียงกิ่งไม้ที่เสียดสีกันมันช่างคล้ายกับเสียงบรรเลงของมาราคัสซึ่งเขย่าไปมาอย่างมีจังหวะ
ท้องฟ้าสีครามสดใส ปุยเมฆสีขาวแต่งแต้มอยู่บางตา แสงแดดที่ส่องลงมากระทบเข้ากับก้อนเมฆก่อนจะโดนบดบังด้วยร่มไม้อีกทีจนทำให้เกิดแสงอุ่นๆกระทบลงบนใบหน้าของสองสาวที่เดินชิดไหล่เคียงข้างกัน
“ทำไม ถึงถามแบบนั้นล่ะคะ ?”
“ก็ในเมื่อมีเงินเยอะขนาดนี้ แล้วเป็นอิสระจากคุณพ่อคุณแม่แล้ว พวกเราก็น่าจะได้โอกาสเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ได้แล้วน่ะ”
ด้วยส่วนสูงที่ต่างกัน ไอริซก็ก้มมองน้องสาวของตนที่เดินเงียบๆโดยไม่ล่ะสายตาจากฝนใบไม้ร่วงที่ตกลงมาเป็นระยะๆ
“ก็แค่คิดว่าไอริซในชุดนักเรียนก็คงน่ารักน่าดู…อ๊ะ ! แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักหรอกนะ !”
ไอริซรีบโบกมือปฏิเสธอย่างร่าเริงพลางเงยหน้าขึ้นมองฟ้าราวกับจินตนาการถึงบางอย่าง
“โรงเรียนน่ะคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยความฝันและความปราถนา—”
หญิงสาวหลับตา ใบไม้ที่ร่วงโรยลงมาเป็นดั่งพื้นหลังที่ขับเน้นใบหน้าอันงดงามของตัวเธอ
“ถ้าน้องได้เข้าโรงเรียนและพบเพื่อนใหม่เยอะๆ พี่คิดว่าน้องอาจจะหาเส้นทางอื่นนอกจากนี้เจอ…แล้วก็…นั่นสินะ การได้ใช้ชีวิตในโรงเรียนน่ะ มันน่าสนุกออกจะตายไป ! ไม่ว่าจะมิตรภาพ ความรัก และ การผจญภัย ถ้าพูดถึงความเร่าร้อนในชีวิตวัยรุ่น มันก็ต้องโรงเรียนนั่นแหล่ะ ”
รอยยิ้มของไอริซเบ่งบานราวกับดอกไม้ แต่กลับอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์
เด็กสาวเผลอมองพี่สาวผู้เลอโฉมของตัวเองไปชั่วขณะ ก่อนที่จะสะบัดหัวตัวเองเบาๆเพื่อขับไล่ความคิดไร้สาระออกไปจากหัว กระนั้นแล้วพวงแก้มของเธอก็ยังขึ้นสีชมพูระเรื่อเล็กน้อย
หลังจากมองพี่สาวของเธอที่ยิ้มแย้มอยู่ครู่หนึ่ง ไอรินก็กระชับมือที่กุมมือของไอริซแน่นมากขึ้น เด็กสาวก้มหน้าลงแล้วเอ่ยด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“งั้นพี่ริซต้องไปรับไปส่งหนูทุกวันด้วยนะ”
“…………..”
“และพี่ริซก็ต้องไปโรงเรียนด้วยเหมือนกัน…. ทั้งตอนเช้ากับตอนเย็นพวกเราทั้งคู่จะไปกลับโรงเรียนด้วยกัน ข้าวกลางวันพวกเราก็จะช่วยกันเตรียมให้ดูน่ากินมากๆจนเพื่อนในห้องต้องถามว่าใครเป็นคนทำ…ทุกๆวัน พวกเราจะกลับมาที่บ้านและเล่าให้กันฟังว่าในวันนั้นมีเรื่องน่าสนใจอะไรเกิดขึ้นบ้าง”
ท่าทางออดอ้อนราวกับเด็กๆและเรื่องเล่าที่ดูเพ้อฝัน แต่กลับน่าหลงใหล ไอรินที่ช้อนตาขึ้นมองทำให้ไอริซคลี่ยิ้มออกมา
ร่างกายที่แนบชิดและถูไปมาขณะเดินไปตามทางทำให้รู้ถึงความปรารถนาของอีกฝ่ายที่มีให้กับตนอย่างชัดเจน
“ได้สิ…ทำไมจะไม่ได้ ?”
“อื้ม !”
เด็กสาวที่ได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วพยักหน้า ไอรินฉีกยิ้มกว้างแล้วพยักหัวหงึกๆอย่างพึงพอใจ ไอริซที่เห็นดังนั้นก็ปัดใบไม่ที่ติดอยู่บนเส้นผมของเด็กสาวให้ด้วยความเอ็นดู ระหว่างนั้นเด็กสาวก็สูดดมปอยผมสีทองของไอริซที่ยาวจนแตะจมูกของเธอพลางคิดว่ากลิ่นของมันช่างหอมหวนยิ่งกว่าดอกไม้ของจริงที่ขึ้นอยู่ตามทางเสียอีก
เป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและอบอุ่น อยากจะเอนกายแนบชิดพลางสูดกลิ่นกายอีกฝ่ายตลอดไป
ไอริซ และ ไอริน …ในวันนี้ทั้งสองก็ยังคงเดินไปตามผืนป่าที่ทอดยาวออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ทว่า ความสงบทั้งภายนอกและภายใน มันกลับทำให้รู้สึกว่าเวลาที่เดินเคียงข้างกันพลางชมต้นไม้หลากสีสันต์ มันช่างแสนสั้นจนน่าใจหาย
กระนั้นแล้ว นิ้วทั้งห้าที่สอดประสานเข้าหากันจนสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น มันก็ทำให้ยากจะอดกลั้นไม่ให้หัวใจของทั้งคู่พองโตขึ้นมา
พี่สาวที่อยากเจอมานาน และ น้องสาวที่คอยคิดถึงมาโดยตลอด
ขอแค่ความสงบสุขนี้ยังคงอยู่ พวกเราทั้งคู่ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
แม้จะไม่ได้พูดออกมา แต่ไอริซและไอรินที่จ้องหน้ากัน จากนั้นก็เอียงหัวและหลุดยิ้มออกมาทั้งคู่ พวกเธอต่างก็รู้สึกเหมือนกันไม่ผิดแน่ๆ
ช่างเป็นพี่น้องที่รักกันเกลียว ราวกับผมทรงทวินเทลที่ต้องมัดรวมทั้งสองข้าง
เมื่อใดที่หายไปข้างหนึ่ง เมื่อนั้นทวินเทลก็คงมิใช่ทวินเทลอีกต่อไป
กระนั้นแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปทรงผมย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่ทำได้เพียงเฝ้าภาวนาต่อฝนใบไม้ร่วงว่า ขอให้พวกเราทั้งคู่ได้เดินชมทิวทัศน์อันงดงามนี้เคียงข้างกันนานขึ้นอีกสักเสี้ยววิก็ยังดี
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ทหารหน่วยรบพิเศษแนวหน้านับสิบคนถูกรวบรวมมาอยู่ใต้การบัญชาของ ‘ ยูโน่ ทาคาฮาชิ’
ยูโน่ คือ ชายหนุ่มอนาคตไกลผู้เต็มเปี่ยมด้วยพรสวรรค์
ผมสีน้ำตาลอ่อนตัดสั้น ดวงตาสีน้ำเงินเฉียบคมได้รูป จมูกเป็นคมสัน ใบหน้าดูบ้านๆไม่ต่างจากชาวบ้านธรรมดาๆซักเท่าไหร่
ชายคนนี้ถ้ามองโดยผิวเผินก็คงคิดว่าเป็นชายหนุ่มธรรมดาๆไร้พิษภัย ทว่า สำหรับคนในกองทัพที่ได้ยินชื่อของ ‘วีรบุรุษแห่งอากเนียร์’ พวกเขาทุกคนต่างรู้ดีว่าผู้ที่ถูกกล่าวถึงก็คือ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอายุประมาณ 20 ที่ดูน่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดาๆมากกว่าทหารคนนี้….ยูโน่ ทาคาฮาชิ
กระนั้นแล้วทุกคนต่างก็เอ่ยชื่อของยูโน่ด้วยความเคารพและความเลื่อมใส หลังๆมานี้แทบจะไม่มีใครเรียกชื่อจริงของเขานอกเสียจากเพื่อนสนิท มีแต่คนเรียกเขาว่า ‘วีรบุรุษแห่งอากเนียร์’ จากวีรกรรมอันยิ่งใหญ่เมื่อประมาณ 2 ปีก่อนที่ช่วยปกป้องชายแดนบริเวณหุบเขาอากเนียร์จากการรุกรานของจักวรรดิซึ่งมีกำลังนับพันด้วยกำลังคนเพียงแค่ร้อยเดียว ซึ่งผลของวีรกรรมในครั้งนั้นก็ทำให้สาธารณรัฐสามารถยึดครองหุบเขาอากเนียร์อันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญมาได้ถึง 2 ปีเต็ม
เรียกได้ว่า ชายหนุ่มคนนี้คือดาวรุ่งใหม่ไฟแรงที่ต้องตาต้องใจเหล่าผู้บริหารจนได้รับการประดับยศมากมาย หลังเหตุการณ์ในครั้งนั้น ตัวเขาและลูกทีมก็ถูกจัดตั้งเป็นหน่วยรบพิเศษซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบภารกิจอันตรายซึ่งยากจะจัดการได้โดยหน่วยรบทั่วๆไป
ตัวเขาและหน่วยรบ ‘ไวท์สเปียร์’ คือหนึ่งในอาวุธชิ้นสำคัญที่ใช้ต่อกรกับจักวรรดิ เหล่าลูกทีมของเขาแม้จะมีจำนวนน้อย แต่ทุกคนต่างก็เป็นยอดฝีมือที่หนึ่งคนมีกำลังเทียบเท่าทหารเป็นร้อยคน
โดยในช่วงเวลาฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ จริงๆแล้วเขาควรจะถูกส่งไปประจำการบริเวณชายแดนเพื่อจัดตั้งกองกำลังเตรียมรับมือกับการรุนรานของจักวรรดิ เนื่องจากช่วงเวลานี้ฝั่งจักวรรดิกำลังประสบปัญหาปริมาณมอนสเตอร์ที่ล้นทะลักจนก่อเกิดเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เรียกว่า ‘การรุกรานครั้งใหญ่’ ทำให้จักวรรดิไม่อาจรุกรานสาธารณรัฐ
ทว่า เมื่อสองสัปดาห์ก่อน เขาดันได้รับคำสั่งสำคัญจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้รับภารกิจสำคัญซึ่งต้องการกำลังจากหน่วยรบ ‘ไวท์สเปียร์’
นั่นก็คือการตามล่าพวก ‘วีรชนเทียม’ กลับมานั่นเอง
เมื่อสองสัปดาห์ก่อน หลังจากที่เขาได้รับการอธิบายจาก ‘เอริก ดาร์ควู้ด’ ผู้รับผิดชอบโครงการวีรชนเทียม เนื้อหาที่อยู่ข้างในกระดาษที่ส่งมาให้ มันก็ทำให้เขารู้สึกขยะแขยงซ่ะจนอยากจะเผาทิ้งให้เป็นจุณ
“นี่พวกแกรู้รึเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ ?”
“พวกเราเข้าใจดีว่าสิ่งที่กำลังทำเป็นสิ่งที่ผิด แต่หากโครงการนี้สำเร็จ สงครามที่ดำเนินมานานกว่า 200 จะสิ้นสุดลง …การสูญเสียตลอดเวลาที่ผ่านมาจะจบลงที่ยุคของพวกเรา”
แม้จะได้ฟังเหตุผล แต่เรื่องที่ผิดก็ยังไงก็ผิดอยู่วันยังค่ำ การกระทำของพวกมันไม่สามารถสร้างความชอบธรรมให้กับการนำพวกเด็กๆที่บริสุทธิ์มาทำการทดลอง
“แต่ถ้าปล่อยทิ้งเอาไว้ พวกเราก็ไม่รู้ว่าเด็กๆพวกนั้นจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศนี้มากแค่ไหน”
เด็กๆที่ถูกจับกลับมาได้หลังจากนั้นมี 5 คน พอเขาได้เห็นพลังทำลายล้างของเด็กๆพวกนั้น ยูโน่ ก็รับรู้ได้เลยว่าเหล่าทหารในสังกัดของเขาเทียบกับวีรชนเทียมไม่ติดฝุ่น ทักษะการร่ายเวทย์อันรุนแรงอีกทั้งยังพลังเวทย์อันมหาศาล ยากที่จะเอาชนะตรงๆ วิธีที่จะกำจัดวีรชนเทียมคงเหลือแค่การลอบสังหาร
เขารับรู้ได้เลยว่า สาธารณรัฐได้สร้างปีศาจที่ร้ายกาจขึ้นมาเสียแล้ว
ไม่สิ…เอาจริงๆแล้ว ต่อให้ไม่มีเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้น เขาก็รู้อยู่แล้วว่า ประเทศนี้กำลังพยายามสร้างวีรชนเทียมอย่างลับๆ
กระนั้นแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นจะต้องบอก เขาอือออตามน้ำโดยรู้คร่าวๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้มาก่อนแล้ว
“ทางเราเลยอยากฝากให้คุณเป็นหัวหน้าหน่วยในการตามล่าวีรชนเทียมที่แข็งแกร่งที่สุดของทางเรา”
วีรชนเทียมที่แข็งแกร่งที่สุดของทางเรา
คำๆนั้นที่เอริกเอ่ยขึ้นทำให้ยูโน่หรี่ตาลง
เอกสารโยนลงมาที่เบื้องหน้าของเขา
ภาพถ่ายที่ปรากฏอยู่คือเด็กสาวผู้มีเรือนผมสีเงินและนัยน์ตาสีไพริน
ยูโน่อ่านรายละเอียดไล่ลงมาเรื่อยๆพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ตั้งแต่ที่จับเด็กคนนี้มา เวลาผ่านไปกี่ปีแล้ว ?”
“หนึ่งปีกับอีกแปดเดือน ทำไมหรอ ? ”
“เปล่า…..”
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ชายหนุ่มกลับคิดในใจว่า
‘จริงๆเด็กคนนี้ควรแหกคุกออกมาหลังผ่านไปได้สองปีไม่ใช่หรอ ?’
ระหว่างนั้น ยูโน่ ก็พบแต่ข้อมูลที่น่าตกใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“แก่นมนตรา 3 ชิ้น ?”
“ใช่…เพราะงั้นก็เลยรับมือยาก”
ที่ยูโน่หลุดเสียงประหลาดใจออกมา จริงๆแล้วไม่ได้มาจากความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงนั่น
“ไม่ใช่สองชิ้น…เป็นไปได้ยังไง ?”
แต่มันมาจากการที่ข้อมูลในความทรงจำของเขาไม่ตรงกับความเป็นจริงต่างหาก
ทว่า เขาก็ไม่สามารถแสดงท่าทีตกใจออกมาให้เห็น ไม่อย่างงั้นอีกฝ่ายคงผิดสังเกต
“แล้วก็……มีพี่สาวหนึ่งคน ?”
“ทางเราคาดการณ์ว่า เด็กคนนั้นกำลังหลบหนีไปพร้อมกับพี่สาวของเธอ”
“อย่างงี้นี่เอง”
หลังจากนั้น เขาก็สอบถามเพิ่มเติมจากเอริกจนรู้ว่า ในตอนนี้สามารถจับเด็กกลับมาได้แค่ 5 คน แล้วก็รู้ที่ซ่อนแต่ยังไม่ได้จับอีก 45 คน ส่วนอีกหนึ่งคนนั้นเสียชีวิตในช่วงที่เกิดการหลบหนีออกจากศูนย์วิจัย
“ศพของเด็กที่ตายอยู่ในสภาพที่เลือดถูกรีดออกไปหมด อวัยวะภายในหายเกลี้ยง ผิวหนังถูกลอกออกจนเห็นกระดูก แถมศพก็ไหม้เกรียมทำให้ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ศพอีกนานพอสมควร ตอนนี้กำลังเทียบใบประวัติการรักษาอยู่ เนื่องจากมีวีรชนเทียมอยู่ราวๆ 100 คน ดังนั้นจึงใช้เวลาอีกนานกว่าจะรู้ตัวผู้เสียชีวิต”
“งั้นหรอ…เป็นการตายที่ดูปริศนาจังนะ”
ยูโน่ฟังผ่านๆเรื่องลี้ลับที่ดูไม่สลักสำคัญ ในใจของเขากำลังร้อนรนว่าเหตุใดประวัติศาสตร์ถึงได้เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ แม้ว่า มันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม
“หรือว่า บางที—”
ชายหนุ่มหยิบกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมา คราวนี้มันคือกระดาษที่ปรากฏรูปของเด็กสาวผมทอง
“ไอริซ ?”
“???”
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ชายหนุ่มก็พยักหน้า
“เข้าใจแล้ว…..ให้จับเป็นสินะ”
“ครับ !”
“เดี๋ยวจะเริ่มจัดหน่วยค้นหากันตั้งแต่เย็นนี้ คงเริ่มเดินทางได้พรุ่งนี้เช้า”
“ฝากด้วยนะ ความหวังของประเทศนี้อยู่ในมือของพวกคุณแล้ว”
พรึ่บ !
หลังจากทำท่าวันธยาหัตถ์เสร็จ ยูโน่ก็รีบตรงดิ่งออกไปจากห้อง เขาเดินตามทางเดินซึ่งปูด้วยหินอ่อนไปได้ระยะหนึ่งจนกระทั่งไปถึงสุดทางแล้วพบกับเสาหินซึ่งมีมุมมืดให้หลบซ่อนตัว
พอเขาเดินไปถึงตรงนั้นก็พิงหลังเข้ากับเสาพลางเอ่ยกับบุคคลน่าสงสัยที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดอีกฟากของเสา
“มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น”
“หมายความว่ายังไง ?”
เสียงเย็นยะเยือกเอ่ยถามชายหนุ่ม
“เร็วเกินไปที่นางร้ายจะแหกคุก แถมนางร้ายในตอนนี้ยังฝังแก่นมนตราถึงสามชิ้น”
“น่าแปลก ประวัติศาสตร์กำลังถูกบิดเบือน ?”
“ต้องเป็นฝีมือของผู้กลับชาติมาเกิดเหมือนพวกเราไม่ผิดแน่”
“แล้วคิดว่าเป็นคนพี่หรือคนน้อง ?”
“ไม่แน่ใจ คิดว่าต้องไปเจอตัวจริงก่อนถึงจะระบุได้”
“แต่ถ้าเป็นแบบนี้ก็น่าจะคุยกันง่ายขึ้น รอซักครู่นะ….”
อีกฝ่ายกำลังใช้เวทย์สื่อสารระยะไกลติดต่อหัวหน้าพวกตน ยูโน่จึงรอคอยคำตอบอย่างเงียบๆพลางภาวนาให้ปลายสายออกคำสั่งให้เร็วที่สุด
“รับทราบครับ….”
“ทางนั้นว่าไงบ้าง ?”
“หัวหน้าฝากตามหาผู้กลับชาติมาเกิดแล้วขอให้ดึงมาเป็นพวกด้วย ส่วนนางร้ายจะนำมาอยู่ภายใต้การดูแลของทางเราก่อน”
“ไม่คิดจะส่งคืนกลับให้สาธารณรัฐสินะ”
“ส่งคืนกลับไปตอนนี้คงทำให้เนื้อเรื่องถูกเปลี่ยนไปมากกว่าเดิม …หลังเหตุการณ์ในครั้งนี้ อาจจะทำให้ชื่อเสียงของคุณเสียหายพอสมควร ต้องขออภัยด้วยจริงๆ”
“ไม่เป็นไร ยังไงหน้าที่หลักของผมคือการช่วยเหลือองค์กรของพวกเราอยู่แล้ว”
“ถ้าพบตัวแล้ว ตอนที่ทำการจับกุม หัวหน้าก็บอกว่าอยากให้ติดต่อเรียกกำลังเสริมไปช่วยเจรจาด้วย”
“รับทราบ หลังจากนี้จะเริ่มภารกิจโดยทันที”
“รหัส MAOU13 ภารกิจ ‘จับกุมนางร้าย’ — หลังจากนี้ขอให้ติดต่อโดยใช้ชื่อนี้—”
“เข้าใจแล้ว ขออนาคตจงสถิตอยู่แก่ท่าน”
“ขออนาคตจงสถิตอยู่แก่ท่าน”
สิ้นคำบอกลาราวกับคำภาวนา บุคคลปริศนาก็กลืนร่างเข้ากับเงาและหายเข้าไปในเงามืด
บริเวณเสาที่อยู่สุดปลายทางเดินอันหรูหราจึงเหลือแค่ยูโน่แต่เพียงผู้เดียว
“ขอให้จบเรื่องโดยสันติได้ด้วยเถิด….”
ชายหนุ่มภาวนาเช่นนั้น ก่อนจะก้าวเดินออกไปข้างหน้า
ตัวจริงของเขาที่ไม่เคยทีใครรู้มาก่อนคือ อดีตผู้กลับชาติมาเกิดซึ่งรู้ว่าประวัติศาสตร์ในโลกใบนี้กำลังดำเนินอยู่ตามเนื้อเรื่องของเกม ‘World End Fantasy’
นอกจากตัวเขาแล้ว แน่นอนว่าในโลกใบนี้ก็มีผู้กลับชาติมาเกิดอีกจำนวนหนึ่งเช่นเดียวกัน
ผู้กลับชาติมาเกิดจำนวนหนึ่งที่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นจึงได้รวมตัวกันแล้วจัดตั้งองค์กรลับที่มีหน้าที่ปกป้องการคงอยู่ของมวลมนุษยชาติขึ้นมา
‘อิกดราซิล (Yggdrasil)’
นั่นคือนามขององค์กรที่วีรบุรุษหนุ่มผู้นี้สังกัดอยู่
แน่นอนว่า ในอีกไม่นานต่อจากนี้ ผู้กลับชาติมาเกิดทั้งสองคน ยูโน่ และ ไอริซ จะต้องเผชิญหน้ากัน ส่วนผลลัพธ์ของการพบพานในครั้งนี้จะนำมาซึ่งบทสรุปเช่นไร เรื่องดังกล่าวก็มิได้มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน
MANGA DISCUSSION