นับตั้งแต่นั้นมา เราก็หาโอกาสหลบหนีมาโดยตลอด
‘รออีกซักพัก ยังแข็งแกร่งได้มากกว่านี้’
‘ฆ่ามนุษย์ให้หมด แต่อดทนไว้ก่อน’
‘เวลา…..เหลือแค่รอเวลาเท่านั้น’
พอรู้ตัวอีกที พลังที่มากเกินไปก็ทำให้พวกนักวิจัยเอาผ้าปิดตามาปิดเอาไว้ไม่ให้เราสามารถใช้เวทย์ควบคุมจิตใจได้ แถมพวกมันก็เอาไอเท็มเวทมนต์โบราณซึ่งมีลักษณะคล้ายโซ่มาผนึกตัวเราเอาไว้..รู้สึกว่าจะชื่อ โซ่ตรวนแห่งอานูบิส ล่ะมั้ง ? โซ่นั่นน่าจะมีทั้งความทนทานและทำให้ผู้ถูกมัดไม่สามารถใช้เวทมนต์ได้ เราก็เลยไม่ต้องใส่กุญแจมืออีกแล้ว
ตัวเราจึงไม่ส่ามารถเคลื่อนไหวหรือมองเห็นอะไรทั้งสิ้น นอกเสียจากตอนทำการทดลองที่พวกนักวิจัยจะปลดโซ่ของเราให้
สิ่งเดียวที่สัมผัสได้ท่ามกลางวันเวลาที่มืดสนิท จึงมีเพียงเสียงของใครก็ไม่รู้ซึ่งดังก้องอยู่ข้างในหัว
ทว่า แม้จะไม่รู้จัก แต่เราก็รับรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่า เสียงพวกนั้นดังมาจาก แก่นมนตราที่ฝังอยู่ข้างในร่างกายของเรา
ใช่ ! มันจะต้องเป็นความแค้นของผู้ครอบครองแก่นมนตราคนก่อนๆที่ฝังความนึกคิดลงไปบนแก่นมนตราเหล่านี้ไม่ผิดแน่ๆ
ด้วยพลังที่ลึกลับของแก่นมนตรา มันทำให้ความนึกคิดของหนูทดลองคนก่อนๆที่ตายจากไปยังคงสิงสถิตอยู่ในแก่นมนตราทั้งสามชิ้นที่เราครอบครอง
ผลของพลังอันเป็นปริศนาทำให้ในหัวของเรามีเพื่อนคุยเล่นไม่เคยเบื่อ แม้ว่าในห้องที่มืดสนิทจะมีแค่เราเพียงคนเดียวก็ตาม
การถูกปิดตาและล่ามโซ่ไม่ใช่เรื่องอึดอัดหรือเรื่องทรมาน เหล่าพวกพ้องที่อยู่ในหัวต่างบอกว่า ตัวเรายังแข็งแกร่งได้อีก และพอแข็งแกร่งจนถึงจุดหนึ่งก็จะสามารถทำลายศูนย์วิจัยแห่งนี้ได้
และเมื่อวันนั้นมาถึง สิ่งที่เราต้องทำต่อจากนั้นก็มีเพียงแค่อย่างเดียว
‘ฆ่าๆๆ ฆ่าพวกมนุษย์ให้หมด’
‘ล้างแค้น ต้องล้างแค้น !’
‘ปกป้องโลกใบนี้ ฆ่าพวกมนุษย์ ! ’
‘มาทำให้โลกอันโสมมนี่กลับมาขาวสะอาด เหมือนครั้งที่ไร้ซึ่งมนุษยชาติ !’
ใช่…ล้างแค้นพวกมัน กวาดล้างไอ้พวกมนุษย์ให้สิ้นซาก
ทำให้คนที่พวกมันรักต้องตาย เอาให้พวกมันทุกตัวทุกข์ทรมานเหมือนที่มันทำกับพวกเรา
เราและพวกเขาทั้งหลายคิดเช่นนั้นแล้วรอคอยวันที่จะมีพลังมากพอจะทำลายโซ่ตรวนแห่งอานูบิส
อาจจะอีกซักหนึ่งเดือนหรือสองเดือนไม่ก็มากไปกว่านั้น
แค่อดทนอีกนิดเดียว…แค่อดทนอีกนิดเดียวเท่านั้น
ฮ่าๆๆ รอเราก่อนเถอะ ไอ้พวกมนุษย์ !!!
.
.
.
.
.
.
.
.
“ไอริน !?”
เสียง ?
อะไรกัน ? เสียงที่คุ้นเคยนี่ ?
ใครกัน ? ใครเป็นคนพูด ?
ทำไมเสียงของเธอถึงน่าคิดถึงและชวนให้อบอุ่นขนาดนี้กันนะ ?
“ท่านพี่ไอริซ !”
“พี่ไอริซค่ะ !!!”
“ไม่เป็นไร ฉันจัดการเอง…..”
“อย่านะ ไอริซ !!!”
นอกจากเสียงที่ฟังดุคุ้นหูนั่น มันก็มีเสียงของเด็กผู้ชายและผู้หญิงที่ไม่รู้จักอยู่ราวๆสองถึงสามคน
“มาช่วยแล้วนะ ไอริน….”
พริบตาที่เสียงของผู้หญิงคนนั้นเรียกชื่อของเรา ผ้าปิดตาที่ถูกมัดอยู่ก็คล้ายออก
สิ่งแรกที่เห็นไม่ใช่เพดานห้องที่อึมครึม หรือ พวกนักวิจัยที่ยิ้มอย่างชั่วช้า
หากแต่เป็นสีฟ้า….ดวงตาสีฟาใสที่สะท้อนภาพของเราและมีน้ำตาเอ่อล้นออกมา
เรือนผมสีทองเปรอะเปื้อนด้วยเลือดสีคล้ำ เนื้อตัวมอมแมมดูสะบักสะบอม
ทว่า บนใบหน้าที่งดงามกลับแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนชวนให้อุ่นใจ
ผู้หญิงคนนี้ใครกัน ?
การปรากฏตัวของเธอทำให้หัวใจของเรารู้สึกเต้นโครมครามในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
‘หยุดนะยัยโง่ !?’
‘นี่เธอ ! หยุดทำอะไรบ้าๆเดี๋ยวนี้นะ !?’
‘ไม่ต้องมายุ่งกับไอริน !? ต่อให้ไม่มีแก เธอก็ดูแลตัวเองได้ !!’
‘ไสหัวไปๆๆๆ ไสหัวไปซ่ะ !!!’
‘ปล่อยมือจากโซ่นั่นเดี๋ยวนี้ !!!’
อยู่ๆเสียงที่อยู่ข้างในหัวก็อาละวาดยกใหญ่
จากตอนแรกที่มองเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นชัดเจน แสงสีฟ้าที่ก่อตัวขึ้นในมือของเธอ มันกลับเจิดจ้าซ่ะจนบดบังทัศนวิสัยทุกอย่างของเราไปจนหมด
แกร๊กๆๆๆ
ทว่า ท่ามกลางแสงสีฟ้า เราก็ได้ยินเสียงบางอย่างกำลังแตกหักอย่างช้าๆ
“5hkmegg[[oyhorujib:0t9kpgvkot !?”
“mew,dyo !? gfHd8oouhw,jgs,nvogfb,vudgg]h;ot gfHd8oouhle8yPdy[86I-okfoyhog]psiv +ฦ”
“Vnvvvvv rujib: vpjkot gfuJp;dH9kpsivd !!!”
“-vFmKotm6dq8o…….”
ท่ามกลางความรู้สึกเย็นยะเยือกที่ชวนให้อบอุ่นอย่างน่าประหลาด เราก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนนั้นกำลังโต้เถียงอะไรบางอย่างกับคนแปลกหน้าที่เสียงไม่คุ้นหู
“พอเถอะครับ ! ได้โปรดหยุดเถอะ !!!”
“ท่านพี่ค่ะ !!!”
ทว่า แม้จะมีเสียงร้องห้าม แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงพังโซ่ตรวนที่มัดเราไว้อย่างช้าๆ
กึกๆๆๆๆๆ
ทีล่ะนิด เราสัมผัสได้ถึงความอึดอัดที่ค่อยๆทุเลาลง
เคร้ง !!!
และแล้ว เสียงของแข็งแตกกระจายก็ดังขึ้น
พร้อมๆกับความรู้สึกผ่อนคลายที่หวนกลับคืนมา สติของเราก็ค่อยๆหวนกลับมาอย่างช้าๆ
“—- !!!”
เป็นชั่วครู่ที่ภาพตรงหน้ากระตุกวูบหนึ่ง แต่มันก็ยากจะทำความเข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นตรงหน้า
ภาพที่เป็นลอนคลื่นและเสียงแทรกที่ดังกลบ มันทำให้สติที่พร่าเรือนของเราไม่สามารถรับรู้อะไรได้แม้แต่อย่างเดียว
นอกเสียจากน้ำเสียงอันอ่อนโยนของผู้หญิงคนหนึ่งที่เอ่ยให้กับเรา
“ยินดีต้อนรับกลับนะ ไอริน แล้วก็—–
-vFmKot mujw,jwfhvp^jfh;pdyo0o57’mhkpmujl6f s]y’0kdouhohv’8’9hv’r[g0vdy[ginjv’ik;9jk’qvud,kd,kp 5hkgxHowxwfhrujdHvpkd0tgfbog8up’-hk’wxdy[ohv’9jvvud:ydsojvp gg9j;jk,yow,jws;0ib’qoyjoggs]jt rujojt,kwfhgg8jouhgg]h;]jt gg9j;jkotwvibo rujojtw,j;jk0tg,njvwsijdH0tiydohv’gl,v gg,h8;k,9kp0trikdgikwx0kddyo gg9jvpjk’ohvpdH-v.sh8;k,mi’0e9]vfso7j’xumuj,uij;,dyogg]tgTv8ooyho=j;poerkohv’wxl^jvok89mujlf.lmug5vt wvibo wviboohvp-v’ruj… -vFmKot ruj-vFmK -vFmK0ib’qmuj9hv’mbh’ohv’wxdjvo -vFmKotwvibo 57’0tgvkgg9j.0wxsojvp gg9jwfhFxif… s]y’0kdouh -v.shohv’,u8;k,l6- wfhFxif,u8;k,l6-ggmolj;o-v’rujfh;pg5vtot iydmujl6fg]pwvibo— ]kdjvo ”
ทว่า ก่อนที่จะฟังจนจบเสียงของเธอก็ถูกเสียงแปลกๆรบกวนราวกับมีคลื่นแทรก
กระนั้น พอนึกย้อนดูดีๆ เราก็พอจะนึกหน้าผู้หญิงคนนี้ออกแล้ว
— พี่ริซ !?
คนที่มาช่วยเราเอาไว้คือไอริซ…พี่สาวของเรานั่นเอง
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
—- ทำไม เวทย์ควบคุมจิตใจถึงใช้กับผู้หญิงคนนี้ไม่ได้กันเนี่ย !?
หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาและรู้ว่าพี่ริซคือคนที่ช่วยเราเอาไว้ เราก็ใช้เวทย์ควบคุมจิตใจเพื่อสั่งให้พี่ริซเลิกยุ่งกับเรา
ด้วยคำสั่งที่ว่า ‘ไสหัวไปซ่ะ—-’ ตามหลักการแล้ว เธอก็ควรจะเดินจากเราไปแล้วไม่กลับมาข้องเกี่ยวกับเราอีก แม้ว่าตัวเธอจะปรารถนาที่จะอยู่เคียงข้างตัวเรามากแค่ไหนก็ตาม
ทว่า ด้วยสาเหตุประการใดก็ไม่ทราบ ทั้งๆที่เราจะกลับไปเชยชมผลงานอันสวยงามของเรา (ฝนเลือด) ที่ได้จากการสั่งให้พวกนักวิจัยต่ำช้าระเบิดตัวตาย อยู่ๆเราก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกปวดแสบและรับรู้ว่ามีใครบางคนกำลังดึงแก้มของเราอยู่ !?
“กำลังสั่งใครอยู่ฮึ ไอริน ?”
“อะ อะ อำไออันอ่ะ ?”
ทำอะไรของเธอกันเนี่ย ? อย่ามาดึงแก้มของเราเล่นสิ !!!
ว่าแต่เป็นไปได้ยังไงกัน ? ทำไม เวทย์ควบคุมจิตใจถึงใช้กับพี่ริซไม่ได้ล่ะเนี่ย !?
“ไม่ต้องถามว่าทำไมเลย คนเขาอุตส่าห์ช่วย ขอบคุณซักคำก็ไม่มี”
พี่ริซบ่นด้วยท่าทางไม่พอใจ
“แล้วก็คำตอบน่ะมันง่ายออกจะตายไป”
พอดึงแก้มของเราจนพอใจ เธอก็ปล่อยแก้มของเราให้เป็นอิสระ
เมื่อเราหันหลังกลับไปอีกครั้งก็พบกับพี่ริซที่ยืนเท้าสะเอวแล้วยืดอกพูดอย่างมั่นใจ
“ไม่มีทางที่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าน้องสาวจะมีอำนาจเหนือพี่สาวได้หรอกนะ ฮ่าๆๆๆ”
“เอ๋ ???”
อะไรกัน ?
เป็นไปไม่ได้ ?
ทำไมพี่ริซถึงไม่ตกอยู่ใต้การควบคุมของเราล่ะ ?
เราลองถามเสียงที่ปกติจะดังอยู่ในหัวของเรา เหล่าผู้ถือครองแก่นมนตรารุ่นก่อน ทว่า คำตอบที่ได้รับกลับมีแต่คำพูดสั้นๆว่า—
‘เปล่าประโยชน์ …..ไม่ได้ผลหรอก ยอมแพ้ซ่ะเถอะ’
เป็นไม่กี่ครั้งที่ได้ยินคำพูดอื่น นอกจากความเคียดแค้นชิงชัง ไม่ก็คำด่าหยาบคายสาปส่งพวกมนุษย์
มันคือเสียงที่อ่อนแรงและอ่อนใจราวกับยอมแพ้อย่างน่าประหลาด
ทำไมๆๆๆ ทำไมเจ้าพวกนี้ถึงไม่ซ่าเหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะ !?
“เอ๋ ???”
ตรงข้ามกับเราที่กำลังสับสน พี่ริซก็จูงมือเราแล้วพาวิ่งหนีเข้าป่าไปด้วยกัน
ในตอนนี้ตัวเราที่ครองแก่นมนตราสามารถใช้เวทย์ได้ 3 ประเภทได้แก่ เวทย์ควบคุมจิตใจ เวทย์สลายสสาร และ เวทย์ธาตุมืด
เวทย์ควบคุมจิตใจ เป็น เวทย์ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตที่ตกเป็นเป้าหมายถูกสะกดจิตให้ทำตามที่เราสั่งทุกอย่าง
เวทย์สลายสสารคือเวทย์ที่ทำให้สสารทุกอย่างที่ดวงตาคู่นี้จับจ้องเน่าเปื่อยกลายเป็นฝุ่นผง
เวทย์ธาตุมืด เป็นหนึ่งในเวทมนต์ 6 ธาตุหลัก (ประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ มืด แสง) ซึ่งจะแตกแขนงแยกย่อยเป็นเวทย์อีกมากมาย การจะใช้งานมันได้ ต้องมีคนสอนการร่ายคาถาและบทร่ายก่อน เราถึงจะใช้เวทย์ธาตุความมืดได้ คำว่าเวทย์ธาตุความมืดควรจะนับว่าเป็นเหมือนเครื่องบ่งชี้ความถนัดทางเวทมนต์ของเราซ่ะมากกว่า อนึ่ง เวทย์ควบคุมจิตใจ และ เวทย์สลายสสารที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกคือหนึ่งในสาขาของเวทย์ธาตุมืดระดับสูง ซึ่งตามปกติแล้วต้องได้รับการฝึกฝนมานานเป็นสิบๆปี ทว่า เราสามารถใช้งานเวทย์สองชนิดนี้ได้เลย จากการติดตั้งแก่นมนตราเข้าไป
ในขณะที่พี่ริซซึ่งพาเราวิ่งเข้าป่านั้น เธอถูกฝังแกนแห่งเหมันต์เอาไว้ ทำให้เธอสามารถร่ายเวทย์น้ำแข็งทุกชนิดได้ ทั้งๆที่จริงๆแล้วเวทย์ธาตุน้ำแข็งจะบรรลุได้ก็ต่อเมื่อนำความรู้ของเวทย์ธาตุลมและน้ำมาผสมกัน ทว่า แกนแห่งเหมันต์ ทำให้เธอใช้เวทย์ธาตุน้ำแข็งได้เลย โดยที่เธอไม่สามารถใช้เวทย์ธาตุลมและธาตุน้ำ เรียกได้ว่า แก่นแห่งมนตราทำให้ผู้ใช้งานร่ายเวทย์แบบข้ามขั้นเลยนั่นเอง
เอาล่ะ…ทีนี้จะสลัดพี่ริซยังไงดี ดันไม่มีเวทย์ไหนที่น่าจะใช้ได้เลย
ทั้งๆที่ตั้งใจจะให้พี่ริซหนีไปเพื่อที่เราจะได้เป็นคนถ่วงเวลาแล้วจัดการพวกนักวิจัยทุกคนแท้ๆ แต่พอพี่ริซทำแบบนี้ มันก็แย่น่ะสิ
พี่ริซน่ะปรารถนาชีวิตธรรมดาๆมาโดยตลอด ถ้าเกิดเธอมาข้องเกี่ยวกับเรา พี่ริซจะไม่มีวันได้ใช้ชีวิตตามที่ปรารถนาแน่ๆ
เรารู้ว่าเราเป็นคนพิเศษ พวกนักวิจัย….ไม่สิ ผู้นำประเทศนี้จะต้องไล่ล่าตัวเราอย่างเอาเป็นเอาตายแน่นอน ถ้าพี่ริซยังอยู่กับเราแบบนี้ เธอจะต้องตกเป็นเป้าหมายและถูกตามล่าไปด้วยแน่ๆ
ตอนนี้ยังมีโอกาส ถ้าหนีไปให้ไกลตอนนี้ พี่ริซก็อาจจะปลอมตัวแล้วกลับไปใช้ชีวิตเป็นผู้หญิงธรรมดาๆตามที่เธอปราถนาก็เป็นได้
แต่แล้วทำไม เวทย์ควบคุมจิตใจ ถึงไม่ได้ผล ? ตามปกติแล้ว มันควรจะใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดนี่นา อย่าบอกนะว่าพี่ริซเป็นซอมบี้อย่างงั้นหรอ ? ไม่สิ ! มือยังอุ่นๆอยู่เลย ไม่มีทางเป็นแบบนั้นอย่างแน่นอน เท่าที่คิดได้ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเธอมีพลังเวทย์ที่กล้าแกร่งกว่าเราก็เลยต้านการควบคุมจิตใจของเราได้ มันไม่น่าจะมีเหตุผลอื่นแล้วล่ะ
เดี๋ยวนะ ? ถ้ามีพลังเวทย์แข็งแกร่งกว่าเรา แบบนั้นพี่ริซน่าจะมีโอกาสโดนตามล่าเหมือนกันนี่นา ?
น่าประหลาดจัง ? คุ้นๆว่าถ้าจำไม่ผิด เราเคยได้ยินพวกนักวิจัยพูดกันว่า สาเหตุที่ต้องเลือกเด็กๆอายุไม่เกิน 10 ปีมา ฝังแก่นมนตรา มันเป็นเพราะว่า ร่างกายของเด็กสามารถปรับสภาพรับแก่นมนตราได้ดีกว่าผู้ใหญ่ หากฝังในร่างของผู้ใหญ่หรือพวกเด็กโตที่อายุตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป มันจะเลยอายุที่ร่างกายสามารถปรับสภาพให้เข้ากับแก่นมนตราได้ทำให้คนๆนั้นมีอายุยืนไม่นานและตายไปในเวลาไม่กี่ปี
“อ๊ะ !”
เดี๋ยวนะ !? จะว่าไปพี่ริซในตอนนี้ก็อายุ 13 แล้วไม่ใช่หรอ ?
เธอได้รับแก่นมนตราเข้าไปตอนอายุ 11 ซึ่งมันก็เลยอายุ 10 ปีไปแล้วนี่นา !?
นี่ไม่ใช่เวลามาสงสัยด้วยซ้ำว่าทำไมพี่ริซถึงมีพลังเวทย์มหาศาล แต่ปัญหาเร่งด่วนตอนนี้ก็คือ ถ้าไม่ทำอะไรเลย พี่ริซต้องตายไปทั้งๆที่ยังโสดอยู่แน่ๆ !!!
ไม่ได้ๆ บ้าเอ้ย ! เพราะมัวแต่คิดจะล้างบางมนุษยชาติ ทำไมเราถึงได้ลืมเรื่องสำคัญพวกนี้ไปได้นะ
‘ฆ่าพวกมนุษย์ให้หมด’
‘อย่าเขวกับความสับสนชั่วครู’
‘ไอริน เชื่อพวกเราเถอะ อย่าทำอะไรเปล่าประโยชน์’
หนวกหูๆๆๆๆๆ ใครถามความเห็นของพวกเธอกัน !!!
นี่มันใช่เวลามาฆ่าพวกมนุษย์ซ่ะที่ไหน !?
การกวาดล้างมวลมนุษยชาติ จะทำเมื่อไหร่ก็ทำได้
แต่ไอ้เรื่องหาวิธีช่วยพี่ริซ มันต้องทำตอนนี้ มีโอกาสแค่ตอนนี้เท่านั้น ! ถ้าสายเกินไปพี่ริซก็ต้องตายไม่ใช่รึไง !?
อย่ามาพูดชุ่ยๆนะ !!! ใครจะยอมปล่อยให้พี่ริซตายกันเล่า !?
‘ล้างบาง—’
ไอ้พวกคนที่ตายไปแล้วอย่างพวกนายน่ะเงียบๆไปเลย ! หนวกหูย่ะ ! ไว้ช่วยพี่ริซเสร็จพวกนายอยากขออะไร ก็ค่อยขอมา นี่พวกนายแค้นหรือโง่จนเรียงลำดับความสำคัญไม่ออกแล้วรึไง !?
‘โลก..กับ..ผู้หญิง…แค่คนเดียว’
หา !?
มันก็ต้องเลือกพี่ริซอยู่แล้วสิ !?
ถามอะไรบ้าๆ ?
มีคนปกติที่ไหนเลือกโลกมากกว่าเลือกพี่สาวของตัวเองกัน คำถามมันมีคำตอบเดียวตั้งแต่แรกไม่ใช่รึไง ? จำเป็นจะต้องคิดให้เสียเวลาด้วยเรอะ !
เพราะเอาแต่คิดมากอยู่แบบนี้ก็เลยไม่ไปผุดไปเกิด กลายเป็นผีเฝ้าแก่นมนตราอยู่แบบเนี้ย อย่ามัวแต่ยึดติดกับความแค้นจนลืมสิ่งที่สำคัญกว่าไปสิ !
‘หน้าด้าน…’
‘พูดไม่ดูตัวเอง….’
หา !? นี่พวกแกว่าใครหน้าด้านกัน !? เสียมารยาทที่สุด !!! ร่างกายนี้เป็นของเรา เราคือเจ้าบ้าน พวกผู้อยู่อาศัยอย่างพวกนายน่ะหุบปากไปเลยนะ !
‘เผด็จการ……’
ในขณะที่เรากำลังโต้เถียงกับไอ้พวกบ้าข้างในหัว
พี่ริซก็มองเราด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรรึเปล่า ? ดูเหม่อๆจัง”
“มะ มะ ไม่มีอะไรก๊ะ !”
ตกใจหมดเลย อยู่ๆก็อย่ายืนหน้าเข้ามาใกล้สิคะ !
“ฮุๆ ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้ ลิ้นพันกันแล้วนะ”
“มะ มะ ไม่ได้ตกใจซักหน่อย !”
อุหวา รอยยิ้มขี้เล่นของพี่ริซ…น่าคิดถึงจัง
แต่ว่าหนูไม่ใช่เด็กๆอีกแล้ว จะมาทำตัวปวกเปียกจนทำให้เธอเป็นห่วงไม่ได้
ถ้าเกิดหลังจากแยกทางกันยังทำตัวเป็นเด็กๆอยู่ พี่ริซก็คงได้เป็นห่วงจนไม่ยอมแยกจากเราพอดี
ดังนั้นจะแสดงความเป็นเด็กออกมาไม่ได้ ! ต้องแสดงความเป็นผู้ใหญ่ให้เห็น
เอาเป็นว่า โม้ไว่ก้อนล่ะกัน !!!
“พี่ริซ รู้รึเปล่า ! หนูน่ะกินกาแฟได้แล้วนะ !”
“อืม…อายุแค่ 8 ขวบ ไม่ควรกินกาแฟนะ มันไม่ดีต่อร่างกาย”
อ่าว ? กลายเป็นว่าพี่ริซดุด้วยความเป็นห่วงซ่ะงั้น
“หนูกินเผ็ดได้แล้วด้วย”
“อื้มๆ เก่งมากจ้ะ”
พี่ริซตบมือแปะๆให้กับหนูที่ยืดอกอย่างภาคภูมิใจ ฮ่าๆๆ ในที่สุดก็ยอมรับหนูแล้วสินะ
‘น่าเป็นห่วง…’
‘ยังเด็กอยู่ ช่วยไม่ได้’
อะไรกัน ไอ้เจ้าลูกบ้านพวกนี้ กล้ามากนะที่ว่าเจ้าบ้านลับหลัง
การเรียกเจ้าพวกนี้ว่า ‘เสียงในหัว’ หรือว่า ‘ผู้ใช้แก่นมนตรารุ่นก่อน’ คงแสดงถึงอำนาจไม่พอสินะ เอาเป็นว่าหลังจากนี้เรียกพวกมันว่า ‘ลูกบ้าน’ ล่ะกัน !!!
ใช่ ! ลูกบ้าน ! ลูกบ้าน ! สถานะพวกนายมันก็แค่ลูกบ้านของเรานั่นแหล่ะ !!!
‘…………..’
‘…………’
เรียบร้อยเถียงไม่ออกเลยทีเดียว เอาล่ะ ได้เวลากลับไปแสดงความเป็นผู้ใหญ่ให้พี่ริซเห็นแล้ว
“พี่ริซ ! ไม่ต้องเป็นห่วงนะ หนูจะเป็นคนช่วยพี่เอง”
“????”
แม้พี่ริซจะทำหน้างง แต่ในตอนนั้นหนูได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้ว
— จะต้องหาวิธีช่วยพี่ริซให้เร็วที่สุดในระหว่างที่เดินทางไปด้วยกัน เพราะงั้นจะแยกกันไม่ได้ เดี๋ยวจะหากันอีกทีไม่เจอ หรือ ถ้าหาวิธีพบแล้วไม่เจอตัวพี่ริซ มันก็คงเลวร้ายน่าดู ไว้หาวิธีช่วยพี่ริซเสร็จ เราก็ค่อยแยกทางกับพี่ริซทีหลัง ทีนี้แหล่ะ เราถึงค่อยหาวิธีล้างแค้นพวกมนุษย์
MANGA DISCUSSION