พันธสัญญาลวงรัก - ตอนที่ 656 ดวงตาที่มองเห็นแค่เธอ
ตอนที่ 656
ดวงตาที่มองเห็นแค่เธอ
หลังจากอินอวี่โหรวตื่นขึ้นมา เธอก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากด้านข้าง
เธอถูกรายล้อมไปด้วยความอบอุ่นและกลิ่นที่คุ้นเคย
ทำให้ความตึงเครียดของอินอวี่โหรวค่อย ๆ ผ่อนคลายลง
แต่ทันทีที่เธอเคลื่อนไหว คนที่อยู่ด้านข้างก็ตื่นขึ้น
เมื่อเห็นว่าอินอวี่โหรวตื่นขึ้นมาแล้ว ลู่ซีจวี๋ก็คว้ามือของอินอวี่โหรวมาแนบริมฝีปากและบรรจงจูบ “ตื่นแล้วเหรอ?”
“ตื่นแล้ว ตอนนี้ดึกมากหรือยัง?” อินอวี่โหรวมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นว่ามันมืดมากแล้ว
ป่านนี้จะเที่ยงคืนหรือยังนะ?
“ยังไม่ดึกหรอก ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวผมพาคุณไปกินข้าว” ลู่ซีจวี๋ลุกขึ้นยืนและส่งถุงกระดาษให้อินอวี่โหรว
นี่คือเสื้อผ้าที่เขาสั่งให้ผู้ช่วยไปเตรียมมาให้
ในบริษัทนี้มีผู้ช่วยอีกคนที่รู้ว่าหญิงสาวผู้อยู่ในห้องทำงานของเขาคืออินอวี่โหรว
โดยปกติ ผู้ช่วยจะช่วยเตรียมเสื้อผ้าให้อินอวี่โหรวอยู่แล้ว
เมื่อก่อนก็เหมือนกัน
ขนาดพอ ๆ กัน คาดว่าผู้ช่วยน่าจะพอเดาได้
แต่ลู่ซีจวี๋รู้ดีว่าเขาจะไม่ปากโป้ง ไม่มีเจนตาทำร้ายเขา
มีข่าวลือหนาหูอยู่ด้านนอก เขายอมรับโดยปริยายและผู้ช่วยก็รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
“แล้วทำไมคุณมานอนหลับในนี้?” อินอวี่โหรวหยิบถุงเสื้อผ้าขึ้นมาแต่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีและถามเขาด้วยความสงสัย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลู่ซีจวี๋ก็ยิ้ม “คุณลืมไปแล้วเหรอว่าครั้งล่าสุดมีคนตาขาวรีบลุกออกจากเตียงมาตามหาผมทั้งที่ไม่ใส่รองเท้าด้วยซ้ำ? หื้ม?”
ดังนั้นลู่ซีจวี๋จึงวางงานลงและเข้ามาอยู่กับเธอ
เขากังวลว่าเธอจะหวาดกลัวเหรอ?
อินอวี่โหรวรู้สึกประทับใจมาก
แต่ยังคงถกเถียงด้วยเสียงแผ่วเบา “ไม่ใช่สักหน่อย”
“ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ จะพูดอะไรผมก็เห็นด้วยทั้งนั้น รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันน่าจะหิวแล้วใช่มั้ย” ลู่ซีจวี๋เดินเข้าไปหาอินอวี่โหรวและบีบแก้มอินอวี่โหรว “ถ้าคุณหิว ผมจะรู้สึกแย่นะ”
“งั้นก็ออกไปสิ” อินอวี่โหรวผลักเขา
ถ้าเขาอยู่ที่นี่ เธอจะเปลี่ยนเสื้อผ้าได้อย่างไร?
“ทำอย่างกับผมไม่เคยเห็นร่างกายคุณงั้นแหละ? เพิ่งมาอายเป็นป่านนี้เหรอ?” เดิมทีลู่ซีจวี๋ตั้งใจจะเดินออกไปข้างนอก
แต่เมื่อเห็นอินอวี่โหรวซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม เขาก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ
ใบหน้าของอินอวี่โหรวเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที
เธอสัมผัสความร้อนที่เพิ่มขึ้นบนหน้าแก้ม และพูดด้วยความโกรธว่า “รีบออกไปสิ”
เมื่อเห็นว่าเธอกำลังไม่สบอารมณ์จริง ๆ ลู่ซีจวี๋ก็ไม่กล้าสร้างปัญหามากเกินไป
หลังจากหัวเราะสองครั้งแล้ว เขาก็เดินออกไป
พอบานประตูถูกปิดลง อินอวี่โหรวก็กล้าลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า
ลู่ซีจวี๋สั่งให้คนเตรียมชุดกระโปรงที่มีปกคอยาวสูง
เพื่อปกปิดร่องรอยคลุมเครือบนร่างกายที่เขาทำเอาไว้
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินออกมา ลู่ซีจวี๋ก็หยิบกุญแจรถยนต์และเดินออกไปเคียงข้างอินอวี่โหรว
พอเดินออกมา ทั้งบริษัทก็ว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คนแล้ว
อินอวี่โหรวพบว่ามันตลกมาก เธอจะเข้ามาตอนทำงานและกลับออกไปหลังเลิกงานทุกครั้ง
จนกระทั่งเดินเข้าไปในลานจอดรถและเข้าไปนั่งลงในรถยนต์ อินอวี่โหรวก็ก้มหน้ามองเสื้อผ้าของเธอด้วยความกังวลอีกครั้ง
“ถ้ากลับถึงบ้านแล้ว ฉันจะบอกคุณปู่ว่าอะไรดี?” อินอวี่โหรวมีสีหน้าลำบากใจ
ข้อแก้ตัวก่อนหน้านี้ใช้ได้เพียงครั้งเดียว ไม่สามารถหยิบยกขึ้นมาใช้ครั้งที่สองได้
อินอวี่โหรวพลางคิดในใจว่าไม่ช้าหรือเร็วผู้เฒ่าอินก็จะต้องรู้ความจริง บางทีก็แค่บอกเขาไปเสีย จะได้ไม่ต้องปิดบังเขาทุกครั้ง
แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปสักคำ
เธอยังต้องการเห็นความจริงใจของลู่ซีจวี๋
เมื่อคิดได้เช่นนั้น อินอวี่โหรวก็เงยหน้ามองลู่ซีจวี๋
ลู่ซีจวี๋มองดูและอดไม่ได้ที่จะสัมผัสใบหน้าตัวเอง “ทำไม? มีอะไรติดหน้าผมเหรอ?”
อินอวี่โหรวยิ้มเมื่อเห็นท่าทางสับสนของเขา “ทำไม? จะมองคุณบ้างไม่ได้เหรอ?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? คุณมองสามีก็ต้องได้อยู่แล้ว” ลู่ซีจวี๋จูบริมฝีปากอินอวี่โหรว
“คุณบอกคุณปู่ว่าออกมาซื้อของใช่มั้ย?” ลู่ซีจวี๋ขับรถออกไปและเริ่มช่วยอินอวี่โหรวคิดหาวิธีการแก้ปัญหา
“ใช่” อินอวี่โหรวพูดและก้มหน้าลง
แต่ใครจะสามารถออกไปซื้อของได้ทั้งวันทั้งคืนล่ะ
พอคิดดูแล้ว พฤติกรรมนี้ก็ทำให้คนสงสัยจริง ๆ
แม้ว่าผู้เฒ่าอินจะบอกเธอให้ออกไปเที่ยวเล่นได้ตามที่ต้องการ ไม่ต้องกังวลอะไร
แต่อินอวี่โหรวก็ยังรู้สึกผิดในใจ
เธอมักจะรู้สึกราวกับถูกพ่อแม่จับได้เวลากระทำผิด
ถึงจะเป็นในกรณีที่ผู้ปกครองอนุญาตก็เถอะ
“ก็แค่บอกว่าคุณชอบชุดนี้ใส่แล้วชอบก็เลยใส่ออกมาเลย ลองแบบนี้มั้ย?” ลู่ซีจวี๋เสนอความคิดเห็นที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาทันที
อินอวี่โหรวคิดว่านี่เป็นเหตุผลที่ใช้ได้ทีเดียว
หลังจากฟังแล้ว เธอก็หันไปมองลู่ซีจวี๋
“มีอะไร?” ลู่ซีจวี๋จ้องมองเธอด้วยความสับสน
“คุณหาข้อแก้ตัวเก่งมาก คุณโกหกคุณปู่บ่อยใช่มั้ย?” อินอวี่โหรวจงใจถามด้วยสีหน้านิ่ง ๆ
“อวี่โหรว คุณเข้าใจผมผิดแล้ว ผมแค่ช่วยคุณต่างหาก คุณหาข้อแก้ตัวไม่ได้เพราะหัวสมองคุณคิดไม่ถึง ผมยังไม่โทษคุณเลย” ลู่ซีจวี๋พูดเบา ๆ
อินอวี่โหรวจะไม่ได้ยินได้อย่างไรว่าลู่ซีจวี๋กำลังบอกว่าเธอโง่
เธอหันไปจ้องเขม็งลู่ซีจวี๋ “ฮึ่ม คุณเยาะเย้ยฉันเหรอ”
ลู่ซีจวี๋กะพริบตาจ้องมองเธออย่างไร้เดียงสา “ผมไม่ได้พูดอะไรเลยนะที่รัก”
“คุณจงใจพูดเลยเหอะ” อินอวี่โหรวต่อยไหล่เขาอย่างไม่สบอารมณ์
“ก็ได้ ๆ ผมจงใจพูดเอง พอใจหรือยัง? เจ้าสะใภ้ตัวน้อย?” ลู่ซีจวี๋รีบขอโทษขอโพย
“คุณกล้าพูดแบบนั้นกับฉันได้ยังไง!” อินอวี่โหรวโกรธมากจนอยากจะทุบตีเขาอีกรอบ
ลู่ซีจวี๋ใช้ศอกสกัดกั้นมือของเธอ “อ๊ะ ที่รัก ผมขับรถอยู่ อย่าขยับนะ หรือถ้าคุณอยากจะฆ่าตัวตายพร้อมสามี ผมก็ไม่ว่าอะไร”
แม้ว่าคำพูดของลู่ซีจวี๋จะไม่ได้จริงจังนัก
แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเขา อินอวี่โหรวก็หยุดเคลื่อนไหว
เธอนั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับด้วยความหงุดหงิด
อินอวี่โหรวไม่พูดกับเขาจนกระทั่งลงจากรถยนต์และเดินเข้ามาในร้านอาหาร
ลู่ซีจวี๋เดาว่าเธอน่าจะโกรธจริง ๆ
จากนั้นเขาก็จับมือเธอมาพูดเกลี้ยกล่อมว่า “ที่รัก โกรธเหรอ? ผมผิดไปแล้ว ผมไม่น่าพูดแบบนั้นกับคุณเลย”
“ฉันยกโทษให้คุณแค่ครั้งนี้นะ” อินอวี่โหรวเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งผยอง
อินอวี่โหรวไม่ใช่คนขี้งอน
ตอนที่นั่งอยู่ในรถยนต์ ความโกรธเคืองของเธอได้หายไปนานแล้ว
ส่วนเหตุผลที่เธอไม่พูดเพราะต้องการให้ลู่ซีจวี๋พูดง้อเธอ
พอตอนนี้ลู่ซีจวี๋พูดขอโทษอีกครั้ง เธอก็ยกโทษให้เขาอย่างง่ายดาย
“ขอบใจนะภรรยา” ลู่ซีจวี๋หอมแก้มเธอ
อินอวี่โหรวเอนตัวลงบนเบาะในร้านอาหาร
ภายในร้านอาหารมีแสงไฟสว่างไสว ศาลาริมน้ำ และวิวทิวทัศน์ที่เหมือนกับในภาพวาด
เธออาศัยอยู่ในเมืองเป่ยมานานแล้ว แต่กลับไม่เคยรู้ว่ามีที่ที่สวยงามแบบนี้อยู่ในเมืองเป่ย
“ที่นี่สวยจัง” อินอวี่โหรวถอนหายใจขณะมองดูทิวทัศน์ด้านนอก
แสงสกาวที่ตกกระทบลงมาบนรูม่านตาของอินอวี่โหรว ทำให้ดวงตาของเธอแวววาวราวกับแก้ว
ลู่ซีจวี๋โอบกอดเอวอินอวี่โหรวจากทางด้านหลัง “ในสายตาผม คุณสวยกว่าอะไรทั้งหมด”
ดวงตาสีทองอำพันเต็มไปด้วยความรัก ราวกับพวกมันจับจ้องอินอวี่โหรวไว้แค่คนคนเดียวเท่านั้น
ทั้งสองยืนกอดกัน ดูเป็นคู่รักที่แสนหวานภายใต้แสงสีส้ม
ขณะเดียวกันระหว่างที่พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็น มีใครบางคนยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพของพวกเขาเอาไว้