พันธสัญญาลวงรัก - ตอนที่ 210 ฉันจะไม่ปล่อยแกไปแน่
ตอนที่ 210
ฉันจะไม่ปล่อยแกไปแน่
ณ จิ้นกรุ๊ป
จิ้นเป่ยเฉิงกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะประจำตำแหน่ง เหยียดขายาวออกไปอย่างสบายใจเฉิบ
ซุนจิ้งผู้ช่วยของเขากำลังอ่านรายงานข้อมูลการซื้อโครงการซ่งกรุ๊ป “เราใช้เงินซื้อกิจการของซ่งกรุ๊ปไปทั้งหมด…”
จิ้นเป่ยเฉิงนั่งฟังรายงานอย่างอารมณ์ดี แม้ว่ารอยยิ้มจะไม่ได้ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากก็ตาม
คราวนี้พวกเขาก้าวนำหน้ามู่อวี้เฉิงจนสามารถเข้าครอบครองซ่งกรุ๊ปได้สำเร็จ
จิ้นเป่ยเฉิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย
แต่หลังจากที่ได้ยินว่าคนจากมู่กรุ๊ปเดินออกมาจาก ซ่งกรุ๊ปด้วยสีหน้าน่าเกลียดน่ากลัว จิ้นเป่ยเฉิงก็พ่นความขุ่นเคืองออกมาอันเนื่องมาจากโครงการก่อนหน้านี้ถูกขโมยไปถึงสองโครงการ
“เอาล่ะ พอแล้ว ฉันรู้แล้ว ไม่ต้องอ่านหรอก” จิ้นเป่ยเฉิงพูดบอกผู้ช่วย
จิ้นเป่ยเฉิงไม่ใช่คนอวดดีและรู้เรื่องราวเกี่ยวกับ ซ่งกรุ๊ปเป็นอย่างดี ทว่ามู่อวี้เฉิงกลับไม่สังเกตเห็นเลย
อย่างไรก็ตามการเข้ายึดครองซ่งกรุ๊ปไม่เพียงแต่จะมีผลประโยชน์ขั้นพื้นฐานทางการค้าเท่านั้น แต่เขายังสามารถใช้สิ่งที่น่ารังเกียจเอาชนะมู่กรุ๊ปได้ ซึ่งข้อนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
กล่าวว่าแค่นี้ก็เพียงพอสำหรับจิ้นเป่ยเฉิงแล้ว
เขาเริ่มจินตนาการถึงสีหน้าของมู่อวี้เฉิงที่อมทุกข์ราวกับเผลอกินแมลงวันเข้าไปหลังจากได้ยินข่าวนี้
จิ้นเป่ยเฉิงหัวเราะเสียงดังลั่นทันที
“ครับ” ซุนจิ้งตอบแล้วรายงานต่อ “บอสครับ เดี๋ยวตอนสิบโมงจะมีประชุมกับผู้ถือหุ้นนะครับ”
“รู้แล้ว” จิ้นเป่ยเฉิงพูดขณะโบกมือส่งสัญญาณให้เขากลับออกไป
ห้องประชุม
ผู้คนในวัยห้าสิบถึงหกสิบปีหลายคนนั่งทำสีหน้าจริงจังอยู่ในห้องประชุม
จิ้นเป่ยเฉิงมาถึงช้าเพียงเล็กน้อย แต่ทันทีที่เขามาถึง ชายที่มีผมหงอกเต็มศีรษะก็พูดขึ้นมา “ครั้งนี้คุณจิ้นมาเร็วจังนะครับ”
จิ้นเป่ยเฉิงรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังเสียดสีแต่กลับไม่ได้ตอบโต้อะไร
หลังจากที่การประชุมผู้ถือหุ้นเริ่มขึ้น ใครหลายคนก็คัดค้านไม่ให้จิ้นเป่ยเฉิงเข้าซื้อกิจการซ่งกรุ๊ป
“คุณจิ้น คุณไปซื้อกิจการต่อจากซ่งกรุ๊ปโดยไม่ปรึกษาผู้ถือหุ้นก่อน แบบนี้มันขัดต่อกฎระเบียบของบริษัทนะครับ”
“นอกจากนี้ซ่งกรุ๊ปก็เป็นเหมือนซี่โครงไก่ ต่อให้ได้ทรัพย์สินมาครอบครองก็ไม่เกิดผลประโยชน์อะไร”
“คุณกำลังผลาญเงินบริษัทอยู่ เอาเงินมากมายก่ายกองขนาดนั้นไปซื้อโครงการมามันไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลยนะครับ หนำซ้ำยังไปซื้อของซ่งกรุ๊ปอีก”
ผู้ถือหุ้นบางส่วนเริ่มติเตียนจิ้นเป่ยเฉิง
จิ้นเป่ยเฉิงรู้สึกรำคาญที่ต้องมานั่งฟังเสียงเอะอะโวยวายของชายชราพวกนี้ ทว่าคนพวกนี้เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท และบางคนอาวุโสกว่าเขามาก ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถแสดงท่าทางโกรธเคืองออกไปได้
จิ้นเป่ยเฉิงระงับความโกรธ แต่ดวงตาสีเข้มกลับจ้องมองคนตรงหน้าอย่างเย็นชา จนกระทั่งผู้ถือหุ้นเงียบไป
“เดี๋ยวก็รู้ว่ามันจะเป็นแค่ซี่โครงไก่อย่างที่พวกคุณพูดมั้ย” จิ้นเป่ยเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เขาพูดและโบกมือส่งสัญญาณให้ซุนจิ้งแจกจ่ายข้อมูลให้กับทุกคน
ผู้ถือหุ้นอ่านข้อมูลดังกล่าวและเริ่มกระซิบกระซาบกันเอง
ถึงแม้ว่าการหว่านเงินซื้อโครงการของซ่งกรุ๊ปจะใช้เงินเป็นจำนวนมาก แต่ก็ต้องบอกว่าโครงการบางตัวของซ่งกรุ๊ปยังคงน่าสนใจ
ผู้ถือหุ้นค่อย ๆ ระงับความโกรธลงและยอมรับการตัดสินใจของจิ้นเป่ยเฉิง
โครงการที่มู่อวี้เฉิงให้ความสำคัญต่างได้รับความสนใจจากผู้ถือหุ้นเช่นกัน
ผู้ถือหุ้นชี้ไปที่โครงการดังกล่าวและพูดกับจิ้นเป่ยเฉิงด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณจะต้องจับตาดูโครงการนี้ให้ดี โครงการพวกนี้จะสร้างผลกำไรให้กับบริษัทได้นับไม่ถ้วน”
ผู้ถือหุ้นคนอื่นเริ่มตอบสนองเช่นกัน
จิ้นเป่ยเฉิงให้คำมั่นสัญญา “ผมจะทำมันให้ดี”
สองวันต่อมา
“บอส ทีมวิศวกรวิจัยและพัฒนาจากโครงการนั้นเข้าร่วมกับมู่กรุ๊ปแล้วครับ” ซุนจิ้นเดินเข้าไปในห้องทำงานของ จิ้นเป่ยเฉิงแล้วพูดรายงาน
“เกิดอะไรขึ้น?” จิ้นเป่ยเฉิงรีบลุกขึ้นยืน ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธจัด
ซุนจิ้งตอบกลับว่า “ผมให้คนไปตรวจสอบแล้วและพบว่าพวกเขาถูกมู่กรุ๊ปซื้อตัวไปในราคาที่ค่อนข้างสูง ถูกซื้อตัวไปก่อนที่เราจะเซ็นสัญญากับซ่งกรุ๊ปอีกครับ”
หากไม่มีวิศวกร จิ้นกรุ๊ปก็จะได้มาเพียงโครงการเปล่า ๆ เท่านั้น
กำไรสุทธิของโครงการมีอยู่อย่างจำกัด หากไม่มีการปรับปรุงเทคโนโลยีให้ทันสมัย เมื่อได้รับผลกำไรมาแล้วกำไรก็จะหมดไปอย่างสิ้นเชิง
มู่อวี้เฉิงที่มีกำลังวิศวกรวิจัยและพัฒนาอยู่ในมือจะสามารถสร้างโครงการดังกล่าวได้มากมายและได้รับผลกำไรอย่างไม่จำกัด
เขาถูกมู่อวี้เฉิงตลบหลังอีกแล้ว!
“บัดซบ มู่อวี้เฉิง!” จิ้นเป่ยเฉิงโกรธมากจนโยนข้าวของบนโต๊ะลงพื้นและเตะโต๊ะเสียงดังลั่น
เขาเม้มริมฝีปาก ดวงตาเป็นประกายไปด้วยเปลวไฟ “รอก่อนเถอะ ฉันจะไม่ปล่อยแกไปแน่”
…
ในอีกด้านหนึ่ง
ณ คฤหาสน์ตี้หลาน ถงเหมี่ยวเหมี่ยวกำลังเตรียมของเพื่อที่จะออกไปข้างนอก ขณะที่เสี่ยวเป่าคอยเดินตามเธอไปเรื่อย
“วันนี้จะได้ออกไปข้างนอกกับแด๊ดดี้หม่ามี้แล้ว” เสี่ยวเป่ามีความสุขมาก สีหน้าผุดผ่องเต็มและอ่อนโยนดูตื่นเต้นกว่าปกติ
เนื่องจากถงเหมี่ยวเหมี่ยวกับมู่อวี้เฉิงมักจะออกไปทำงานจึงไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนเล่นระหว่างวันกับเขา ทำให้เขาคอยตามติดทั้งสองคนได้ในเฉพาะช่วงเย็นและวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวยิ้มเบา ๆ เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเป่ามีความสุขมาก
“จากนั้นค่อยไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลกัน ลูกอย่าวิ่งนะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ?” ถงเหมี่ยวเหมี่ยวเตือนเบา ๆ
เสี่ยวเป่าทำหน้ามุ้ยแล้วตอบว่า “หม่ามี้ ผมไม่ใช่เด็กสามขวบแล้วนะ”
“จ๊ะ เจ้าเด็กห้าขวบ” ถงเหมี่ยวเหมี่ยวหัวเราะขณะเลิกคิ้วขึ้น
“หม่ามี้!” เสี่ยวเป่างอน
“พร้อมกันหรือยัง?” มู่อวี้เฉิงเดินเข้าประตูมาและถามอย่างใจเย็น
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวพยักหน้าแล้วจูงมือเสี่ยวเป่าเดินออกไปพร้อมกับมู่อวี้เฉิง
วันนี้พวกเขาทั้งสองคนจะพาเสี่ยวเป่าไปตรวจสุขภาพร่างกาย ซึ่งยากนักที่พวกเขาจะว่างตรงกันในเวลาทำการ
คนขับรถประจำตระกูลมู่พาทั้งสามคนไปยังโรงพยาบาล
มู่อวี้เฉิงได้จัดให้ทีมแพทย์เข้ามาตรวจร่างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หลังจากที่ทั้งสามคนมาถึงโรงพยาบาล พวกเขาก็พาเสี่ยวเป่าเข้าไปตรวจร่างกาย
รายงานผลตรวจร่างกายถูกส่งไปยังโต๊ะทำงานของแพทย์ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ
หลังจากตรวจร่างกายเสร็จแล้ว มู่อวี้เฉิงก็พาทั้งสองคนไปยังห้องทำงานของแพทย์
เอกสารผลการตรวจร่างกายของเสี่ยวเป่าหลายฉบับวางอยู่บนโต๊ะของแพทย์
แพทย์หยิบมันขึ้นมาดูทีละฉบับอย่างระมัดระวัง
หลังจากอ่านรายงานผลตรวจแล้ว แพทย์ก็เรียกเสี่ยวเป่าเข้ามาตรวจดูบาดแผลอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงพิมพ์ข้อมูลลงบนคอมพิวเตอร์
“คุณหมอคะ อาการลูกชายฉันเป็นยังไงบ้างคะ?” ถงเหมี่ยวเหมี่ยวถามด้วยความกังวล สองมือจับชายกระโปรงเอาไว้แน่น
แพทย์ดันกรอบแว่นตาขึ้นแล้วพูดว่า “บาดแผลหายดีแล้วครับ แทบไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเลย ตอนนี้แข็งแรงดี ศีรษะไม่มีปัญหาอะไรร้ายแรงแล้วครับ”
“โล่งอกไปที ในที่สุดเสี่ยวเป่าก็หายดีแล้ว” ถงเหมี่ยวเหมี่ยวหันไปมองมู่อวี้เฉิงด้วยท่าทางตื่นเต้น มองตรงเข้าไปในดวงตาสีนิล
“อืม” มู่อวี้เฉิงตอบรับขณะที่ดวงตาคว่ำลงเล็กน้อย
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวเห็นว่าเขามองมาจึงค่อย ๆ หันหน้ากลับไป
แพทย์บอกว่าเสี่ยวเป่าไม่มีรอยแผลเป็นจึงทำให้ ถงเหมี่ยวเหมี่ยวนึกถึงขวดยาขี้ผึ้งที่มู่อวี้เฉิงมอบให้ก่อนหน้านี้
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวคอยทายาให้เสี่ยวเป่ามาระยะหนึ่งแล้ว บนศีรษะของเขาจึงไม่เหลือร่องรอยแผลเป็นใด ๆ
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นคนตัวเล็กสามารถกระโดดโลดเต้นไปมาได้อีกครั้ง