พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - ตอนที่ 30
อาเรียเอาแต่เล่นสนุกด้วยการใช้เจ้านาฬิกาทราย หรือไม่ก็ขลุกอยู่กับการอ่านหนังสือโดยไม่ได้มีกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษจนวันเกิดของเธอใกล้เข้ามาทุกที
หนึ่งในสิ่งที่สนุกสนานที่สุดคือการสั่งให้คนเอาทาร์ตและมาการองแสนอร่อยเข้ามา ก่อนจะลงมือจัดการกับพวกมันตลอดเวลา 5 นาที
หลังจากได้ขำกลิ้งเพราะเจสซี่ที่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก เธอก็พลิกนาฬิกาทรายย้อนเวลากลับไปก่อนที่เธอจะได้ทานมันอีกครั้ง
ในเมื่อเธอสามารถทานของอร่อยๆ ได้อย่างจุใจ ทั้งยังสามารถย้อนเวลากลับไปตอนที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ด้วย มันจะมีอะไรมีความสุขไปมากกว่านี้อีกเล่า
นอกจากนั้นแล้ว บางครั้งเธอยังเอาขวดที่มีน้ำใส่อยู่จนเต็มไปเทใส่หัวมิเอลในห้องของหล่อนอีกต่างหาก
หน้าตาของมิเอลที่เบิกตาโตเพราะความสับสนและตกใจนั่นมันน่าดูออกจะตายไป และการได้รับความเกลียดชังที่แสนดุเดือดจากเอ็มม่าที่คอยยืนอยู่หลังมิเอลก็รู้สึกดีไปอีกแบบ
‘ในเมื่อแกทำให้ฉันต้องร้าย ฉันก็จะร้ายจริงๆ ให้แกดู ไหนแกลองทำตัวให้สมกับเป็นนางร้ายให้ฉันดูบ้างสิ’
ในตอนแรก เธอตั้งใจจะกระชากผมหล่อนขึ้นมาเพื่อบอกความจริง แต่ก็ไม่ได้ทำเพราะเกือบจะถูกจับได้เสียแล้วหลังจากถูกถามว่าเธอเสียสติไปแล้วหรือไร ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทวงถามคำรับสารภาพอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยและในขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็ยังไม่มีคำสารภาพใดจะมอบให้เธอเช่นกัน
แค่เทน้ำราดหัวแค่นี้ไม่น่าใช่เรื่องสำคัญไม่ใช่หรือ เมื่อในอดีตเธอก็เคยยุยงให้สาวใช้ของตนทำแบบนั้นเช่นกันนี่ และตอนนี้เธอก็มีนาฬิกาทรายแล้วด้วย
แน่นอนว่าหากมีใครรู้เรื่องนี้เข้า มันจะกลายเป็นเรื่องไร้ประโยชน์และไร้ค่าทันที แต่มันก็เป็นความสุขเล็กๆ ในกิจวัตรประจำวันที่แสนน่าเบื่อของอาเรีย
ขณะที่เธอกำลังจะลิ้มรสน้ำชา หลังจากเล่นสนุกเล็กๆ น้อยๆ กับมิเอลเหมือนในทุกวันนั้นเอง เจสซี่ที่เธอสั่งให้ไปตรวจสอบดูที่ร้านหนังสือว่าหนังสือที่เธอสั่งไปมาถึงหรือยังก็กลับมาพร้อมใบหน้าสดใส
“เลดี้! หนังสือใหม่มาแล้วค่ะ!”
“งั้นหรือ มาถึงเร็วกว่าที่ฉันคิดเอาไว้เสียอีกสินะ”
สีหน้าของอาเรียที่รับหนังสือเศรษฐศาสตร์ไปถือไว้ก็สดใสขึ้นเช่นกัน ที่คฤหาสน์เองก็มีหนังสือเศรษฐศาสตร์อยู่ แต่ไม่มีเล่มใดเลยที่ตรงกับระดับความรู้ของอาเรีย
ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามจะทำความเข้าใจพวกมันมาตลอด แต่ก็ไม่เคยทำได้เกินหน้าหนึ่งเลยสักครั้ง
เธอจึงสั่งให้เจสซี่ไปตามหาหนังสือใหม่ตามร้านหนังสือ และโชคดีที่เธอสามารถสั่งซื้อหนังสือเศรษฐศาสตร์พื้นฐานที่เหล่าบุตรชายขุนนางเด็กๆ อ่านกันได้
“เลดี้ จะรับน้ำชาเลยไหมคะ”
“เอามาเลยก็ได้”
ไม่นานอาเรียก็หันไปจดจ่อกับการอ่านหนังสือหลังจากหนังสือเล่มใหม่ที่เธอรอคอยมาถึง ส่วนเหตุผลที่ทำให้อาเรียหันมาถือหนังสือเศรษฐศาสตร์ไว้ในมือนั้นก็ง่ายนิดเดียว
นั่นเพราะเธอต้องการความรู้พื้นฐานเพื่อจะได้พูดคุยแบ่งปันกับท่านเคานต์เกี่ยวกับธุรกิจของท่านในอนาคตอย่างไรล่ะ
การบอกแต่ข้อมูลไปลอยๆ โดยไม่มีความรู้อะไรเลยนั้นมีข้อจำกัดของมันอยู่ อาจทำให้ถูกสงสัยเรื่องที่มาของข้อมูลได้จนทำให้ความน่าเชื่อถือลดลง
และนอกจากเรื่องการเปิดเผยข้อมูลแล้ว ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์และการเมืองยังถือเป็นสิ่งจำเป็นเพราะเธอเองก็ต้องการจะสร้างพื้นฐานให้ตัวเองเช่นกัน
เธอไม่สามารถเกาะติดใครสักคนอยู่เฉยๆ แล้วเอาแต่ยึดติดกับน้ำผึ้งหอมหวานที่พวกเขามอบให้ไปได้ตลอด เพราะหากวันใดเธอถูกทอดทิ้งขึ้นมา ก็คงไม่แคล้วต้องโดนบั่นคออีกหน
‘แม้สตรีเพศจะถูกเปรียบเป็นบุปผาและได้รับการปฏิบัติไม่ต่างจากของประดับตกแต่ง แต่หากเธอผู้นั้นมีอำนาจกอปรกับภาระหน้าที่อยู่ในมือเฉกเช่นบุรุษทั่วไป ก็จะได้รับการปฏิบัติที่ต่างออกไปเช่นกัน’
ในอดีตนั้นเธอเองก็เคยได้ยินผ่านๆ ว่ามีขุนนางหญิงแบบนั้นอยู่เช่นกัน เธอจำได้ว่าตนเคยหัวเราะเยาะว่าพวกเธอคือผู้หญิงที่เข้าไปยุ่งวุ่นวายทั้งที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แต่พอได้มาลองคิดดูตอนนี้แล้ว คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวคนนั้นมันคือตัวของอาเรียเองต่างหาก
‘เพราะฉะนั้นตอนนี้ฉันถึงต้องเรียนรู้ปัญหาและเริ่มสะสมความรู้เอาไว้’
อาเรียหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือเล่มใหม่อยู่เป็นเวลานาน แม้ว่ามันจะเป็นหนังสือเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน แต่ด้วยความที่เธอไม่มีอาจารย์ ทำให้เธอต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 นาที และมากที่สุดคือ 1 ชั่วโมงต่อหนึ่งหน้า
อย่างไรก็ตาม อาเรียก็ยังไม่ยอมแพ้ เธออ่านหน้าเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่คนเดียวเป็นเวลาหลายวันและพยายามทำความเข้าใจเนื้อหาเหล่านั้น
‘ไหนๆ ได้ย้อนกลับมาในอดีตทั้งทีก็น่าจะได้เปลี่ยนเพศด้วยนะ’
เพราะหากเป็นอย่างนั้น แม้ว่าจะไม่ใช่ลูกในไส้ แต่เธอก็คงได้เข้าเรียนในวิทยาลัยและได้รับการศึกษาในเรื่องต่างๆ เช่นเดียวกับเคนผู้เป็นพี่ชาย เนื่องจากขุนนางชายจำเป็นต้องจบการศึกษาจากวิทยาลัยนั่นเอง
เธอเคยคิดว่าเธอไม่มีเรื่องให้ต้องอิจฉาใครเพราะเธอเกิดมาเป็นหญิงสาวหน้าตาสวยงาม แต่เมื่อมาคิดดูตอนนี้ ใบหน้าที่งดงามก็คือยาพิษดีๆ นี่เอง
เพราะผู้คนรอบตัวคอยแต่จะพะเน้าพะนอทำให้เธอไม่เคยได้รับรู้ความเป็นจริง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อดอกไม้ร่วงโรย เมื่อนั้นก็ถือเป็นจุดจบ
เมื่อได้รู้ซึ้งในสิ่งที่เธอไม่เคยเข้าใจมาก่อน อาเรียก็ต้องกุมหัวเพราะอาการปวดหัวที่เกิดขึ้น เจสซี่นำชาที่เริ่มเย็นและผลไม้ที่เริ่มช้ำมาให้เธออีกครั้งแล้วยืนรออยู่ที่มุมหนึ่งมองเห็นท่าทางนั้นเข้า
เจสซี่ทิ้งช่วงไปเล็กน้อยเพราะคิดว่าเธออาจมีอะไรจะพูด แต่สุดท้ายก็เอ่ยถามถึงสิ่งที่เธอกังวลมาตลอดในช่วงนี้
“คือว่า… เลดี้คะ ขอโทษที่รบกวนขณะอาจหนังสือนะคะ แต่ดิฉันขอถามอะไรเลดี้สักอย่างได้ไหมคะ”
“ว่ามาสิ”
หากได้พูดคุยสักหน่อยให้สมองได้พักบ้างก็คงไม่เลว อาเรียยกแก้วขึ้นจิบชาเขียวอุ่นๆ ก่อนตอบรับคำขอ
“เรื่องงานเลี้ยงวันเกิดของเลดี้ ให้ดิฉันจัดแบบเรียบง่ายได้จริงๆ หรือคะ ดิฉันว่าเราจัดให้ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกสักนิดก็น่าจะได้…”
ในวันเกิดครั้งแรกของเธอที่จัดขึ้นในตระกูลท่านเคานต์นั้น เธอได้เชิญวงดนตรีและผู้มีความสามารถในแขนงต่างๆ มาร่วมและจัดงานอย่างยิ่งใหญ่
โดยเฉพาะเจสซี่ที่จำได้ว่าเธอเคยกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นกับมายากลที่เอานกพิราบออกมาจากหมวก จึงถามกลับไปว่าเชิญนักมายากลมาด้วยได้อย่างไร
บางทีหล่อนอาจกำลังกังวลว่าเธอคงโกรธน้อยลงแล้วหลังจากที่บอกไปว่าให้จัดแบบเรียบง่าย
“ไม่ต้องหรอก แค่เชิญนักปราชญ์ไม่กี่คนมาทานมื้อเที่ยงกันเงียบๆ ตามกำหนดการก็พอแล้วล่ะ”
งานเลี้ยงวันเกิดคือสถานที่ที่จะได้แสดงความมั่งคั่งร่ำรวย อำนาจ และความสัมพันธ์ให้ผู้อื่นเห็น ดังนั้นตระกูลต่างๆ จึงมักจะเตรียมงานกันอย่างยิ่งใหญ่ แต่อาเรียในตอนนี้ไม่เห็นความสำคัญที่จะทำเช่นนั้น
เพราะหากเธอที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากชื่อตระกูลท่านเคานต์ซึ่งเป็นเพียงสิ่งนอกกายจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ไม่เหมาะกับสถานะของตน เธอจะกลายเป็นตัวตลกทันที
แม้มันจะเป็นสถานที่ให้ได้โอ้อวดความร่ำรวย แต่การตกแต่งที่เกินหน้าเกินตาฐานะเกินไปก็จะทำให้ถูกหัวเราะเยาะเอาได้
“ไปสนใจเรื่องอาหารแทนเถอะ จำพวกอาหารหวานๆ ที่บรรดาเลดี้รุ่นเดียวกับฉันชอบน่ะ”
“ได้ค่ะ…”
เธอจำได้ว่าในอดีตเธอเคยจัดงานเลี้ยงที่ทั้งหรูหราและอลังการเกินหน้าเกินตามิเอลมาตลอด ทั้งที่รู้ดีว่าลับหลังเธอจะถูกครหาว่าเป็นปลิงที่คอยแต่จะสูบเลือดสูบเนื้อตระกูลโรสเซนต์ แต่เธอก็ยังจะทำอย่างนั้นอยู่ดี นั่นเพราะเธอไม่มีอะไรเลยสักอย่าง
แม้จะเป็นแบบนั้น เธอก็ยังบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร วันเหล่านั้นคือวันที่เธอทนไม่ได้เพราะความอิจฉาริษยาหากไม่ได้แต่งตัวสวยงามแล้วโอ้อวดให้ใครได้เห็น เธอไม่มีอะไรให้โอ้อวดได้เลย ต่างจากมิเอลที่มักจะมีคนเก่งๆ อยู่ข้างกายและเอาชนะเธอได้ตลอด
แต่ตอนนี้มันจะไม่เป็นแบบนั้นอีกต่อไป มันจะแตกต่างไปจากอดีตที่เธอเคยใช้ชีวิตโดยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร
ตอนนี้เธอยอมรับตำแหน่งและสถานะของตัวเองแล้วและรู้ซึ้งแล้วว่าการกระทำแต่ละอย่างให้ผลลัพธ์อย่างไร ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีก
ไม่สิ เธอจะไม่ทำอย่างนั้นต่างหากล่ะ และเธอเองก็ไม่มีเวลาเหลือพอให้มาใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ อย่างงานวันเกิดด้วย
‘ยังไงเสีย เมื่อสะสมทรัพย์สินและอำนาจได้มากพอโดยใช้สิ่งที่ฉันรู้อยู่แล้ว ฉันก็ต้องจัดงานวันเกิดที่หรูหราอยู่ดี ถึงจะไม่อยากทำก็เถอะนะ’
มันคืออนาคตที่จะบรรลุผลสำเร็จได้อย่างราบรื่นหากเธอยังทำแบบนี้ต่อไป คำตอบอันเฉียบขาดของอาเรียทำให้สีหน้าของเจสซี่หมองลงไป แต่ถึงอย่างนั้น หล่อนก็ยังคิดว่าตนต้องรักษาหน้าเธอ เพราะไม่ว่าอย่างไรเธอก็คือเจ้านายที่หล่อนดูแลอยู่
แม้จะเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว แต่หากเรียกรถที่ติดต่อกับวงดนตรีและบรรดาผู้มีความสามารถไว้แล้ว พวกเขาก็อาจจะรีบแจ้นมาหาเลยก็ได้
เจสซี่พูดเสริมเข้าไปเป็นครั้งสุดท้าย
“ถ้าเลดี้เปลี่ยนใจก็บอกดิฉันได้นะคะ ดิฉันจะรีบไปเตรียมให้เลยค่ะ”
หล่อนแค่พูดเผื่อเอาไว้ก่อน เพราะช่วงนี้เธอมักจะเงียบแล้วจู่ๆ ก็มาบอกให้เปลี่ยน แต่อาเรียก็เป็นคนที่แปรปรวนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากเธอจะตวาดสั่งให้หล่อนรีบไปเรียกนักมายากลมาอย่างปัจจุบันทันด่วนในวันเกิดของเธอวันนั้น
หลังจากวันเกิดของอาเรียผ่านไปไม่นาน ก็จะเป็นวันเกิดของมิเอล มิเอลมักจะเชิญบรรดานักปราชญ์ผู้เป็นที่เลื่องลือมีชื่อเสียงมาและยังจัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีของหล่อนเสมอ ดังนั้นจึงอาจมีคำบ่นตามมาหลังจากที่เธอจัดงานแบบเรียบง่ายไปแล้วก็ได้
“มันคงไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก แต่ก็ขอบใจนะ เธอส่งบัตรเชิญไปแล้วใช่ไหม”
“ส่งแล้วค่ะ ดิฉันส่งไปหาทุกท่านที่เลดี้บอกเรียบร้อยแล้วค่ะ แล้วก็เพิ่งได้รับจดหมายตอบกลับมาเมื่อครู่นี้เองค่ะ”
ทั้งหมดที่ว่านั้นก็มีแค่ซาร่าและเหล่าบุตรสาวไม่กี่คนที่เธอเคยได้เจอในงานเลี้ยง แต่เธอก็ต้องเชิญมาเพราะเธอไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้
พวกหล่อนต่างส่งจดหมายตอบกลับมาด้วยความยินดีว่าจะเข้าร่วมงานวันเกิดของเพื่อนใหม่
“ที่เธออยากพูดมีแค่นี้ใช่ไหม”
“ค่ะ เลดี้”
“เข้าใจแล้ว งั้นไปเถอะ”
ตอนนี้การตกแต่งที่สิ้นเปลืองไร้สาระที่อาเรียเคยใส่ใจทุ่มเทความโกรธแค้นไปกับมันตลอดมา ได้กลายเป็นเรื่องหางแถวในชีวิตของเธอไปเรียบร้อยแล้ว เพราะมันไม่ได้ช่วยรักษาชีวิตเธอไว้ด้วยซ้ำ
เจสซี่ออกไปแล้ว และอาเรียก็กลับไปจดจ่อกับการอ่านหนังสืออีกครั้ง
* * *
เมื่อวันเกิดของอาเรียเริ่มใกล้เข้ามาทุกที ของขวัญวันเกิดของเธอก็ทยอยมาถึงพอดิบพอดี ด้วยความที่เธอยังเด็ก จึงไม่สามารถพบกับผู้ที่พอจะส่งของขวัญมาให้เธอได้ อาเรียจึงถามถึงผู้ที่ส่งมันมาด้วยความสงสัย
คนรับใช้เอ่ยตอบพร้อมสีหน้าอ่อนโยน
“ท่านเคานต์เป็นผู้ส่งมาครับ”
“ท่านพ่อส่งมางั้นหรือ”
“ใช่ครับ ให้เอามาข้างในเลยไหมครับ”
“เอามาสิ”
ท่านเคานต์น่าจะกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมการณ์ขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับธุรกิจของท่านทางภาคเหนือ แล้วท่านจะส่งของขวัญมาได้อย่างไรกัน
ไม่นานนักหลังจากนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาและเมื่ออาเรียให้สัญญาณ คนรับใช้ก็เข้ามาในห้องของเธอพร้อมกับคนรับใช้ร่างใหญ่อีกคนหนึ่ง
คนรับใช้นำของขวัญที่คนรับใช้เอ่ยถึงมาด้วย มันคือกล่องขนาดมหึมาที่ใหญ่เกือบถึงเอวของอาเรียเลยทีเดียว อาเรียไม่อาจซ่อนความตกใจของเธอเอาไว้ได้ขณะมองดูกล่องที่ถูกวางลงตรงกลางห้อง
“…นี่หรือสิ่งที่ท่านพ่อส่งมาให้”
“ครับ ใช่แล้วครับ”
เมื่อแกะออกดู ก็พบว่ามีทั้งเสื้อนอกที่ทำจากขนสัตว์หลายตัว ชุดเดรสคุณภาพดี เครื่องประดับน่ารักๆ ที่เด็กผู้หญิงวัยเดียวกันต้องชอบ และตุ๊กตาปักเพชรพลอยอยู่ภายในนั้น
แค่มองดูก็รู้ว่าตุ๊กตาหมีที่มีเพชรเม็ดใหญ่ปักอยู่ที่ตา จมูก และหูนั้นไม่ใช่สิ่งของธรรมดาทั่วไปแน่นอน ในจดหมายที่เขียนด้วยลายมือนั้น มีข้อความระบุว่าสุขสันต์วันเกิด และขอโทษที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน รวมทั้งบอกว่าจะรีบกลับไป
‘ดูเหมือนเรื่องราวจะดีกว่าที่ฉันคิดไว้มากเลยนะเนี่ย’
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าท่านจะเขียนจดหมายด้วยตัวเองแล้วส่งของขวัญมาให้แบบนี้
ในอดีตท่านไม่เคยทำอย่างนี้ให้เธอเลยสักครั้ง มีแค่ให้เงินเพื่อให้เธอจัดงานวันเกิดได้ก็เท่านั้น ทั้งที่เธอไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย แต่ดูเหมือนผลลัพธ์ที่ได้จะคุ้มค่ามากทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่ที่เป็นแหล่งผลิตขนสัตว์ก็ใช่ว่าจะมีมากขนาดนั้น มันถูกกำหนดให้มีแค่พื้นที่ทางภาคเหนือเท่านั้น หากเจาะกลุ่มตลาดเข้าไปได้ครั้งหนึ่งแล้ว การผูกขาดทางการค้าก็จะทำได้อย่างง่ายดาย
นับว่าเป็นเรื่องยากหากจะยกเลิกการติดต่อค้าขายกับขุนนางกลางคัน ดังนั้นในตอนนี้ท่านเคานต์จะสามารถสั่งสมความมั่งคั่งได้จากขนสัตว์ที่ผูกขาดไว้เท่านั้น
‘ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันจะเปลี่ยนใจท่านได้ด้วยข้อมูลเพียงหยิบมือแบบนี้… มันง่ายมากเลยใช่ไหมล่ะคะ ท่านพ่อ’
และต่อไปเธอก็ต้องส่งต่อหน้าที่นี้ให้แก่มารดาของเธอ มันจะดีมากหากเธอแย่งที่ของมิเอลมาได้อย่างง่ายดาย
เมื่อคิดถึงความคิดนับหมื่นที่พร้อมจะเข้ามา อาเรียก็แย้มยิ้มขึ้นมาเหมือนเด็กสาวคนอื่นๆ เพราะเธอกำลังดีใจที่ได้รับของขวัญจากท่านพ่อนั่นเอง
……………………….