พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย - ตอนที่ 239 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม ตอนที่ 30)
“อาเรีย… นี่งานในพระราชวังมันหนักหนามากนักหรือ หรือตำแหน่งพระชายามันเหนื่อยเกินไป” คารินเอ่ยถามด้วยความห่วงใยจากใจจริง บนใบหน้าที่กำลังชักชวนให้กลับโครอาด้วยกันเสียเดี๋ยวนี้นั้น เต็มไปด้วยข้อแม้ที่ว่า ‘อาเรียเหน็ดเหนื่อยเกินไปจนสติไม่อยู่กับร่องกับรอยแล้ว’ ซึ่งมันก็เป็นผลลัพธ์ที่อาเรียก็คาดไว้อยู่แล้ว มันคือเรื่องที่ยากจะเชื่อแม้เธอจะอธิบายเรื่องทุกอย่างจนปากเปียกปากแฉะก็ตาม และยิ่งเธอไปแนะนำว่าเด็กๆ เป็นผู้มาก่อนกาลเสียเต็มปากเต็มคำแบบนั้น แม่เธอยิ่งไม่มีทางเชื่อ “ไม่มีทางหรอกค่ะ ลูกบอกแล้วนี่คะว่าลูกสบายดี” “แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมถึงพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นออกมาล่ะ นี่ลูกกำลังล้อแม่คนนี้เล่นอยู่หรือ” คารินถามหาความจริงเป็นครั้งที่สอง สภาพแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าการบอกความจริงทุกอย่างกับเธอคงใช้ไม่ได้ผล ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ละเอียดไปมากกว่านี้แล้ว อาเรียคิดว่าควรพูดข้ามๆ ไปเสียดีกว่า “ลูกแค่พูดไปตามความจริง แต่หากแม่ไม่เชื่อลูกก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ว่าแต่ลูกไปล้อแม่เล่นเมื่อไรหรือคะ ลูกคิดว่าลูกพูดแต่ความจริงกับแม่ตลอดเสียอีก” อาเรียทำสีหน้าเศร้าเสียใจใส่คารินที่ปฏิเสธคำพูดของเธอถึงสองครั้งสองครา “มะ ไม่ใช่นะ แม่ไม่ได้หมายความแบบนั้น—” ด้วยเหตุนี้ แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ไม่อาจปักใจเชื่อ แต่คารินย่อมต้องรู้สึกผิดกับอาเรีย ‘มันยังมีความหมายอื่นอีกไหมนะ… ความจริงถึงตอนเป็นเด็กจะเล่นไม่รู้ประสาไปบ้าง แต่ถ้ามองย้อนกลับไปเธอก็เป็นเด็กที่มีความคิดลึกซึ้งและฉลาดหลักแหลมทีเดียว’ ถึงอย่างนั้นเด็กๆ ก็ไม่มีทางมาจากอนาคตได้แน่ ดังนั้นคำตอบของเธอต้องมีความหมายอะไรที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่อย่างแน่นอน คารินซึ่งเข้าใจผิดไปไกลในระยะเวลาแสนสั้นพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดตัวเอง เหนือสิ่งอื่นใดคือเธอไม่อาจคิดอะไรให้ลึกซึ้งกว่านี้ในสภาพเมามายเช่นนี้ได้ “มะ แม่ต้องเชื่ออยู่แล้วสิ! ก็ได้ ในเมื่อลูกพูดอย่างนั้นนี่นะ ฮึ่ม ถึงจู่ๆ ก็มีหลานสาวโผล่มาตั้งสองคนมันจะเป็นเรื่องกะทันหันไปหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นยายคนนี้ก็ต้องเล่นกับหลานสิใช่ไหม” หืมม! ยาย! เชื่อด้วยหรือ! บลิสที่ยังอยู่ในอารมณ์ตกใจยิ่งตกตะลึงเข้าไปใหญ่ กระทั่งลิเป้เองก็ยังตกใจที่คารินเชื่อคำพูดของอาเรียโดยไม่เอ่ยถามอะไรเลย อาเรียสบตากับลิเป้ก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามไม่ให้เธอพูดอะไร “แล้วยายควรจะเล่นยังไงดีล่ะนี่ ยายไม่ค่อยได้เล่นกับเด็กเสียด้วยสิ อ้อ! เล่นหลอกผีกันดีไหม” คารินถามแต่กลับตัดสินใจว่าจะเล่นหลอกผีเองโดยไม่รอฟังคำตอบ เธอหันรีหันขวางมองไปรอบๆ ก่อนจะเอาผ้าขาวที่หาเจอมาพันรอบหัวไว้ “แฮ่ๆๆ ถ้าโดนจับได้จะกินให้หมดเลย รีบหนีไปเร็วเด็กๆ ที่น่ารักทั้งสอง” ก่อนจะเอ่ยเตือนอย่างใจดี ก่อนจะทำให้ทั้งบลิสและลิเป้ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวต้องวิ่งหนี เด็กน้อยทั้งสองทำหน้างงเพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้คืออะไรกันแน่ ถึงอย่างนั้นพวกเธอก็ทำได้เพียงวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น เพราะคารินที่ไล่ตามหลังพวกเธอมาทั้งยังส่งเสียงหัวเราะ ‘หึหึหึ’ ออกมาอย่างพิลึกพิลั่น ระหว่างนั้นเหลือเพียงอาเรียซึ่งบรรลุเป้าหมายของเธอแล้ว เธอแย้มยิ้มออกมาขณะมองผู้เป็นแม่ของตนที่ยังบริสุทธิ์จากภายในขัดกับภายนอกที่ดูเหมือนคนเอาแต่ได้ * * * การเล่นหลอกผีจบลงหลังจากคารินซึ่งเมาจนไข้ขึ้นนั้นเหนื่อยล้าจนหลับเป็นตายไปอีกรอบ แน่นอนว่าทั้งสามเล่นกันเป็นเวลานาน บลิสและลิเป้จึงพลอยเหนื่อยไปด้วยจนพากันมานอนแผ่อยู่บนโซฟา ทั้งสองหลับตาและหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับหลับไปแล้ว อาเรียจึงไปเรียกนางกำนัลแล้วสั่งให้ช่วยพาพวกเธอกลับห้อง “เตรียมน้ำเย็นใส่น้ำแข็งไปไว้ในห้องให้เด็กๆ ด้วยนะ ถ้าตื่นแล้วจะได้ดื่มได้เลย” “ค่ะ พระชายา” “แล้วเตรียมลูกกวาดหรือช็อกโกแลตเอาไว้ด้วยล่ะ เด็กๆ วิ่งเล่นกันหนักมาก ตื่นมาแล้วอาจจะหิว” “เข้าใจแล้วค่ะ” หลังจากสั่งการนางกำนัลเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาเรียก็มองดูบลิสที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงเล็กน้อยก่อนจะออกจากห้องไป แกร๊ก ทันทีที่ประตูปิด บลิสที่อาเรียนึกว่าหลับไปแล้วก็ลืมตาขึ้นมา และใช้พลังย้ายตัวเองไปยังห้องของลิเป้ทันที “ลิเป้ ลิเป้! หลับหรือ หลับแล้วหรือ! ลิเป้!” “…ฉันอยากนอนแต่ตื่นเพราะเธอนั่นแหละ” แม้จะพูดเช่นนั้นแต่เธอเองก็ไม่ได้นอนเหมือนกัน ลิเป้ลุกขึ้นจากเตียงตาแป๋ว บลิซจึงจับเสื้อของน้องไว้แน่นแล้วรีบละล่ำละลักถาม “คะ คือว่าเรื่องนั้นน่ะ อย่าบอกนะว่าแม่รู้อยู่แล้ว หืม! ไม่อย่างนั้นเมื่อกี้ทำไมแม่ถึงพูดแบบนั้นล่ะ! หืม!” บลิสทำหน้าเหมือนโลกจะถล่มฟ้าจะทลาย ทั้งยังจับเต็มแรงจนเสื้อผ้าลิเป้แทบจะขาดอยู่รอมร่อ ในที่สุดก็รู้แล้วสินะ ไม่สิ เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้ายังไม่รู้อีกก็โง่เต็มที ดังนั้นนี่คือผลลัพธ์ดังที่ควรจะเป็น แต่เธอจะทำอย่างไรดี ลิเป้ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรทำให้ใจบลิสร้อนรุ่มกว่าเดิมดีหรือไม่ ก่อนจะตีมือบลิสที่จับท้องตัวเองอยู่เบาๆ พลางตอบเสียงเนือย “จะไม่รู้ได้ยังไงกัน แม่ต้องรู้ทุกอย่างอยู่แล้วล่ะ มันก็เป็นแบบนี้มาตลอดนี่” เวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น บลิสจะเป็นคนสุดท้ายเสมอที่รู้เรื่อง และเธอจะไม่รู้เรื่องจนกว่าจะมีใครสักคนพูดออกมา และเป็นอย่างที่ลิเป้คิด บลิสยกมือเล็กของเธอขึ้นปิดปากอย่างไม่อาจเก็บอาการตกใจเอาไว้ได้เมื่อได้ยินคำสารภาพที่ว่าอาเรียรู้ความจริงทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว “ตะ ตะ ตะ ตั้งแต่เมื่อไร!” “เกือบจะตั้งแต่แรกเลยมั้ง” “เฮือกกก!” บลิสตกใจจนหงายหลังลงไปนอนแผ่หลา โชคดีที่เธออยู่บนเตียงกว้างแสนนุ่มจึงไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน บลิสเด้งตัวขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่คิดจะพักสงบจิตสงบใจสักนิด แล้วเอ่ยถามลิเป้มือไม้สั่นไปหมด “ถะ ถะ ถะ ถ้าอย่างนั้นแม่บอกว่ายังไงบ้าง…! ทำไมปล่อยฉันไว้คนเดียวเล่า…!” เฮ้อ ทำไมรู้ช้าขนาดนี้นะ แม้จะแปลกใหม่แต่ลิเป้ก็ต้องถอนหายใจให้กับนิสัยของบลิสอีกครั้งก่อนตอบ “แค่ดูจากสภาพเธอตอนนี้ก็รู้แล้ว” “หมายความว่ายังไง ลิเป้!” คำตอบนั้นตรงตัว แต่บลิสผู้ไม่รู้อะไรเลยก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี บลิสขยับเข้าไปใกล้ลิเป้เพียงปลายจมูกแล้วเร่งเร้าให้เธอยอมตอบมาดีๆ ลิเป้ขมวดคิ้วมุ่นอย่างที่ไม่ควรจะเป็น เธอผลักบลิสออกไปอีกครั้งก่อนจะเอ่ยตอบ “เธอน่ะ ช่วงนี้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรใช่ไหมล่ะ แต่ตอนนี้เธอยังใช้พลังได้โดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยทั้งที่เพิ่งวิ่งเล่นมาขนาดนั้น” “…อะ เอ๊ะ… หมายความว่ายังไงเหรอ ลิเป้” เธอถามด้วยสีหน้างุนงง เป็นอย่างที่ลิเป้คิด บลิสไม่มีทางเข้าใจหากเธอไม่พูดออกไปตรงๆ ลิเป้ไม่อยากให้บทสนทนาอันน่าอึดอัดนี้ดำเนินต่อไปอีก จึงจำต้องเอ่ยปากตอบไปอย่างช่วยไม่ได้ “แม่หาวิธีได้แล้ว วิธีที่จะทำให้เราสองคนเกิดมาได้อย่างแข็งแรงน่ะ นั่นก็คือเจ้าน้ำทะเลสาบที่สามารถรักษาได้ทุกโรคยังไงล่ะ เธอเองก็เพิ่งดื่มไปเมื่อไม่นานนี้เองด้วย” เพราะแบบนั้นเธอถึงได้แข็งแรงอย่างนั้นหรือ บลิสกะพริบตาปริบๆ อย่างเหม่อลอยเมื่อได้ฟังคำลิเป้ก่อนจะก้มลงมองมือตัวเอง จะว่าไป เธอก็รู้สึกว่าสภาพร่างกายของตัวเองดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาตั้งแต่เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ซึ่งผิดกับปกติที่เธอมักจะป่วยกระปอดกระแปดอยู่เป็นประจำทุกวัน เธอมัวแต่สุขใจเสียจนไม่ทันได้สังเกต เธอไม่เคยคิดเลยว่ามันอาจมีวิธี ลิเป้กอดอกแล้วกล่าวตำหนิบลิสที่เอาแต่กำมือแล้วแบออกซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง “เธอคิดว่าพอสารภาพเรื่องในอนาคตแล้วแม่จะไม่คลอดพวกเราออกมาจริงๆ หรือ มันไม่มีทางอยู่แล้ว ในเมื่อแม่เป็นคนใจดีแล้วก็อ่อนโยนออกขนาดนั้น” อย่างไรก็ตาม ความดีความชอบของบลิสนั้นก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะโดนตำหนิว่าโง่เง่า แม้จะทำอะไรไม่รอบคอบและซุ่มซ่ามไปบ้าง แต่ก็เพราะบลิสย้อนอดีตกลับมาไม่ใช่หรือที่ทำให้อาเรียค้นหาวิธีที่จะทำให้ทุกคนมีความสุขเจอ “อะแฮ่ม แต่ก็เอาเถอะ ครั้งนี้จะบอกว่าเธอผิดก็คงไม่ได้ เพราะการที่เธอไล่รูบี้ออกและมีเทียเรนเข้ามาแทนทำให้เราเจอน้ำทะเลสาบนั่น ถึงมันจะเหมือนโชคช่วยมากกว่าก็เถอะนะ” หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงหนีออกจากพระราชวังไปแล้ว แต่ที่ยังอยู่ต่อนั่นเพราะรูบี้ถูกไล่ออกไปแล้ว และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะบลิส เพราะหากจังหวะเวลาผิดไปจากนี้แม้เพียงนิด พวกเธออาจไม่ได้เจอเทียเรนและน้ำทะเลสาบก็ได้ ลิเป้คิดเช่นนั้นพลางเอ่ยชมพี่สาวอย่างที่บลิสรอคอยมานาน ก่อนที่บลิสซึ่งเอาแต่ตกตะลึงมาตลอดจะร้องไห้โฮและหายไปต่อหน้าต่อตา “นะ นี่! ไปไหน—!” ลิเป้พยายามถามแต่บลิสก็หายไปเสียแล้ว แต่ไม่นานเธอก็พอจะเดาได้ว่าบลิสหายไปไหน ลิเป้จึงยิ้มออกมาพลางยักไหล่แล้วเอนกายลงบนเตียงเพื่อนอนหลับพักผ่อนอีกครั้ง * * * “มะ แม่!” อาเรียตกใจจนเผลอกลั้นหายใจเมื่อจู่ๆ บลิสก็โผล่มาจากอากาศแล้วเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน “แม่ แม่จ๋าา แมมมม่…! ฮือออ!” ดูจากอาการของบลิสตอนนี้ เธอน่าจะรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว อาเรียถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อคิดว่าเธอเพิ่งบอกให้นางกำนัลที่เอาชามาให้ตามคำสั่งออกไปพอดีพลางตบหลังบลิสเบาๆ “ขอโทษ หนูขอโทษ…! แม่ต้องเหนื่อยเพราะหนู ต้องลำบากเพราะหนู…!” หนูน้อยเริ่มขอโทษทั้งน้ำตา อาเรียค่อยๆ ยกมือขึ้นปิดปากบลิสเบาๆ ดวงตาของเด็กน้อยที่กำลังตกใจเบิกโตขึ้นทันที อาเรียจ้องตาบลิสนิ่งๆ ก่อนจะส่ายหน้า “ลูกไม่ต้องขอโทษหรอกนะ เพราะลูก แม่ถึงได้รู้วิธี ในอนาคตพวกเราทุกคนไม่ต้องลำบากแล้วล่ะ” เธอตั้งใจพูดแบบนั้นออกไปเพื่อให้บลิสหยุดร้องไห้ แต่โชคไม่ดีที่บลิสกลับร้องหนักยิ่งกว่าเดิม เมื่อเธอใช้ข้างที่ปิดปากช่วยเช็ดน้ำตาออกให้ บลิสที่ยังสะอึกอยู่ก็เอาแต่พูดซ้ำๆ ว่าเธอจะหยุดร้องแล้ว “ทั้งที่หนูย้อนกลับมาในอดีตโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วยังตั้งใจจะหายไปทั้งที่ยังไม่ถามลิเป้สักคำน่ะหรือ…” ก็รู้ดีนี่ อาเรียยิ้มอย่างขมขื่นให้บลิสที่พูดความผิดซึ่งปิดไม่มิดของตัวเองออกมาจนหมด “เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่แม่ในตอนนี้จะโกรธ ลูกไปขอโทษแม่คนที่อยู่ในอนาคตเถอะ บางทีแม่ในตอนนั้นอาจจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยก็ได้นะ” “…ฮึก” บลิสไม่อาจซ่อนความเศร้าหมองเอาไว้ได้ โชคดีที่น้ำตาเธอหยุดไหลแล้ว แต่ตอนนี้อนาคตกำลังจะเปลี่ยน และนอกจากลูกกับลิเป้แล้ว แม่อาจจะจำช่วงเวลาในตอนนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นลูกก็ยังมีโอกาสอีกเยอะไม่ใช่หรือ” “โอกาสหรือ…” โอกาสอะไรกัน อาเรียลูบใบหน้าที่ยังตามสถานการณ์ไม่ทันอย่างแผ่วเบา “โอกาสที่จะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนี้อีกยังไงล่ะ และโอกาสที่จะไม่ตัดสินใจสละชีวิตตัวเองแบบนี้อีก อย่าทำให้คนที่รักลูกต้องเสียใจ” อาเรียคิดว่าลูกจะโผเข้ากอดเธออีกครั้งพลางสัญญาว่าจะทำตามที่เธอบอก ทว่าบลิสกลับเอาแต่ขยำนิ้วไปมาพลางเม้มปากแน่นก่อนจะถามกลับอย่างไม่มั่นใจ “นะ หนูจะทำแบบนั้นได้หรือ… ทั้งที่หนูก่อเรื่องทุกวัน แล้วยังทำตัวเป็นภาระ…” แม้จะไม่ทันตั้งตัวแต่กลับให้ผลลัพธ์อันยอดเยี่ยม และดูเหมือนเธอจะยังไม่รู้ตัว ไม่สิ บางทีมันอาจเป็นเรื่องที่สมควรจะเป็นอย่างนี้แล้ว เพราะบลิสมักจะถูกปฏิบัติอย่างคนไร้ค่ามาตลอด เด็กไร้ค่าแสนสะเพร่า เด็กที่ไม่อาจมีชีวิตอย่างมีความสุขได้หากไม่ได้กลับมาเปลี่ยนอดีต ทำไมถึงเหมือนเธอได้ขนาดนี้กันนะ บลิสมีโชคชะตาเหมือนทุกอย่างขนาดนี้ แล้วอาเรียจะไม่มอบหัวใจให้หนูน้อยทั้งดวงได้อย่างไร “แน่นอน ลูกเป็นลูกสาวใครกัน แล้วก็บลิส ลูกช่วยชีวิตแม่ และอนาคตของแม่ไว้นะ” ไม่มีคำตอบใดจะเหมาะไปมากกว่านี้อีกแล้ว บลิสปล่อยน้ำตาให้รินไหลลงมาอีกครั้งก่อนที่อาเรียจะพูดจบก่อนจะโผเข้ากอดเธอ “ตะ ต่อไป ต่อไปหนูจะไม่ก่อเรื่องอีกแล้ว…! หนูจะตั้งใจเรียนแล้วเป็นคนที่ยอดเยี่ยมให้ได้อย่างลิเป้! หนูจะต้องได้คำชมทุกวันเลย…!” แงงง—! การกระทำที่ขัดกับคำมั่นสัญญาทำให้ริมฝีปากของอาเรียวาดขึ้นเป็นรอยยิ้ม คำพูดที่บอกให้หนูน้อยเติบโตขึ้นอย่างสง่างามและเป็นคนจิตใจดีอย่างในตอนนี้ เพราะเธอนั้นยอดเยี่ยมในแบบของตัวเองและสมควรได้รับคำชมอยู่แล้วดังก้องไปทั้งห้องทำงานของอาเรีย ……………….
“อาเรีย… นี่งานในพระราชวังมันหนักหนามากนักหรือ หรือตำแหน่งพระชายามันเหนื่อยเกินไป”
คารินเอ่ยถามด้วยความห่วงใยจากใจจริง
บนใบหน้าที่กำลังชักชวนให้กลับโครอาด้วยกันเสียเดี๋ยวนี้นั้น เต็มไปด้วยข้อแม้ที่ว่า ‘อาเรียเหน็ดเหนื่อยเกินไปจนสติไม่อยู่กับร่องกับรอยแล้ว’
ซึ่งมันก็เป็นผลลัพธ์ที่อาเรียก็คาดไว้อยู่แล้ว มันคือเรื่องที่ยากจะเชื่อแม้เธอจะอธิบายเรื่องทุกอย่างจนปากเปียกปากแฉะก็ตาม และยิ่งเธอไปแนะนำว่าเด็กๆ เป็นผู้มาก่อนกาลเสียเต็มปากเต็มคำแบบนั้น แม่เธอยิ่งไม่มีทางเชื่อ
“ไม่มีทางหรอกค่ะ ลูกบอกแล้วนี่คะว่าลูกสบายดี”
“แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมถึงพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นออกมาล่ะ นี่ลูกกำลังล้อแม่คนนี้เล่นอยู่หรือ”
คารินถามหาความจริงเป็นครั้งที่สอง สภาพแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าการบอกความจริงทุกอย่างกับเธอคงใช้ไม่ได้ผล
ดังนั้นเธอไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ละเอียดไปมากกว่านี้แล้ว อาเรียคิดว่าควรพูดข้ามๆ ไปเสียดีกว่า
“ลูกแค่พูดไปตามความจริง แต่หากแม่ไม่เชื่อลูกก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ว่าแต่ลูกไปล้อแม่เล่นเมื่อไรหรือคะ ลูกคิดว่าลูกพูดแต่ความจริงกับแม่ตลอดเสียอีก”
อาเรียทำสีหน้าเศร้าเสียใจใส่คารินที่ปฏิเสธคำพูดของเธอถึงสองครั้งสองครา
“มะ ไม่ใช่นะ แม่ไม่ได้หมายความแบบนั้น—”
ด้วยเหตุนี้ แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ไม่อาจปักใจเชื่อ แต่คารินย่อมต้องรู้สึกผิดกับอาเรีย
‘มันยังมีความหมายอื่นอีกไหมนะ… ความจริงถึงตอนเป็นเด็กจะเล่นไม่รู้ประสาไปบ้าง แต่ถ้ามองย้อนกลับไปเธอก็เป็นเด็กที่มีความคิดลึกซึ้งและฉลาดหลักแหลมทีเดียว’
ถึงอย่างนั้นเด็กๆ ก็ไม่มีทางมาจากอนาคตได้แน่ ดังนั้นคำตอบของเธอต้องมีความหมายอะไรที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่อย่างแน่นอน
คารินซึ่งเข้าใจผิดไปไกลในระยะเวลาแสนสั้นพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดตัวเอง
เหนือสิ่งอื่นใดคือเธอไม่อาจคิดอะไรให้ลึกซึ้งกว่านี้ในสภาพเมามายเช่นนี้ได้
“มะ แม่ต้องเชื่ออยู่แล้วสิ! ก็ได้ ในเมื่อลูกพูดอย่างนั้นนี่นะ ฮึ่ม ถึงจู่ๆ ก็มีหลานสาวโผล่มาตั้งสองคนมันจะเป็นเรื่องกะทันหันไปหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นยายคนนี้ก็ต้องเล่นกับหลานสิใช่ไหม”
หืมม! ยาย! เชื่อด้วยหรือ!
บลิสที่ยังอยู่ในอารมณ์ตกใจยิ่งตกตะลึงเข้าไปใหญ่
กระทั่งลิเป้เองก็ยังตกใจที่คารินเชื่อคำพูดของอาเรียโดยไม่เอ่ยถามอะไรเลย
อาเรียสบตากับลิเป้ก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามไม่ให้เธอพูดอะไร
“แล้วยายควรจะเล่นยังไงดีล่ะนี่ ยายไม่ค่อยได้เล่นกับเด็กเสียด้วยสิ อ้อ! เล่นหลอกผีกันดีไหม”
คารินถามแต่กลับตัดสินใจว่าจะเล่นหลอกผีเองโดยไม่รอฟังคำตอบ เธอหันรีหันขวางมองไปรอบๆ ก่อนจะเอาผ้าขาวที่หาเจอมาพันรอบหัวไว้
“แฮ่ๆๆ ถ้าโดนจับได้จะกินให้หมดเลย รีบหนีไปเร็วเด็กๆ ที่น่ารักทั้งสอง”
ก่อนจะเอ่ยเตือนอย่างใจดี ก่อนจะทำให้ทั้งบลิสและลิเป้ที่ไม่ทันได้ตั้งตัวต้องวิ่งหนี
เด็กน้อยทั้งสองทำหน้างงเพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้คืออะไรกันแน่
ถึงอย่างนั้นพวกเธอก็ทำได้เพียงวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น เพราะคารินที่ไล่ตามหลังพวกเธอมาทั้งยังส่งเสียงหัวเราะ ‘หึหึหึ’ ออกมาอย่างพิลึกพิลั่น
ระหว่างนั้นเหลือเพียงอาเรียซึ่งบรรลุเป้าหมายของเธอแล้ว เธอแย้มยิ้มออกมาขณะมองผู้เป็นแม่ของตนที่ยังบริสุทธิ์จากภายในขัดกับภายนอกที่ดูเหมือนคนเอาแต่ได้
* * *
การเล่นหลอกผีจบลงหลังจากคารินซึ่งเมาจนไข้ขึ้นนั้นเหนื่อยล้าจนหลับเป็นตายไปอีกรอบ
แน่นอนว่าทั้งสามเล่นกันเป็นเวลานาน บลิสและลิเป้จึงพลอยเหนื่อยไปด้วยจนพากันมานอนแผ่อยู่บนโซฟา
ทั้งสองหลับตาและหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับหลับไปแล้ว อาเรียจึงไปเรียกนางกำนัลแล้วสั่งให้ช่วยพาพวกเธอกลับห้อง
“เตรียมน้ำเย็นใส่น้ำแข็งไปไว้ในห้องให้เด็กๆ ด้วยนะ ถ้าตื่นแล้วจะได้ดื่มได้เลย”
“ค่ะ พระชายา”
“แล้วเตรียมลูกกวาดหรือช็อกโกแลตเอาไว้ด้วยล่ะ เด็กๆ วิ่งเล่นกันหนักมาก ตื่นมาแล้วอาจจะหิว”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
หลังจากสั่งการนางกำนัลเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาเรียก็มองดูบลิสที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงเล็กน้อยก่อนจะออกจากห้องไป
แกร๊ก ทันทีที่ประตูปิด บลิสที่อาเรียนึกว่าหลับไปแล้วก็ลืมตาขึ้นมา
และใช้พลังย้ายตัวเองไปยังห้องของลิเป้ทันที
“ลิเป้ ลิเป้! หลับหรือ หลับแล้วหรือ! ลิเป้!”
“…ฉันอยากนอนแต่ตื่นเพราะเธอนั่นแหละ”
แม้จะพูดเช่นนั้นแต่เธอเองก็ไม่ได้นอนเหมือนกัน ลิเป้ลุกขึ้นจากเตียงตาแป๋ว
บลิซจึงจับเสื้อของน้องไว้แน่นแล้วรีบละล่ำละลักถาม
“คะ คือว่าเรื่องนั้นน่ะ อย่าบอกนะว่าแม่รู้อยู่แล้ว หืม! ไม่อย่างนั้นเมื่อกี้ทำไมแม่ถึงพูดแบบนั้นล่ะ! หืม!”
บลิสทำหน้าเหมือนโลกจะถล่มฟ้าจะทลาย ทั้งยังจับเต็มแรงจนเสื้อผ้าลิเป้แทบจะขาดอยู่รอมร่อ
ในที่สุดก็รู้แล้วสินะ ไม่สิ เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้ายังไม่รู้อีกก็โง่เต็มที ดังนั้นนี่คือผลลัพธ์ดังที่ควรจะเป็น แต่เธอจะทำอย่างไรดี
ลิเป้ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรทำให้ใจบลิสร้อนรุ่มกว่าเดิมดีหรือไม่ ก่อนจะตีมือบลิสที่จับท้องตัวเองอยู่เบาๆ พลางตอบเสียงเนือย
“จะไม่รู้ได้ยังไงกัน แม่ต้องรู้ทุกอย่างอยู่แล้วล่ะ มันก็เป็นแบบนี้มาตลอดนี่”
เวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น บลิสจะเป็นคนสุดท้ายเสมอที่รู้เรื่อง และเธอจะไม่รู้เรื่องจนกว่าจะมีใครสักคนพูดออกมา
และเป็นอย่างที่ลิเป้คิด บลิสยกมือเล็กของเธอขึ้นปิดปากอย่างไม่อาจเก็บอาการตกใจเอาไว้ได้เมื่อได้ยินคำสารภาพที่ว่าอาเรียรู้ความจริงทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว
“ตะ ตะ ตะ ตั้งแต่เมื่อไร!”
“เกือบจะตั้งแต่แรกเลยมั้ง”
“เฮือกกก!”
บลิสตกใจจนหงายหลังลงไปนอนแผ่หลา โชคดีที่เธออยู่บนเตียงกว้างแสนนุ่มจึงไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน
บลิสเด้งตัวขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่คิดจะพักสงบจิตสงบใจสักนิด แล้วเอ่ยถามลิเป้มือไม้สั่นไปหมด
“ถะ ถะ ถะ ถ้าอย่างนั้นแม่บอกว่ายังไงบ้าง…! ทำไมปล่อยฉันไว้คนเดียวเล่า…!”
เฮ้อ ทำไมรู้ช้าขนาดนี้นะ
แม้จะแปลกใหม่แต่ลิเป้ก็ต้องถอนหายใจให้กับนิสัยของบลิสอีกครั้งก่อนตอบ
“แค่ดูจากสภาพเธอตอนนี้ก็รู้แล้ว”
“หมายความว่ายังไง ลิเป้!”
คำตอบนั้นตรงตัว แต่บลิสผู้ไม่รู้อะไรเลยก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
บลิสขยับเข้าไปใกล้ลิเป้เพียงปลายจมูกแล้วเร่งเร้าให้เธอยอมตอบมาดีๆ
ลิเป้ขมวดคิ้วมุ่นอย่างที่ไม่ควรจะเป็น เธอผลักบลิสออกไปอีกครั้งก่อนจะเอ่ยตอบ
“เธอน่ะ ช่วงนี้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรใช่ไหมล่ะ แต่ตอนนี้เธอยังใช้พลังได้โดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยทั้งที่เพิ่งวิ่งเล่นมาขนาดนั้น”
“…อะ เอ๊ะ… หมายความว่ายังไงเหรอ ลิเป้”
เธอถามด้วยสีหน้างุนงง เป็นอย่างที่ลิเป้คิด บลิสไม่มีทางเข้าใจหากเธอไม่พูดออกไปตรงๆ
ลิเป้ไม่อยากให้บทสนทนาอันน่าอึดอัดนี้ดำเนินต่อไปอีก จึงจำต้องเอ่ยปากตอบไปอย่างช่วยไม่ได้
“แม่หาวิธีได้แล้ว วิธีที่จะทำให้เราสองคนเกิดมาได้อย่างแข็งแรงน่ะ นั่นก็คือเจ้าน้ำทะเลสาบที่สามารถรักษาได้ทุกโรคยังไงล่ะ เธอเองก็เพิ่งดื่มไปเมื่อไม่นานนี้เองด้วย”
เพราะแบบนั้นเธอถึงได้แข็งแรงอย่างนั้นหรือ บลิสกะพริบตาปริบๆ อย่างเหม่อลอยเมื่อได้ฟังคำลิเป้ก่อนจะก้มลงมองมือตัวเอง
จะว่าไป เธอก็รู้สึกว่าสภาพร่างกายของตัวเองดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาตั้งแต่เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ซึ่งผิดกับปกติที่เธอมักจะป่วยกระปอดกระแปดอยู่เป็นประจำทุกวัน
เธอมัวแต่สุขใจเสียจนไม่ทันได้สังเกต เธอไม่เคยคิดเลยว่ามันอาจมีวิธี
ลิเป้กอดอกแล้วกล่าวตำหนิบลิสที่เอาแต่กำมือแล้วแบออกซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง
“เธอคิดว่าพอสารภาพเรื่องในอนาคตแล้วแม่จะไม่คลอดพวกเราออกมาจริงๆ หรือ มันไม่มีทางอยู่แล้ว ในเมื่อแม่เป็นคนใจดีแล้วก็อ่อนโยนออกขนาดนั้น”
อย่างไรก็ตาม ความดีความชอบของบลิสนั้นก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะโดนตำหนิว่าโง่เง่า
แม้จะทำอะไรไม่รอบคอบและซุ่มซ่ามไปบ้าง แต่ก็เพราะบลิสย้อนอดีตกลับมาไม่ใช่หรือที่ทำให้อาเรียค้นหาวิธีที่จะทำให้ทุกคนมีความสุขเจอ
“อะแฮ่ม แต่ก็เอาเถอะ ครั้งนี้จะบอกว่าเธอผิดก็คงไม่ได้ เพราะการที่เธอไล่รูบี้ออกและมีเทียเรนเข้ามาแทนทำให้เราเจอน้ำทะเลสาบนั่น ถึงมันจะเหมือนโชคช่วยมากกว่าก็เถอะนะ”
หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงหนีออกจากพระราชวังไปแล้ว แต่ที่ยังอยู่ต่อนั่นเพราะรูบี้ถูกไล่ออกไปแล้ว
และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะบลิส เพราะหากจังหวะเวลาผิดไปจากนี้แม้เพียงนิด พวกเธออาจไม่ได้เจอเทียเรนและน้ำทะเลสาบก็ได้
ลิเป้คิดเช่นนั้นพลางเอ่ยชมพี่สาวอย่างที่บลิสรอคอยมานาน
ก่อนที่บลิสซึ่งเอาแต่ตกตะลึงมาตลอดจะร้องไห้โฮและหายไปต่อหน้าต่อตา
“นะ นี่! ไปไหน—!”
ลิเป้พยายามถามแต่บลิสก็หายไปเสียแล้ว
แต่ไม่นานเธอก็พอจะเดาได้ว่าบลิสหายไปไหน ลิเป้จึงยิ้มออกมาพลางยักไหล่แล้วเอนกายลงบนเตียงเพื่อนอนหลับพักผ่อนอีกครั้ง
* * *
“มะ แม่!”
อาเรียตกใจจนเผลอกลั้นหายใจเมื่อจู่ๆ บลิสก็โผล่มาจากอากาศแล้วเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน
“แม่ แม่จ๋าา แมมมม่…! ฮือออ!”
ดูจากอาการของบลิสตอนนี้ เธอน่าจะรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว
อาเรียถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อคิดว่าเธอเพิ่งบอกให้นางกำนัลที่เอาชามาให้ตามคำสั่งออกไปพอดีพลางตบหลังบลิสเบาๆ
“ขอโทษ หนูขอโทษ…! แม่ต้องเหนื่อยเพราะหนู ต้องลำบากเพราะหนู…!”
หนูน้อยเริ่มขอโทษทั้งน้ำตา อาเรียค่อยๆ ยกมือขึ้นปิดปากบลิสเบาๆ
ดวงตาของเด็กน้อยที่กำลังตกใจเบิกโตขึ้นทันที อาเรียจ้องตาบลิสนิ่งๆ ก่อนจะส่ายหน้า
“ลูกไม่ต้องขอโทษหรอกนะ เพราะลูก แม่ถึงได้รู้วิธี ในอนาคตพวกเราทุกคนไม่ต้องลำบากแล้วล่ะ”
เธอตั้งใจพูดแบบนั้นออกไปเพื่อให้บลิสหยุดร้องไห้ แต่โชคไม่ดีที่บลิสกลับร้องหนักยิ่งกว่าเดิม
เมื่อเธอใช้ข้างที่ปิดปากช่วยเช็ดน้ำตาออกให้ บลิสที่ยังสะอึกอยู่ก็เอาแต่พูดซ้ำๆ ว่าเธอจะหยุดร้องแล้ว
“ทั้งที่หนูย้อนกลับมาในอดีตโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วยังตั้งใจจะหายไปทั้งที่ยังไม่ถามลิเป้สักคำน่ะหรือ…”
ก็รู้ดีนี่ อาเรียยิ้มอย่างขมขื่นให้บลิสที่พูดความผิดซึ่งปิดไม่มิดของตัวเองออกมาจนหมด
“เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่แม่ในตอนนี้จะโกรธ ลูกไปขอโทษแม่คนที่อยู่ในอนาคตเถอะ บางทีแม่ในตอนนั้นอาจจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยก็ได้นะ”
“…ฮึก”
บลิสไม่อาจซ่อนความเศร้าหมองเอาไว้ได้ โชคดีที่น้ำตาเธอหยุดไหลแล้ว
แต่ตอนนี้อนาคตกำลังจะเปลี่ยน และนอกจากลูกกับลิเป้แล้ว แม่อาจจะจำช่วงเวลาในตอนนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นลูกก็ยังมีโอกาสอีกเยอะไม่ใช่หรือ”
“โอกาสหรือ…”
โอกาสอะไรกัน อาเรียลูบใบหน้าที่ยังตามสถานการณ์ไม่ทันอย่างแผ่วเบา
“โอกาสที่จะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนี้อีกยังไงล่ะ และโอกาสที่จะไม่ตัดสินใจสละชีวิตตัวเองแบบนี้อีก อย่าทำให้คนที่รักลูกต้องเสียใจ”
อาเรียคิดว่าลูกจะโผเข้ากอดเธออีกครั้งพลางสัญญาว่าจะทำตามที่เธอบอก
ทว่าบลิสกลับเอาแต่ขยำนิ้วไปมาพลางเม้มปากแน่นก่อนจะถามกลับอย่างไม่มั่นใจ
“นะ หนูจะทำแบบนั้นได้หรือ… ทั้งที่หนูก่อเรื่องทุกวัน แล้วยังทำตัวเป็นภาระ…”
แม้จะไม่ทันตั้งตัวแต่กลับให้ผลลัพธ์อันยอดเยี่ยม และดูเหมือนเธอจะยังไม่รู้ตัว
ไม่สิ บางทีมันอาจเป็นเรื่องที่สมควรจะเป็นอย่างนี้แล้ว เพราะบลิสมักจะถูกปฏิบัติอย่างคนไร้ค่ามาตลอด
เด็กไร้ค่าแสนสะเพร่า เด็กที่ไม่อาจมีชีวิตอย่างมีความสุขได้หากไม่ได้กลับมาเปลี่ยนอดีต
ทำไมถึงเหมือนเธอได้ขนาดนี้กันนะ
บลิสมีโชคชะตาเหมือนทุกอย่างขนาดนี้ แล้วอาเรียจะไม่มอบหัวใจให้หนูน้อยทั้งดวงได้อย่างไร
“แน่นอน ลูกเป็นลูกสาวใครกัน แล้วก็บลิส ลูกช่วยชีวิตแม่ และอนาคตของแม่ไว้นะ”
ไม่มีคำตอบใดจะเหมาะไปมากกว่านี้อีกแล้ว บลิสปล่อยน้ำตาให้รินไหลลงมาอีกครั้งก่อนที่อาเรียจะพูดจบก่อนจะโผเข้ากอดเธอ
“ตะ ต่อไป ต่อไปหนูจะไม่ก่อเรื่องอีกแล้ว…! หนูจะตั้งใจเรียนแล้วเป็นคนที่ยอดเยี่ยมให้ได้อย่างลิเป้! หนูจะต้องได้คำชมทุกวันเลย…!”
แงงง—! การกระทำที่ขัดกับคำมั่นสัญญาทำให้ริมฝีปากของอาเรียวาดขึ้นเป็นรอยยิ้ม
คำพูดที่บอกให้หนูน้อยเติบโตขึ้นอย่างสง่างามและเป็นคนจิตใจดีอย่างในตอนนี้ เพราะเธอนั้นยอดเยี่ยมในแบบของตัวเองและสมควรได้รับคำชมอยู่แล้วดังก้องไปทั้งห้องทำงานของอาเรีย
……………….