พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 1636 แดนเทวะสถิต
นราธิปไม่เต็มใจที่จะบอกรพีพงษ์ แต่รพีพงษ์ไม่สนใจภรรยาและลูกไม่ได้ เขากล่าวกับรพีพงษ์ “ตอนนี้คุณแก้ปัญหาเรื่องเมืองแฟรี่ได้ดีมาก ผมขอบคุณแทนประชาชนของเมืองแฟรี่ คุณไม่ใช่คนที่นี่ จึงไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไป”
หลังจากที่นราธิปพูดจบ เขาบอกรพีพงษ์ว่าเมืองแฟรี่เป็นเพียงสถานที่เล็กของเทวโลก สถานที่ที่มีอำนาจอย่างแท้จริงคือแดนเทวะสถิต แดนเทวะสถิตเป็นศูนย์กลางของเทวโลก ผู้คนในนั้นล้วนเป็นยอดฝีมือระดับแดนบุณ แม้ว่าคุณสมบัติของรพีพงษ์จะสามารถเข้าไปที่นั่นแล้ว แต่ถ้าไม่ใช่คนของเทวโลก จะเข้าไปที่นั่นไม่ได้
หากต้องการไปที่แดนเทวะสถิตต้องเพิ่มระดับผลการฝึกตน ระดับที่ต่ำสุดก็ต้องอยู่ในระดับแดนดวงวิญญาณ นี่คือกุญแจในการปลดล็อกที่จะเข้าไป
เมื่อรพีพงษ์ได้ยินประโยคนี้ ทำให้เขารู้สึกกังวลและท้อใจเล็กน้อยเ แม้ว่าตนเองจะมาที่เทวโลกแล้วทำสิ่งต่าง ๆ มากมาย แต่ผลการฝึกตนของตนเองไม่ได้พัฒนาขึ้น เมื่อความสามารถของบุคคลไปถึงมิติหนึ่ง พื้นที่และความเร็วของเขาจะช้าเป็นอย่างมาก
แต่นราธิปบอกรพีพงษ์ว่ามีเพียงวิธีนี้เท่านั้น อย่าใช้อุบายฉวยโอกาส มิฉะนั้นประการแรก จะเข้าไปไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น และถ้าถูกคนที่อยู่ภายในค้นพบจะต้องตายอย่างเดียว
รพีพงษ์รู้ว่านราธิปหมายถึงอะไร และรพีพงษ์ได้จำข้อควรระวังทั้งหมดไว้แล้ว เขารู้ว่าถ้าต้องการไปหาลูกสาวและภรรยา สิ่งที่สำคัญเร่งด่วนที่สุดคือต้องไปที่แดนเทวะสถิต เพราะว่าพวกเธออยู่ที่นั่น มีความเป็นไปได้สูงที่ตนเองจะหาพวกเธอเจอ
ไม่ว่าข้างหน้าจะมีพายุลมฝนกระหน่ำสักเพียงใด ในฐานะพ่อและในฐานะสามี นี่คือสิ่งที่รพีพงษ์ควรจะทำ
ณ.ตระกูลภูสรีดาว รพีพงษ์มองบวรวิทย์ด้วยตื้นตัน และกล่าวว่า “ขอโทษที่รบกวนเป็นเวลานาน ผมต้องการที่จะออกจากที่นี่และไปที่แดนเทวะสถิต บวรวิทย์ ขอบคุณมาก ที่ทำให้ผมได้รู้จักเพื่อนที่ดีเช่นคุณ”
บวรวิทย์ขมวดคิ้ว “ถึงคุณจะไป แต่ก็อาจจะเข้าไปไม่ได้ ผมได้ยินพ่อเคยพูดว่า แม้แต่ตัวพ่อเองก็ไม่มีทางเข้าไปได้”
รพีพงษ์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้ว่าบวรวิทย์หมายถึงอะไร แต่รพีพงษ์ไม่มีทางเลือกอื่น
เขายิ้มจาง ๆ มองไปที่บวรวิทย์ ตบไหล่ของบวรวิทย์ และกล่าวว่า “ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วงผม แต่คุณลองคิดดูว่า ถ้าคนที่อยู่ข้างในนั้นเป็นภรรยาและลูกของคุณ คุณก็ต้องเลือกเหมือนกับผมอย่างแน่นอน”
แม้ว่าจะมีอันตรายและยากลำบากสักเพียงใดก็ตาม มันก็เป็นภารกิจอันพึงปฏิบัติโดยไม่สามารถบอกปัดได้ นี่เป็นความรับผิดชอบในฐานะพ่อและสามี นี่เป็นความรับผิดชอบที่รพีพงษ์ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“ผมรู้ว่าคุณต้องการช่วยภรรยาและลูก ตอนนี้ปัณฑาไปหาผลินอยู่ คุณจะรอเธอไปด้วยกันไหม?”
เมื่อบวรวิทย์ถาม รพีพงษ์ก็พยักหน้า ปัณฑาอยู่เคียงข้างตนเองตลอดมา และเขาก็อดไม่ได้ที่จะไม่ให้ปัณฑาไปกับตนเองด้วย
เจ้าเด็กคนนั้นคงโทษตัวเองอยู่ และเธอยังคงต้องการคำปลอบจากรพีพงษ์ รพีพงษ์คิดถึงเรื่องนี้ แต่เมื่อเขาเดินไปถึงประตูของตระกูลภูสรีดาว เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ตอนนี้เขาไม่มีแผนอะไรอยู่ในใจเลย
ขณะนี้เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาอย่างเป็นระเบียบ เขามองไปเสียงปรากฏว่าเป็นกิเลน
“กิเลน คุณมาได้อย่างไร ทำไมคุณไม่อยู่ในป่า ระหว่างทางคุณไม่ได้ทำให้ผู้คนแตกตื่นใช่ไหม?” รพีพงษ์ก้าวไปข้างหน้าและถามกิเลน ทุกอย่างในป่าเรียบร้อยดี ตอนนี้ได้ถ้ำกลับคืนมาแล้ว ทำไมไม่อยู่ในถ้ำล่ะ?
กิเลนรู้สึกคับข้องใจเล็กน้อยและกล่าวว่า “นายท่านไม่ใช่นายท่านที่มีคุณสมบัติผ่าน นายท่านจะไปก็ไม่บอกลาผมสักคำ คุณปล่อยให้ผมอยู่ในป่า แล้วคุณเคยถามความคิดเห็นของผมหรือยัง?”
กิเลนพูดจนรพีพงษ์รู้สึกผิด เดิมเขาคิดว่าจะให้กิเลนอยู่ฝึกอยู่ที่ป่า แต่ตอนนี้กิเลนได้มาหาตนเองถึงที่แล้ว
“มันเป็นความผิดของผมเอง ที่ไม่ได้ปรึกษาหารือล่วงหน้ากับคุณก่อน แต่กิเลน ผมพาคุณไปด้วยไม่ได้จริง ๆ เพราะระหว่างทางมันเป็นจุดเด่นเกินไปก็ไม่ดี”
กิเลนมองรพีพงษ์ด้วยความผิดหวัง และรู้ว่ารพีพงษ์หมายถึงอะไร เขากล่าวว่า “ผมไม่ต้องการอะไรจากนายท่าน และไม่สนใจอะไรมากมายขอแค่ผมสามารถอยู่ข้างกายนายท่านได้ก็พอแล้ว”
รพีพงษ์บอกกิเลนตามตรงว่าตนเองนั้นมีสัตว์ขี่อยู่ตัวหนึ่ง คือแรดโบราณซึ่งอยู่ในป่าหมอก โลกที่ตนเองอยู่นั้นไม่ว่าพลังเทพหรืออะไรก็ไม่สามารถเทียบเทวโลกได้ กิเลนไม่ควรไปพร้อมกับตนเอง ถ้าตนเองออกจากเมืองแฟรี่แล้วพากิเลนไปที่แดนเทวะสถิตด้วย มันจะเป็นจุดเด่นเกินไป
ที่จริงกิเลนรู้ว่ารพีพงษ์ประสบปัญหา รพีพงษ์ไม่เพียงแต่ไม่ได้ฆ่าเขา แต่ยังช่วยชีวิตเขาด้วย ตอนนี้เขาได้แย่งถ้ำกลับคืนมาแล้ว ดังนั้นเขาไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วยรพีพงษ์
ที่รพีพงษ์กล่าวมาทุกอย่างก็เพื่อประโยชน์ของกิเลน กิเลนกล่าวว่า “ผมรู้ว่านายท่านหมายถึงอะไร แต่ว่านายท่านวางใจได้ ผมจะไม่ทำให้คุณต้องลำบาก มีผมอยู่อย่างน้อยข้างกายคุณจะมีผู้ช่วยมากขึ้นอีกหนึ่ง และเมื่อถึงเวลาตอนที่คุณจะกลับไปยังโลก ผมก็จะกลับเข้าไปในป่า แล้วฝึกฝนอยู่ในถ้ำของผม และจะไม่ออกมาอีกเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดของ กิเลน ถึงรพีพงษ์ต้องการปฏิเสธแต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธได้ รพีพงษ์พยักหน้าตกลง จากนั้นก็ขี่หลังกิเลนเพื่อไปหาปัณฑา
ปัณฑาเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ผลิน ปากพูดว่าผลินไม่รักษาน้ำใจต่อมิตรสหาย…….
เมื่อเห็นกิเลนเดินเข้ามา เธอรู้สึกกลัวเล็กน้อย จนกระทั่งเห็นรพีพงษ์ลงมาจากหลังของกิเลน เธอถึงได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอถามรพีพงษ์ว่า “ผลินตายได้อย่างไร?”
“เพื่อผม เธอรับฝ่ามือแทนผม” รพีพงษ์ขมวดคิ้ว และรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
ปัณฑาผลักมือรพีพงษ์ และกลาวว่า “คุณนี่ช่างกระไรเสียจริง แม้แต่คนรอบข้างตนเองก็ปกป้องไม่ดี”
เขารู้ว่าปัณฑานเสียใจ รพีพงษ์ไม่ได้พูดอะไร และขอให้ปัณฑากลับไปพร้อมกับตนเอง ตอนนี้ปัณฑาสามารถอยู่ที่เมืองแฟรี่ กลับไปที่โลก หรือไปแดนเทวะสถิตกับตนเอง ก็อยู่ที่ปัณฑาเลือกเอง
การไปที่แดนเทวะสถิตกับตนเองเป็นเรื่องอันตรายที่สุด รพีพงษ์หวังว่าปัณฑาจะกลับไปที่ป่าหมอกในโลกและอยู่ที่นั่นอย่างมีความสุข
“เป็นเพราะฉันช้าไปหนึ่งก้าว รพีพงษ์ ฉันต้องการไปพร้อมกับคุณ เพื่อช่วยหนูลินและอารียา และยังรวมถึงสถานะของเผ่าฉันอีกด้วย จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้อาศัยคนอื่นไม่ได้”
ในขณะที่ปัณฑาพูด เขามองไปที่รพีพงษ์อย่างแน่วแน่ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนใจเธอได้ รพีพงษ์รู้ว่า การทำให้เผ่าภูตสามารถกลับมาที่เทวโลกได้นั้นมันเป็นสิ่งที่ปัณฑาคิดหวังตลอดมา ดังนั้นรพีพงษ์จึงตกลง
บวรวิทย์ต้องการไปกับรพีพงษ์ แต่เทวเทพรู้สึกว่าตอนนี้ทุกอย่างในเมืองแฟรี่กลับมาเป็นปกติแล้ว บวรวิทย์ไม่มีเหตุผลที่จะติดตามรพีพงษ์ไปเสี่ยงอันตราย เขาจึงขวางบวรวิทย์
รพีพงษ์ไม่ต้องการให้มีคนไปด้วยมากเกินไป และเป็นเรื่องของตนเอง ส่วนเรื่องของเมืองแฟรี่สิ้นสุดลงแล้ว เขาไม่ควรให้บวรวิทย์และคนอื่นเข้ามาเสี่ยงอันตรายอีก
ขณะรพีพงษ์กำลังจะเดินจากไป ปริตรก็เรียกรพีพงษ์ไว้ เดิมเขาก็สงสัยจุดประสงค์ของปริตร แต่เมื่อปริตรหยิบหนังสือกลยุทธ์ออกมาแล้วยื่นให้รพีพงษ์ รพีพงษ์รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ปริตรกล่าวว่า “เดิมทีมันถูกผมเผาไปแล้ว แต่เมื่อรู้ว่าคุณกำลังจะจากไป ผมจึงได้คัดลอกหนังสือกลยุทธ์ทั้งคืน หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์สำหรับคุณ”
รพีพงษ์หยิบหนังสือกลยุทธ์มาด้วยท่าทางเคร่งขรึมและยิ้มจาง ๆ “ทำไมคุณถึงเลือกผม?”
“ผมไม่เคยเห็นใครที่ซื่อตรงมากเท่าคุณ หลังจากที่คุณฝึกฝน คุณสามารถสร้างประโยชน์ให้ผู้คนได้ สิ่งเดียวที่ผมกังวลคือคนเลวจะได้มันไป แต่คุณนั้นเป็นคนดี……”