พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 1626 หยุดไฟนั้นไว้
เรื่องแบบนี้คนอื่นคิดไม่ถึง แต่ว่ายัยหิมะอยู่ที่ภูเขาหิมะนานพอสมควร เธอรู้ว่าถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้น จะเกิดความเสียหายอย่างไร
แต่ว่าตอนนี้ไม่มีวิธีแก้ ยัยหิมะพูดอย่างเสียดายว่า “หรือว่าพวกเราต้องออกหน้าเข้าไปช่วยงั้นหรือ คิดจะให้พวกมันตาย ไม่คิดเลยว่าจะต้องถึงขั้นไปช่วยพวกมันเสียนี่?”
ตอนที่ยัยหิมะ ก็มีสีหน้าไม่ยอม ที่เผชิญหน้าด้วยนั้น ไม่ใช่คนดีอะไร ล้วนเป็นศัตรูของตนเอง ถ้าจะให้ไปช่วยพวกนั้น มันช่างเป็นเรื่องที่บ้ามาก
แต่ว่าตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นให้เลือก ปริตรก็พูดว่า “ที่คุณคิดมาผมรู้ดี แต่ว่าผลลัพธ์ของมันก็จะยิ่งแย่กว่าเดิมนะ ด้านในมีสัตว์ป่ามากมาย ถ้าเกิดว่าเป็นแบบนั้นจริง สิ่งมีชีวิตด้านในก็จะวุ่นวายออกมา ถ้าชาวบ้านของเมืองแฟรี่ จะใช้ชีวิตกันอย่างไร?”
สัตว์ในป่าจำนวนหนึ่งก็มีพลังทิพย์ด้วย พวกมันจะตายกันไม่มาก แต่จะออกมากันหมด แล้วเข้ายึดพื้นที่ของเมืองแฟรี่ สภาพเดิมของเมืองแฟรี่ก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมยาก
แล้วชาวบ้านดั้งเดิมของเมืองแฟรี่จะไปอยู่ที่ไหน ทุกคนเข้าไปอยู่ในโลกห้วงเวลาของรพีพงษ์ ไม่ช้ารพีพงษ์ก็จะให้พวกเขากลับออกมา คงจะไม่พาคนของเมืองแฟรี่กลับไปด้วยหรอก นอกจากเรื่องนี้ ปริตรก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว
สภาพในตอนนี้ ใครก็ไม่อยากจะเห็นมัน เดชาใช่วิธีนี้ ก็ถือว่าคิดจะตายกันไปข้างหนึ่ง เขาก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่รู้หรือไงว่าเรื่องนี้จะมีผลกระทบอย่างไร
ส่วนรพีพงษ์ เดิมทีกำลังพักผ่อนอยู่ ก็ถูกเสียงไฟไหม้ทำให้ตื่นขึ้นมา เขามองไปยังแสงของไฟป่าที่ลุกท่วมพุ่งไปยังท้องฟ้า ควันลอยพวยพุ่งเต็มไปหมด แล้วเขาก็รีบลุกขึ้นนั่ง
เดชาคนนี้ คิดจะทำอะไรก็ทำออกมาได้หมด โดยไม่คิดและกังวลอะไรเลย เขาทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร จะประกาศสงครามงั้นหรือ?
รพีพงษ์ก็รีบเข้ามาข้างๆ ปริตร แล้วถามว่า “งั้นก็แสดงว่า กลยุทธุ์วิทยาหารที่วางไว้ ก็เสียเปล่าเลยสิ?”
ปริตรพยักหน้า ยอมรับไป ก็ประมาณนั้นแหละ ด้านในเป็นไม้ โดนไฟเผาก็ไม่เหลือชิ้นดีอะไร ตอนนี้ที่สมควรทำก็คือ ดับไฟ ส่วนทหารพวกนั้น ถ้าออกมากันได้จริงๆ ก็คงไม่ทำงานให้กับเดชาแล้วล่ะ
ยัยหิมะกล่าวว่า “รพีพงษ์ ตอนนี้สำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องกลไกที่วางไว้ แต่ตอนนี้พวกเราจะต้องคิด ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ไฟมันลุกลามไปมากกว่านี้ ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ ผลลัพธ์มันจะเกิดคาดคิดแน่”
รพีพงษ์หายใจเข้าลึก แล้วก็มองจุดที่ไฟไหม้ขึ้น มันเต็มไปควัน
เขาใช้ปลายเท้าสะกิดพื้น กระโดดสูงขึ้น
ในร่างกายของเขา พลังจิตวิญญาณและพลังเทพผสานเข้าด้วยกัน ช่วยให้เขาลอยขึ้นในอากาศ แล้วก็มองดูสภาพทั้งหมดของผ่า!
“เรื่องนี้ไม่ยาก พวกเราสามารถควบคุมบริเวณการลุกลามของไฟได้”
รพีพงษ์พูดเสียงต่ำ แล้วก็เรียกให้บวรวิทย์ขึ้นไป ไฟลุกท่วมสูงไม่ถือว่าเป็นอะไรมาก แต่ส่วนของพวกที่เดชาอยู่ ยังไม่ลุกลามมาก
บวรวิทย์ก็เห็นแล้ว เพียงแต่ไม่เข้าใจความหมายของรพีพงษ์
รพีพงษ์ชี้ไปยังแสงไฟที่ไม่ไกลออกไป แล้วพูดว่า “พวกเราสามารถถอนต้นไม้แถวนั้นให้หมด ไฟก็จะไม่ลุกลามไปที่อื่น แบบนี้ ไฟก็จะถูกควบคุมไว้ได้ พอดีกับที่พวกเราเฝ้าอยู่รอบนอก คนของเดชาอยู่ด้านใน มันจุดไปเอง ก็ให้ไฟมันเองแล้วกัน”
คำพูดของรพีพงษ์ บวรวิทย์ไม่ค่อยเข้าใจนัก แล้วก็ถามอีกว่า “แบบนี้มันจะได้ผลหรือ?”
“จะได้ผลหรือไม่ ลองดูก็รู้แล้ว ถ้ามัวมาคิดอยู่แบบนี้มันจะไม่ทันการ” รพีพงษ์พูดไป แล้วก็มองพวกทหารทั้งหลาย จะให้ทุกคนไปช่วยกัน ส่วนปริตรก็กลายเป็นคนที่ว่างงานไปโดยปริยาย เดิมทีนั้นคิดว่าตนเองจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่ตอนนี้ช่วยอะไรม่ได้เลย
ยัยหิมะก็ยิ้ม “ที่นี้ก็ดีเลย รพีพงษ์มีแผนแล้ว พวกเราไม่ต้องกังวลแล้ว”
“คุณพูดถูกต้อง รพีพงษ์เป็นคนคิดแผนได้ตลอด ในความทรงจำของผม เขาเป็นคนที่ออกความคิดดีที่สุด ถ้าไม่ได้รพีพงษ์ ตอนนี้ผมคงไม่มีชีวิตแล้วล่ะ”
ยัยหิมะขมวดคิ้วพูดว่า “คุณเก่งขนาดนี้ ยังต้องการให้รพีพงษ์ช่วยชีวิตอีกงั้นหรือ?”
“ผมน่ะหรือเก่ง ยังจะเกือบถูกนรเทพฆ่าแล้วเลย รพีพงษ์มาช่วยผมไว้ ดังนั้นถ้าเป็นเรื่องของรพีพงษ์ ก็จะยอมช่วยเหลือทุกเรื่อง ยิ่งกว่านั้น เรื่องของรพีพงษ์ จริงๆ แล้วก็เกี่ยวข้องกับเมืองแฟรี่ด้วย”
ปริตรไม่คิดว่าตนเองเป็นคนที่รักประเทศชาติบ้านเมืองอะไร แต่ว่ามีรพีพงษ์อยู่ ความคิดของตนเองก็ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก
ความสามารถของรพีพงษ์นั้น จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่มาก แต่ว่าเขาไม่ได้เป็นห่วงแค่ตัวเองอย่างเดียว ยังมีคนอื่นๆ ด้วย ถึงแม้ปริตรจะไม่มีความสามารถอะไรมาก อย่างน้อยก็ยังได้ช่วยออกแรง ดังนั้นจะไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
พอยัยหิมะได้ยินปริตรพูด ก็รู้จักตัวตนของปริตรมากขึ้น ในสายตายัยหิมะนั้น จริงๆ แล้วปริตรเป็นคนนิ่งๆ เย็นชา
แต่วันนี้ได้ยินปริตรพูด ก็พบว่าปริตรเป็นคนด้านนอกเย็นชา ด้านในอบอุ่น อยู่กับคนแบบนี้ จะต้องมีความสุขแน่
เธอก็พูดไปว่า “พวกเขาไปกันที่นั่น ฉันก็อยากจะไปดูหน่อยว่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง ไปด้วยกันไหม”
ปริตรก็พูดอย่างทำตัวไม่ถูกว่า “ผมไม่พลังวิชาอะไรเลยนะ คงช่วยอะไรไม่ได้”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันพาไปเอง คุณกอดฉันไว้ให้แน่นแล้วกัน” ยัยหิมะก็เข้ามาใกล้ตัวของปริตรอย่างไม่เกรงใจ แล้วเอามือของปริตรมาโอบที่เอวตนเองไว้ โดยไม่รูสึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม
ต่อให้ปริตรจะเย็นชาแค่ไหน ก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง เห็นว่าปริตรหน้าแดง ก้มหน้า ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ยัยหิมะเห็นว่าปริตรมีท่าทางแบบนั้น ยังคิดว่าเดินอยู่แถวมีไฟ แล้วจะร้อน ไม่ได้คิดอะไรมาก
ไม่ทันที่พักตรงนั้นก็เหลือเพียงผลินและพวกของนันท์ธร ก่อนหน้านี้พวกของนันท์ธรนอนพักผ่อนกัน แต่ว่าเกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ ก็ตื่นขึ้นมาเหมือนกัน
ผลินกลัวว่าตนเองจะได้รับอันตราย ก็เลยไม่กล้าออกมา พอได้ยินเสียงของพวกนันท์ธร ก็เลยกล้าออกมา ไฟไหม้ใหญ่ขนาดนี้ อยู่ห่างออกไปมาก ยังสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้น พอออกมา ก็มีขี้เถ้าปลิวใส่เต็มหัว
นันท์ธรพูดว่า “รพีพงษ์เตรียมบ้านนี้ไว้ไม่เลวเลยนะ ผู้หญิงอย่างคุณออกมาทำไมล่ะ ไปอยู่ข้างในนั่นแหละ อย่าออกมา เดี๋ยวผมจะเข้าไปดูเสียหน่อยว่าที่นั่นต้องการอะไรให้ช่วยไหม?”
นันท์ธรกำลังจะออกไป เดิมทีผลินไม่อยากให้พวกเขาไป เธออยู่ที่นี่คนเดียวไม่มีความปลอดภัย แต่พอนึกถึงว่ารพีพงษ์อยู่ที่นั่น หลังจากที่พวกของนันท์ธรไปแล้ว รพีพงษ์ก็จะมีอันตรายน้อยลง ก็เลยไม่ได้พูดห้ามอะไรออกไป
เธอพูดว่า “คุณอานันท์ธร เดี๋ยวฉันไปด้วยดีกว่า ฉนเป็นห่วงรพีพงษ์”
คิดไปคิดมาก็คงจะมีวิธีเดียว สภาพที่นี่เธอก็ไม่กล้าอยู่คนเดียว นันท์ธรก็ลังเล แต่ผลินก็รีบพูดว่า “ฉันอยู่ที่นี่คนเดียยว ฉันกำลัว ถ้ามีศัตว์ร้ายอะไรออกมา ฉันก็กลายเป็นอาหารของพวกมันน่ะสิ”
นันท์ธรก็ได้แต่ต้องพาผลินไปด้วย ในใจก็บ่น ยัยหนูคนนี้มาอยู่ด้วย ช่วยอะไรก็ไม่ได้ แถมยังเป็นตัวถ่วงอีก เป็นคนของรพีพงษ์ ก็ทำอะไรไม่ได้
พาผลินไปด้วย ยังไม่ทันได้ออกเดินทาง ก็มีลมแรงพัดเข้ามา ทำให้ไฟไหม้กระท่อมที่ผลินนอนพัก ความร้อนของไฟได้ลวกผิวหนังของทุกคน ไม่นาน ทุกคนที่นั่นก็วุ่นวายกันไปหมด….