พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 1617 สัตว์พาหนะของผม
ได้ยินกิเลนพูดอย่างน่าสงสาร แต่ว่าต่อให้กิเลนไม่พูด รพีพงษ์ก็ไม่ปล่อยคนของนรเทพไปแน่
ถ้าปล่อยพวกนั้นไป แล้วพวกนั้นกลับมาอีกครั้ง พอถึงตอนนั้นรพีพงษ์ก็ได้ไปจากเทวโลกแล้ว เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับรพีพงษ์ รพีพงษ์จะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด
แล้วเขาก็พูดกับกิเลนว่า “พวกที่เข้าไปในป่า เป็นศัตรูของพวกเราพอดี เจ้าวางใจเถอะ ตอนนี้เจ้าเป็นสัตว์ของข้า ข้ารู้ว่าเจ้าถูกรังแก เดี๋ยวข้าจะช่วยแก้แค้นให้เอง ถ้าข้าลงมือเข้าช่วยเหลือ ไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้หรอก”
พูดแบบนี้ไป แล้วก็ยิ้มๆ นันท์ธรก็มองท้องฟ้า เห็นว่าใกล้จะสว่างแล้ว ก็ถามรพีพงษ์ว่า “คุณชายรพีพงษ์ คุณว่าพวกเราจะกลับไปกันตอนไหนดี?”
“กลับไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ไม่เพียงกลับไปไม่ได้ ตอนนี้จะต้องหาวิธีเฝ้าดูอยู่ที่นี่ตลอดเวลา รอให้ได้โอกาสเหมาะสม พวกเราก็เข้าไป แล้วกำจัดคนด้านในให้หมดสิ้น”
ในใจรพีพงษ์รู้ดี ต่อให้ฆ่าพวกนั้นไม่หมด แต่ก็จะปล่อยไปแบบไม่สนใจไม่ได้
พวกนั้นอยู่ข้างใน ถ้ายังมีชีวิตก็จะคิดแต่จะแก้แค้น จะให้โอกาสนั้นกับพวกมันไม่ได้
ผ่านเรื่องอะไรมามาก ในใจของรพีพงษ์รู้ดี ว่าอะไรคือการปล่อยเสือเข้าป่า ถ้าเมตตาต่อศัตรูก็เท่ากับทรมานตนเอง เรื่องแบบนี้รพีพงษ์รับไม่ได้
ในใจก็คิดไปดังนั้น แล้วก็นันท์ธรพาลูกน้องไปพักผ่อน นี่ก็ผ่านมานานแล้ว ทุกคนคงจะเหนื่อยกันมาก
แต่รพีพงษ์นั้นเป็นคน ไม่ใช่เทพเซียนที่ไหน เข้าเปลี่ยนเวรกับบวรวิทย์ได้ แบบนี้จะได้จับตาดูไม่ให้พวกมันออกมาก่อความวุ่นวาย
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตอนนี้สถานการณ์มันก็เป็นแบบนี้แล้ว ค่อยคิดหาวิธีกันเอา มีปริตรอยู่ พวกของเทวเทพก็อยู่ คงไม่มีวิธีไหนที่คิดไม่ออกหรอก
คนของนรเทพไม่ได้มีเพียงเท่านี้ พวกนี้เป็นทหารที่มาเมืองแฟรี่เท่านั้น ยังทหารที่ยังมาไม่ถึงเมืองแฟรี่อีก ดังนั้น ถ้ากองกำลังที่กระจัดกระจายมารวมตัวกันได้ แล้วกองทัพของนรเทพรู้ว่ามีกองหนุน ก็จะต้องฮึกเหิมไม่กลัวเกรงมากกว่าเดิมแน่
รพีพงษ์คิดในใจ แล้วก็ให้กิเลนกลับไปกับตนเอง
ตอนนี้ที่เมืองแฟรี่แต่ซากปรักหักพัง ไม่มีใครเห็นสภาพที่รุ่งโรจน์ดังเก่าแล้ว
แน่นอนว่า ในโลกห้วงเวลาที่รพีพงษ์สร้างไว้ ด้านในเป็นสภาพเดิมของเมืองแฟรี่ อนาคตก็อาจจะสร้างขึ้นมาใหม่ให้เหมือนกับเมืองด้านในโลกห้วงเวลาได้ สร้างให้สวยงามเหมือนเดิมได้
กิเลนและรพีพงษ์กลับไปพร้อมกัน รพีพงษ์อยู่บนหลังกิเลน แล้วผ่านประตูเมืองเมืองแฟรี่ไป มุ่งไปยังตำหนักอ๋อง
ตอนนี้เมืองแฟรี่สภาพแย่มาก แต่ตำหนักอ๋องยังสภาพดี ปรากฏการณ์ที่เหมือนกับแผ่นดินไหวนี้ ไม่ได้ทำให้ตำหนักอ๋องเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
รพีพงษ์กำลังจะกลับออกไป ผลินก็คงไม่อยู่ต่อ รพีพงษ์ก็ให้เธอขึ้นไปบนหลังของกิเลน ให้กิเลนพาพวกเขากลับออกไปพร้อมกัน
ผลินเห็นกิเลนแล้วก็กลัว แล้วก็ปฏิบัติกับกิเลนไม่ค่อยดีนัก กิเลนเองก็ไม่ค่อยอยากจะญาติดีกับเธอ ก็เลยปฏิเสธไป ระหว่างทางนั้นก็เดินโมโหกันไป
กิเลนเดินเร็ว ผลินก็เดินตามหลัง อยากจะเรียกรพีพงษ์ให้รอก็เกรงใจ
รพีพงษ์ก็พูดกับกิเลนว่า “ช้าลงหน่อย รอเธอด้วย เธออยู่ข้างหลังคนเดียวมันอันตราย”
กิเลนก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “ผู้หญิงคนนี้หน้าใหญ่ก็ทนลำบากไปเถอะ ถึงแม้ข้าจะไม่ชอบเธอ แต่คนรอบกายของเจ้านาย ข้าไม่ไล่ไปไหนหรอก เจ้านาย จะเรียกเธอขึ้นมาไหมล่ะ?”
กิเลนถามรพีพงษ์ รพีพงษ์ก็ยิ้ม แล้วถามกลับ “เจ้าลองไปเรียกเธอจะดีกว่า ถ้าให้ข้าไปเรียก เดี๋ยวเธอจะขายหน้าแล้วไม่ยอมมาอีก”
กิเลนหันกลับไป ผลินก็ยืนเท้าเอวอยู่ด้านหลัง มองสีท้องฟ้าไปด้วย ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นมาแล้ว รอบๆ มีแสงสีแดงของอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องไปทั่ว
แล้วเธอก็ถามกิเลนอย่างไม่พอใจว่า “จะกลับมาทำไมล่ะ ยังไม่ถึงเลย”
“เจ้านายของพวกเราให้ข้ารอเจ้า และมาเรียกให้เจ้าขึ้นไปบนหลังข้า ถ้าเจ้าไม่ยอม เจ้านายข้าเดินนำไปไกลแล้วนะ เจ้าไม่ต้องมัวคิดว่าข้าจะใจดีหรอก เจ้านายของพวกเราสั่งให้ข้ารอเองแหละ เจ้านี่ก็เป็นผู้หญิงแปลก แค่มีเรื่องกันนิดหน่อยเท่านั้นเองไม่ใช่หรือไง?”
ข้ารู้สึกว่าเมื่อเทียบกับความรักที่เจ้ามีให้เจ้านายข้า มันเทียบกันไม่ได้เลย ถ้าเจ้าขึ้นไปนั่งบนหลังข้า ก็จะสามารถอยู่ใกล้ชิดกับเจ้านายข้าได้ ไม่ได้มีข้อเสียอะไรต่อเจ้าเลย ข้าก็ขอพูดเพียงเท่านี้แหละ
แล้วกิเลนก็โน้มตัวลงไป เพื่อให้ผลินขึ้นไป ส่วนผลินจะขึ้นไปหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องของผลิน กิเลนเองก็ไม่อยากจะไปยุ่งอะไรมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะว่ารพีพงษ์เป็นห่วงผลิน ก็ไม่อยากจะคุยกับผลินสักคำหรอก ผลินนี่ก็แปลกคน
ในใจของกิเลนคิดไปแบบนี้ ก็นึกว่าผลินจะปฏิเสธ แต่ผลินคิดดูแล้ว ที่กิเลนพูดมาก็มีเหตุผล
ถ้าตนเองอยู่บนหลังของกิเลน ก็จะได้อยู่ใกล้กับรพีพงษ์ ที่ใจคิดมาตลอด ก็ไม่ใช่เพราะอยากจะได้อยู่ข้างๆ รพีพงษ์หรอกหรือ?
พอขึ้นมาบนหลังกิเลน กิเลนก็พูดว่า “นั่งดีๆล่ะ ตอนนี้เจ้าผลินขึ้นมาแล้ว ข้าก็จะเดินเร็วหน่อยละนะเจ้าผลินกอดเจ้านายข้าแน่นๆล่ะ ไม่งั้นตกลงไปข้าไม่รู้ด้วยนะ”
ผลินก็มองบนใส่กิเลน และรู้ว่ากิเลนกำลังให้โอกาสตนเอง ก็สังเกตได้ว่าจริงๆ แล้วกิเลนไม่ได้ร้ายขนาดนั้น
รพีพงษ์ก็พูดว่า “เจ้าช้าลงหน่อย พวกเราไม่ได้รีบขนาดนั้น”
ในใจกิเลนคิดอย่างไร รพีพงษ์ไม่สน แต่ผลินกับตนเอง จะต้องรักษาระยะห่างไว้
แน่นอนว่า รพีพงษ์ไม่ได้พูดออกมาหรอก แต่มือของผลินก็เข้าไปกอด แล้วพูดว่า “ไปได้ ฉันไม่ตกลงไปหรอก ถึงตกไปก็ไม่โทษเจ้าหรอก”
กิเลนก็ไปตามทางที่รพีพงษ์บอก จนมาถึงหน้าประตูตระกูลภูสรีดาว ตลอดทางผลินหน้าแดงใจเต้นแรงมาตลอด เพราะมีโอกาสได้อยู่ใกล้กับรพีพงษ์แบบนี้น้อยมาก
เธออิจฉาภรรยาของรพีพงษ์มาก ตอนที่มาถึงหน้าประตูตำหนักอ๋องนั้น ในใจยังรู้สึกว่าเวลามันน้อยไป ถ้าได้เดินต่อไปอีกสักหน่อย ต่อให้ไม่ได้คุยอะไรกับรพีพงษ์ แค่กอดเขาไปแน่นๆ แล้วได้สัมผัสกับคนข้างๆ ก็ดีมากแล้ว
เทวเทพได้ยินว่าด้านนอกมีเสียงดัง ก็รีบเดินออกมาดู เพิ่งได้สู้กับทหารของนรเทพไป ถ้าพวกนั้นจะบุกโจมตีอีกครั้ง จะต้องเตรียมตัวให้พร้อม
เป็นเรื่องยากที่จะไม่เหลือทหารอยู่ คิดไปแบบนี้ ฝีเท้าก็เร็วขึ้นมาก มาถึงด้านนอก ก็เห็นกิเลน คิ้วขมวดขึ้น
เขารีบตั้งสติขึ้นมาทันที เจ้าสิ่งนี้มันตัวใหญ่มาก แล้วก็แกล้งถามกิเลน “เจ้าปีศาจ มาทำอะไรที่นี่?”
พอเห็นกิเลนคุกเข่าลง รพีพงษ์ก็ยื่นหัวออกมา แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโส ไม่ต้องกลัว นี่คือสัตว์พาหนะที่ผมได้มาในผ่านั้น”
เทวเทพตกใจจนพูดอะไรไม่ออก อ้ำอึ้งอยู่นาน แล้วพูดว่า “นี่ นี่คือสัตว์พาหนะคุณงั้นหรือ?”
เทวเทพอยู่มาจนอายุป่านนี้ เรื่องแบบนี้เคยแต่คิดในใจ แต่จะให้ได้แบบนี้ มันได้ที่ไหนกัน?
สีหน้าอิจฉาของเขา รพีพงษ์เห็นอย่างชัดเจน แล้วก็พูดว่า “ถ้าผู้อาวุโสชอบ เดี๋ยวผมหามาให้ผู้อาวุโสสักตัว ในป่านั้นมีอีก เดี๋ยวผมช่วย”
เทวเทพพูดอย่างดีใจ “จริงหรือจะเจอตัวที่ยอมฟังคำสั่งงั้นหรือ?”