พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 97 คงไม่ใช่ว่าไปซื้อบ้านในหุบเหวหรอกนะ
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- ตอนที่ 97 คงไม่ใช่ว่าไปซื้อบ้านในหุบเหวหรอกนะ
บทที่ 97 คงไม่ใช่ว่าไปซื้อบ้านในหุบเหวหรอกนะ
เมื่อพนักงานเห็นลิปปินส์อยู่ดีๆ ก็หน้าถอดสี ใบหน้าประหลาดใจ เลยอ้าปากถาม “แกเป็นอะไรหรือเปล่า เหมือนตกใจอะไรสักอย่าง”
ลิปปินส์ กลืนน้ำลายลงคอ พร้อมทั้งเบิกตามองมาทางพนักงาน เอ่ยปากถาม “บัตรสมาชิกของที่นี่ จำเป็นซื้อบ้านกับทางดงเย็นถึงจะทำได้ใช่หรือไม่”
“ใช่ ต้องเป็นบ้านสวนสไตล์ยุโรปหรือพวกวิลล่า ถ้าซื้อห้องธรรมดาก็ไม่สามารถใช้สิทธิ์นี้ได้” พนักงานตอบคำถาม
ลิปปินส์ รู้สึกหน้าร้อนผ่าว จนอาการเก้อเขินที่ยากจะอธิบายอยู่ในใจมันปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก่อนหน้านี้ที่เขาเอาแต่เยาะเย้ยรพีพงษ์ก็เหมือนกับว่าเอามะพร้าวห้าวไปขายสวนงั้นสิ
“มันต้องไม่เป็นแบบนี้ เขาก็แค่ไอ้กระจอก จะมีปัญญามาซื้อวิลล่าที่นี่ได้ยังไงกัน มันต้องมีเหตุผลอื่นอีกแน่”
ลิปปินส์ได้แต่พึมพำอยู่ในลำคอ เรื่องมาถึงวันนี้แล้ว เขาก็แค่ใช้วิธีคิดแบบนี้มาปลอบใจตัวเองเท่านั้นเอง
……
ผ่านมาหลายวันหลังจากนั้น ทุกวันศศินัดดากับศักดาก็เอาบ่นแต่เรื่องบ้านกับรพีพงษ์ เพื่อจะบีบให้เขาขาย เพื่อจะได้เอาไปซื้อบ้านที่ใหญ่กว่านี้
แน่นอนว่ารพีพงษ์ไม่เห็นด้วย ศศินัดดาได้แต่ไปเร่งรัดกับอารียาแทน
อารียาก็รู้ว่ารพีพงษ์ไปซื้อบ้านที่ดงเย็น ถึงแม้ว่าที่บ้านมีแค่ห้องเดียว ก็ไม่มีปัญญาไปซื้อแน่นอน
ดังนั้น ศศินัดดาเลยทำเป็นหูทวนลม ทำเหมือนว่าเธอเป็นแค่อากาศที่ลอยไปมา
ศศินัดดาเห็นว่าทั้งคู่ไม่ยอมฟังคำพูดเธอเลย ยกโยนความผิดไปให้รพีพงษ์ทุกวัน บอกว่าจงใจทำให้พวกเขาอับอาย เพื่อแก้แค้นพวกเขา
ศศินัดดาและศักดายังปรึกษากันอยู่เรื่อยว่าจะออกไปเช่าห้องอยู่ข้างนอกดีไหม เพื่อจะได้ไว้หน้าให้กับบ้านของชรินทร์ทิพย์จากนั้นค่อยคิดหาวิธีกันใหม่
ทว่าความคิดของพวกเขาถูกอารียาปฏิเสธไปเสียก่อน อารียายังต้องการให้พวกเขาเชื่อมั่นในตัวของรพีพงษ์ ว่าพอถึงเวลานั้นไม่มีทางทำให้พวกเขาผิดหวังแน่นอน
ศศินัดดามั่นใจว่า รพีพงษ์เป็นตัวซวยที่ทางสวรรค์ส่งมาให้ทางบ้านของเธอ ก่อนหน้านี้อารียายังไงก็เชื่อฟังคำพูดของ ศศินัดดา
ระยะเวลานี้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อารียาเริ่มฟังคำพูดของรพีพงษ์บ้างแล้ว
ถ้าเป็นไปแบบนี้ ศศินัดดารู้สึกว่าสถานะของตนเองในบ้านเหมือนถูกคุกคาม เพราะฉะนั้นเลยคิดว่าถ้าครั้งนี้รพีพงษ์ทำให้เธอเสียหน้าครั้งใหญ่ ถึงแม้ว่าจะเสียชีวิต เธอก็จะบีบบังคับให้รพีพงษ์หย่ากับอารียา
ไม่นานช่วงสิ้นเดือนก็มาถึง เช้าตรู่ของวันนี้ รพีพงษ์ รีบไปที่ดงเย็นทันที เพราะว่าต้องการพาคนเข้าไปเยี่ยมชม เขาเลยรีบเก็บของเอาแต่เนิ่นๆ
ส่วนศศินัดดากับศักดาหลังจากที่ทั้งสองคนตื่นนอนแล้ว ต่างทำหน้าเศร้าสร้อย ราวกับว่าวันนี้จะต้องผ่านการทรมานอันหนักหน่วงแบบนั้น
“แคลร์จำคำพูดของแม่ไว้ให้ดี เดี๋ยวไปดูบ้านผุพังของรพีพงษ์แล้วมีคนมาเยาะเย้ยให้ตระกูลเรา แกต้องหย่ากับเขาทันที ไม่งั้นฉันจะไม่รับแกเป็นลูกสาวฉัน!” ศศินัดดาเริ่มพูดก่อน
“รพีพงษ์ ไม่ทำให้พวกคุณผิดหวังแน่” อารียาไม่ได้พูดมากอะไร หลังจากตอบคำถามแล้ว ก็เข้าไปเก็บของต่อ
ศศินัดดาโมโหจนกระทืบเท้าไปมา เพราะรู้สึกว่าลูกสาวของตนเองคงถูกรพีพงษ์ ล้างสมองไปแล้ว
ไม่นานนัก คนที่บ้านของชรินทร์ทิพย์ก็มาถึงบ้านของศศินัดดา ส่วนคนที่ตามพวกเขามานั้น ยังมีญาติสนิทมิตรสหายของตระกูลฉัตรมงคลตามมาไม่น้อย ที่มาก็เพราะจะมาดูเรื่องสนุกๆ เมื่อเอามานับคนรวมกันเกือบยี่สิบคนเห็นจะได้
บ้านของศศินัดดาก็ไม่สามารถบรรจุคนได้มากมายขนาดนั้น อารียาให้พวกเขารอที่ด้านล่างตึก
วันนี้ตอนที่รพีพงษ์จะออกมาก็โทรศัพท์หาเธอก่อน เพื่อบอกว่าเขาได้เช่ารถบัสขนาดกลางเอาไว้ให้ เมื่อมาถึงแล้วทางนั้นจะติดต่อกับเธอเอง
ตอนแรกอารียายังไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรรพีพงษ์ถึงได้เช่ารถบัสขนาดกลางให้ด้วย ตอนนี้เลยเข้าใจแล้ว ที่แท้รพีพงษ์เดาได้ว่าจะมีคนมาดูเรื่องสนุกๆ มากมายขนาดนี้
“ได้ข่าวว่ารพีพงษ์ซื้อบ้านไว้แค่มีห้องเดียว ขนาดทางนี้ยังยัดพวกเราไม่ได้เลย แล้วทางนั้นคงยัดพวกเราไม่ไหวแน่นอน”
“ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่ได้มาดูบ้านที่เขาซื้อ แต่พวกเรามาเพื่อหัวเราะเยาะเขานี่แหละ”
“ฮ่าๆ พูดถูก รพีพงษ์คนนี้นี่โง่เหลือเกิน แถมยังรู้สึกว่าบ้านที่เขาซื้อยังดีกว่าบ้านที่พี่ชายรองซื้อซะอีก ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคิดยังไง”
“บ้านใหม่ของพี่ชายรองนี่ดีจริงๆ น่าอิจฉาจริงๆ”
……
ชรินทร์ทิพย์มองบรรดาพวกญาติที่กำลังชื่นชมบ้านของเธออยู่ ในใจของเธอก็อิ่มเอม
ธายุกรยืนอยู่บริเวณด้านข้างของชรินทร์ทิพย์วันนี้เขาก็อยากจะมาดูเรื่องตลกขบขัน เพราะว่าเขาเองก็เป็นขอทานมานานขนาดนี้ มันต้องเกี่ยวข้องกับรพีพงษ์มากอยู่ทีเดียว
“พี่ธายุ พี่อยู่ที่บ้านดีกว่า การที่พี่กลับมา แล้วแบ่งงานให้อารียาครึ่งหนึ่ง หรือไม่ ฉันก็ไม่สามารถหาผลประโยชน์จากพี่ที่นี่ได้ บ้านของฉันก็ซื้อไม่ไหว” ชรินทร์ทิพย์พูดไปยิ้มไป
“อาศัยความสัมพันธ์ของพวกเรา น่าจะเป็นไปได้ หลังจากวันนี้รอจนแกแต่งเข้ามาในบ้านตระกูลลัดดาวัลย์ อย่าลืมฉันก็พอแล้ว” ธายุกรพูดไปยิ้มไป
“มันแน่นอน ตอนนี้เราก็อยู่ในวงการเดียวกัน ที่ต้องให้อารียากับรพีพงษ์ รู้ว่าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติใดๆ ที่จะเอามาเปรียบเทียบกับเราได้” ชรินทร์ทิพย์ตอบคำถาม
ธายุกรส่งเสียงอื้ออึงในลำคออย่างเย็นชา พร้อมทั้งหรี่ตาลง ตอนนี้ความจงเกลียดจงชังที่มีต่อรพีพงษ์มันไม่ใช่ความเกลียดชังเหมือนปกติแล้ว ยิ่งได้เห็นเรื่องตลกขบขันในวันนี้ของรพีพงษ์แล้ว มันก็แค่เรียกน้ำย่อยเท่านั้นเอง จากวันนี้เป็นต้นไปเขายังมีวิธีการที่เด็ดขาดมากกว่านี้มาจัดการรพีพงษ์อีก
ในเวลานี้อารียาเดินลงมาจากชั้นบนตึก เมื่อครู่คนขับรถของรถบัสได้โทรศัพท์มาหาเธอ บอกว่าจะถึงแล้ว เธอเลยต้องเอารถของตัวเองย้ายหลบไปอีกทาง
ทุกคนต่างจ้องมองอารียาแล้วหัวเราะใส่อย่างเย็นชา แถมยังรู้สึกว่าเธอช่างน่าสงสาร ที่ต้องมาแต่งงานกับคนกระจอกอย่าง รพีพงษ์แล้วก็ใช้ชีวิตกัดก้อนเกลือกินไปวันๆแบบนี้
อารียาเดินไปด้านข้างของรถแลนด์โรเวอร์ จากนั้นก็กดปลดล็อก ตอนที่รถถูกปลดล็อกนั้น ทุกคนต่างยืนอึ้งกันเป็นแถบๆ
เมื่อครู่มีหลายคนกำลังคุยกันอยู่ว่ารถคันนี้เป็นของใคร ในใจเอาแต่คิดว่าชุมชนเล็กๆ จนๆ มันไม่เหมาะกับรถแบบนี้เลย ต่างคิดว่าคงมีคนรวยสักคนขับรถมาเยี่ยมญาติที่นี่
ที่ไหนได้กลับกลายว่าอารียาเป็นคนที่มีกุญแจรถคันนี้ไปซะนี่ ทุกคนต่างตกใจกันเป็นแถวๆ
“รถคันนี้เป็นของเธอเหรอ เธอจะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อรถแพงหูฉี่ได้ขนาดนี้” ธายุกรพูดอย่างตกใจ
“เชอะ น่าจะหาเงินมาจากการชิงรางวัลมาจากโครงการละมั้ง” ชรินทร์ทิพย์เบะปากไปมา
อารียาขับรถไปจอดไว้อีกด้านหนึ่ง หลังจากลงจากรถแล้ว ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไปห้อมล้อมถามไถ่เรื่องนี้
เมื่อศศินัดดาเห็นรถยนต์คันนี้แล้วเหมือนว่าไว้หน้าเธอ สีหน้าถึงได้ดูดีขึ้น
“แคลร์รถยนต์คันนี้แกเป็นคนซื้อเหรอ นี่คือรถหรูนะ”
“ใช่ รถยนต์คันนี้มันสิบล้านกว่าบาทเลยนะ ดูแล้วช่วงนี้แคลร์คงทำงานได้ไม่เลวเลย”
“ว้าว ขนาดรถยนต์ยังเลิศหรูได้ขนาดนี้ งั้นบ้าน….”
ธายุกรเดินเข้าไปหา พร้อมทั้งยิ้มให้อย่างเย็นชา “ดูแล้วว่าช่วงนี้แกหาเงินได้จากโครงการของบริษัทมาได้ไม่น้อยเลย จนมาขับแลนด์โรเวอร์ได้”
ทุกคนเข้าใจทันที สิ่งที่ทุกคนเข้าใจก็คือโครงการของบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปอารียาเป็นคนรับผิดชอบโครงการนี้ ดังนั้นเลยพลันคิดว่ารถยนต์ของเธอนั้นต้องมาจากเงินที่มาจากโครงการที่เอาเงินไปซื้อ
“ที่แท้ก็ได้มาจากโครงการนี่เอง ฉันก็ว่าแล้ว แค่เงินเดือนนิดหน่อยของเธอ จะเอามาซื้อได้ยังไง”
“ปัดโถ เธอช่างกล้าเอาเงินมาใช้อีก ไม่กลัวว่าท่านปู่นภทีป์นั่นจะโทษว่าเป็นความผิดเลย ช่างสบายจริงๆ”
อารียาขมวดคิ้วทันที พร้อมทั้งอ้าปากพูด “รถคันนี้ฉันไม่ได้ซื้อรพีพงษ์เป็นคนซื้อ พวกคุณอย่าพูดมั่วซั่ว”
คนกลุ่มหนึ่งหัวเราะขึ้นมาทันที เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดของอารียา
“อารียาแกคิดว่าพวกเรานี่โง่ดักดานขนาดนั้นเลย รพีพงษ์มันก็ไอ้เศษสวะคนหนึ่ง ขนาดงานยังไม่มีปัญญาหางานทำเลย แล้วจะมาซื้อรถที่แพงขนาดนี้ได้ยังไง แกอย่ามาพูดแก้ตัวอยู่ที่นี่เลย” ชรินทร์ทิพย์เอ่ยปากพูดตอกกลับทันที
“ใช่ คนอย่างรพีพงษ์ ไม่มีที่ซุกหัวนอนแล้วมาซื้อรถคันนี้ได้ งั้นฉันจะไปกินขี้เดี๋ยวนี้เลย”
“อย่าเอารพีพงษ์มาเป็นพ่อพระเลย เรื่องนี้พวกเราเข้าใจ ดูท่าโครงการนี้ รายได้ค่าส่วนต่างจะไม่น้อยจริงๆ ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรกฉันก็น่าจะลองทำเอง”
อารียาสีหน้ามีแต่ความโกรธ เธอก็แค่พูดไปตามความจริง แต่ไม่คิดเลยว่าคนเหล่านี้จะไม่มีใครเชื่อเธอเลย
ศศินัดดาที่เห็นผู้คนต่างพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ในใจก็คิดว่าอารียาโง่ ทำไมต้องเอารพีพงษ์มาเป็นพ่อพระด้วย นี่มันก็เหมือนยิ่งทำให้หัวเราะล้อเล่นกันไปใหญ่
“รถคันนี้แคลร์เป็นคนซื้อจริงๆ แต่ว่าที่ได้มานั้นก็ใช้เงินเดือนและเงินเก็บของตัวเอง ทุกคนหยุดพูดกันเสียที” ศศินัดดาเริ่มพูดบ้าง
บรรดาฝูงชนเลยเบาเสียงพูดคุยลงไปบ้าง
แต่ไม่นาน รถบัสขนาดกลางที่รพีพงษ์เป็นคนหามาก็ขับมาถึงด้านล่างของตึก พอทุกคนเห็นสภาพรถบัสคันนั้น สีหน้าต่างประหลาดใจกันเป็นแถว
“แล้วทำไมไปหารถบัสขนาดกลางนี้มาล่ะนัดดานี่เธออย่าบอกนะว่ารพีพงษ์ไปซื้อบ้านในหุบเหวอะ” มีคนเริ่มเปิดปากพูด
ผู้คนที่เหลือต่างหัวเราะไปตามๆ กัน
ศศินัดดาและศักดาทั้งสองคนต่างไม่รู้ว่ารพีพงษ์ไปหารถบัสขนาดกลางมาให้ ตอนที่เห็นรถบัสคันนี้ หน้าดำคร่ำเครียดลงทันที
“แคลร์ ตกลงว่ารพีพงษ์ซื้อบ้านอยู่ที่ไหนกันแน่ ทำไมต้องนั่งรถบัสขนาดกลางเข้าไปด้วยล่ะ” ศศินัดดาเอ่ยถามอารียาด้วยสีหน้าเย็นชา
“ที่นี่มีคนเยอะแยะ แถมต้องไปด้วยกันอีก ก็ต้องใช้รถคันใหญ่ๆ หน่อยสิ” อารียาพูดอธิบาย
ทั้งกลุ่มหัวเราะกันขึ้นมาทันที
“ดูท่าแล้วเราต้องไปในหุบเหวกันจริงๆ แล้ว”รพีพงษ์คนนี้สมองมีปัญหาจริงๆ ไปซื้อบ้านในหุบเหว แถมยังมาอวดพวกเราอีก
“ปัดโธ่ บ้านอยู่ในเหวถ้ายกให้ฉัน ฉันก็ไม่เอา”
ชรินท์ทิพย์กับธายุกรมองอารียาด้วยสายตาดูถูกอยู่แวบหนึ่ง ชรินทร์ทิพย์พูดอย่างกระฟัดกระเฟียด “ดูนี่ มาซื้อบ้านในหุบเหว แถมพูดอย่างมั่นใจ ไม่เคยเจอคนที่หน้าด้านแบบนี้เลยจริงๆ ”
“อยากไปดูบ้านก็ขึ้นรถ ไม่อยากไปก็กลับไปกันเถอะ” อารียาพูดตัดบทแบบหมดความรู้สึก จากนั้นก็เดินขึ้นรถไปแทน
ตอนนี้เองที่เธอเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพวกญาติพี่น้องตกลงแล้วเป็นคนยังไงกันแน่ เลยไม่ต้องมาคอยคิดที่จะเกรงใจพวกเขาอีก
คนกลุ่มนั้นต่างก็คิดว่าเหมือนพูดแทงใจดำอารียาจนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แต่ในใจของพวกเขายิ่งดูถูกเธอมากกว่าเดิม
“ไปสิ บ้านที่อยู่ในหุบเหว ฉันยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” ชรินทร์ทิพย์ขึ้นรถเป็นคนแรก
คนที่อยู่ด้านหลังเห็นแบบนั้น ก็เดินขึ้นรถตามกันไปเป็นแถบ เพราะว่าถึงยังไงพวกเขาก็มาเพื่อเยาะเย้ย ถ้าเป็นบ้านในหุบเหวขึ้นมาจริงๆ เรื่องน่าตลกนี้มันยิ่งตลกเข้าไปใหญ่
ดังนั้นทุกคนเลยเดินขึ้นรถกันหมดไม่เหลือใครไว้สักคนศศินัดดากับศักดานั่งอยู่บนเบาะด้านหลังรถอย่างหน้าเครียด และก็ไม่พูดอะไรสักคำ
นั่งอยู่ข้างคนขับรถ พอเห็นว่าทุกคนขึ้นมาครบแล้ว เลยให้คนขับรถเริ่มออกเดินทางได้เลย
รถบัสขนาดกลางเดินทางออกมาจากชุมชนเล็กๆ แต่กลับมุ่งหน้ามาทางในเมือง
คนที่นั่งอยู่บนรถก็รู้สึกว่ารถคันนี้ไม่ได้ขับออกไปนอกเมือง แต่กลับขับเข้าไปในเมือง สีหน้าต่างสงสัยกันเป็นแถบ
“ทำไมรถคันนี้ยิ่งขับเข้าไปในตัวเมืองไปเรื่อยๆล่ะ”
“ใครจะรู้ล่ะ บางทีอาจจะต้องขับผ่านตัวเมืองไปก็ได้ ไปนอกเมืองของอีกฝั่งไง”
พอรถขับมาได้สักครึ่งทางเห็นจะได้ ธายุกรก็เขยิบไปด้านข้างของคนขับรถ พร้อมทั้งเอ่ยปากถาม “นี่คนขับ เราจะไปที่ไหนกันเหรอ?”
“ก็ไปที่ดงเย็นไง พวกคุณไม่รู้เหรอ” คนขับรถตอบคำถาม
เมื่อสิ้นสุดเสียงคนขับรถ คนบนรถที่เสียงดังครึกครื้น ก็เงียบเป็นเป่าสากในทันที