พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 773 ง่ายเหมือนกับกินๆแล้วนอน
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- ตอนที่ 773 ง่ายเหมือนกับกินๆแล้วนอน
บทที่773 ง่ายเหมือนกับกินๆแล้วนอน
เมื่ออารียาฟังคำพูดของอรรจยาจบ ก็รู้สึกประหลาดใจ ยังไงเธอก็คิดไม่ถึง ว่าที่พวกเขาเลี้ยงข้าวนั้น เพื่อต้องการให้เธอไปจากรพีพงษ์
“ขอโทษนะ ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูด” อารียากล่าว
“ไอ้หยา ความหมายง่ายๆ ก็คือให้เธอทิ้งรพีพงษ์ซะ มีเศรษฐีชอบคุณอยู่ เพียงแค่คุณสามารถแยกจากรพีพงษ์ได้ ต่อไปคุณก็สามารถใช้ชีวิตกับเศรษฐีได้แล้ว ต่อไปเป็นชีวิตที่สุขสบายเลยนะ ไม่ใช่อย่างรพีพงษ์ที่ไม่มีอะไรเทียบเคียงได้เลย” อรรจยาพูดอีก
“พูดถูก กังฟูของรพีพงษ์เก่งขนาดนี้ น่าจะใช้เวลาหลายปีแน่นอน คุณอยู่กับเขา ทำได้เพียงใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา แต่ถ้าไปจากเขา คุณจะสามารถใช้ชีวิตแบบหรูหราได้เลยนะ” ผลอุทัยกล่าวตาม
ขอให้อารียาเลิกกับรพีพงษ์ คือภารกิจที่คำรนมอบให้กับอรรจยาและผลอุทัย
คำรนรู้ว่าฝีมือของรพีพงษ์ร้ายกาจ ปีนั้นที่อาจารย์โอบนิธิกระโชกกระชันเขาเห็นมากับตาแล้ว แม้จะสู้ทีเดียวร้อยคน ก็ไม่แน่ว่าอาจจะรั้งอาจารย์โอบนิธิไม่อยู่ รพีพงษ์ฆ่าอาจารย์โอบนิธิ นั่นหมายถึงฝีมือของรพีพงษ์น่าเกรงขามกว่าของอาจารย์โอบนิธิ
แต่ไม่รู้ฝีมือของรพีพงษ์จะเก่งกาจขนาดไหน ก็ต้องกินต้องใช้ เพียงแค่เป็นมนุษย์ ก็ไม่สามารถมองข้ามสิ่งนี้ไปได้
ตามความคิดของคำรน รพีพงษ์เพิ่งจะยี่สิบกว่าปี และเวลาส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้ก็มาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ไม่มีทางพัฒนากิจการของตัวเองได้
ดังนั้นถ้าเขาอยากต่อกรกับรพีพงษ์ เพียงแค่ใช้เงินจัดการก็พอแล้ว
ตอนนี้ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่มีใครไม่ชอบเงิน ถ้ามีล่ะก็ แสดงว่ายังให้เงินไม่มากพอ
คำรนอยากจะแย่งภรรยาของรพีพงษ์ไป ไม่มีการล้างแค้นไหนน่ารังเกียจได้เท่ากับการสวมเขาแล้ว
เขามั่นใจกับเรื่องนี้มาก โดยเฉพาะภรรยาของรพีพงษ์สาวสวย ยิ่งถ้าเป็นหญิงแบบนี้ ก็ยิ่งชอบในของนอกกาย
ถึงเวลานั้นภรรยาของรพีพงษ์ทิ้งรพีพงษ์อย่างไม่ใยดี แล้วมาซบเอาของเขา เขาค่อยโอ้อวดต่อหน้ารพีพงษ์สักหน่อย แค่นี้ก็ทำให้หายแค้นได้แล้ว
แม้ฝีมือของรพีพงษ์จะเก่งกาจ แต่ก็มิอาจเป็นเพราะภรรยาของเขาเปลี่ยนใจชอบคนอื่นแล้วจะลงมือกับเขาได้ คำรนได้ศึกษาวิธีการจัดการกับคนที่มีฝีมือมาอย่างดีแล้ว มิเช่นนั้นเขาไม่สามารถให้ยอดฝีมือแดนปรมาจารย์ไปเป็นสิ่งดึงดูดจุดท่องเที่ยวของเขาได้
หลังจากที่อารียาได้ยินคำพูดของทั้งสองแล้วนั้น ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่พูดเรื่องที่เธอสนไม่สนใจว่ารพีพงษ์มีเงินหรือไม่ ในปีนั้นที่รพีพงษ์ถูกด่าว่าเป็นไอ้สวะของเมืองริเวอร์ เธอก็ไม่ได้ทิ้งรพีพงษ์ไปไหน
ถ้าเพียงแค่เรื่องสิ่งของภายนอก อารียาก็คิดไม่ออกว่าใครจะเทียบกับนายใหญ่ของตระกูลลัดดาวัลย์ คุณชายของเทือกเขากิสนา อาเขยตระกูลพงศ์ธนธดาอย่างรพีพงษ์ได้
“ขอโทษนะ ฉันไม่สนใจในเศรษฐีอะไรที่พวกคุณพูดมา ชีวิตนี้ฉันจะอยู่กับรพีพงษ์คนเดียวเท่านั้น ถ้าพวกคุณยังพูดเรื่องแบบนี้ล่ะก็ ฉันว่าไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอะไรอีกต่อไปแล้ว” อารียากล่าว
หลังจากอรรจยาได้ยินอารียาพูด ก็รีบพูดต่อว่า “ฉันรู้ว่าที่คุณพูดแบบนี้เป็นเพราะว่าคุณยังไม่รู้ว่าเศรษฐีที่พูดถึงอยู่นั้นเป็นใครกันแน่ คุณกลัวว่าพวกเราจะหลอกคุณ อันนี้พวกเราเข้าใจ”
“แต่ฉันบอกเลย ว่าเศรษฐีที่ชอบคุณ เป็นนายใหญ่ของตระกูลจนกวีตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองเย็นหยาง คำรน เมืองเย็นหยางตระกูลจนกวีถือเป็นเจ้าเมืองเลยก็ว่าได้ เขายุผิงเป็นของพวกเขาทั้งหมด ทรัพย์สินของตระกูลจนกวีไม่น้อยกว่าหมื่นล้าน ของพวกนี้ดึงดูดคุณไม่ได้เลยหรอ?”
อารียาบึนปาก กล่าว “ขอโทษนะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเงิน และ……หมื่นล้านก็ไม่ถือว่าเยอะตรงไหน” หลังจากที่ผลอุทัยและอรรจยาได้ยินคำพูดของอารียาแล้วนั้น ก็งงกับพักใหญ่ พวกเขาไม่คาดคิดว่าอารียาจะชอบแบบนี้ แม้แต่ทรัพย์สินหมื่นล้านยังไม่เอา มันเสแสร้งเกินความจำเป็นไปแล้ว
ใช่ ในสายตาพวกเขา อารียากำลังเสแสร้งอยู่
แต่ทว่าตอนที่อารียาดูแลตระกูลลัดดาวัลย์แทนรพีพงษ์นั้นในมือมีทรัพย์สินไม่น้อยไปกว่าหมื่นล้าน ไม่ว่ายังไง อารียาก็เป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน จะสนใจในเงินแค่นี้ได้ไงกัน
“คุณอารียา ฉันว่า บางครั้งก็ต้องรู้จักพอดี ทรัพย์สินหมื่นล้าน ไม่ใช่เรื่องตลก ดูลักษณะของรพีพงษ์ สวมใส่ชุดธรรมดา แม้แต่พันล้านก็ไม่น่าจะมีนะ ไม่ว่าจะยังไง นายใหญ่ของตระกูลจนกวี ก็ดีกว่ารพีพงษ์นะ” อรรจยากล่าว
อารียาเริ่มรำคาญขึ้นมาแล้ว เธอไม่อยากถกเถียงกับสองคนนี้ว่ารพีพงษ์ดีกว่านายใหญ่ของตระกูลจนกวี เพราะในใจเธอ ไม่มีใครเทียบกับรพีพงษ์ได้
“ฉันบอกแล้วนะ ว่าอย่าเสียเวลากับเรื่องนี้อีก มีเช่นนั้นอาหารมื้อนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องกินมันแล้ว” อารียากล่าวอย่างโมโห
อรรจยามองเธออย่างเหยียดหยาม แล้วกล่าว “กินอาหารไปเกือบหมดแล้วคุณค่อยพูดประโยคนี้ อาหารมื้อนี้เจ้าสำนักคำรนเป็นคนเลี้ยงนะ คุณไม่คิดบ้างหรอ ว่าอยู่กับรพีพงษ์ ชาตินี้ก็ไม่มีทางได้ทานอาหารดีๆแบบนี้หรอก”
ผลอุทัยใช้แขนถองอรรจยา แล้วพูดเบาๆว่า “คุณระวังหน่อย เป้าหมายของเราคือรพีพงษ์ไม่ใช่เธอ ถ้าอนาคตเธออยู่กับนายใหญ่ตระกูลจนกวีล่ะก็ พวกเราแตะต้องไม่ได้เลยนะ”
อรรจยาเพิ่งรับรู้ได้ถึงข้อเสียของตัวเอง แล้วรีบยิ้มให้อารียา จากนั้นกล่าวว่า “ฉันพูดอะไรตรงๆ คุณอย่าถือสา”
เพราะคำพูดของพวกเขาจึงทำให้อารียากินข้าวไม่ลง ได้แต่นั่งโมโห
ไม่นาน รพีพงษ์กลับมา เห็นอารียาไม่สบอารมณ์ จึงได้ถามว่า “เป็นอะไร?”
อารียาจ้องไปที่ผลอุทัยและอรรจายา ไม่คิดว่าจะปิดบังเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงได้เล่าให้รพีพงษ์ฟังถึงสิ่งที่เขาพูดไว้
หลังจากที่รพีพงษ์ได้ยินก็ขมวดคิ้ว มองไปที่ผลอุทัยและอรรจยาอย่างอารมณ์เสีย
ผลอุทัยทั้งสองมองไปทางอื่นอย่างรู้สึกผิด พวกเขามองว่า แม้อารียาจะเสแสร้งว่าไม่พอใจแต่ก็ไม่น่าจะบอกรพีพงษ์ทั้งหมด เป็นผู้หญิงน่าโง่จริงๆ
เมื่อได้ยินว่าเขายุผิงเป็นของตระกูลจนกวี รพีพงษ์ก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าทำไมตระกูลจนกวีต้องจ้องภรรยาของตนเอง
เขาดูแคลน ตระกูลจนกวีอยากจะลงมือ ไม่เช็คสักหน่อยว่าอีกฝ่ายมีแบ็คยังไง ตอนนี้ตัวตนของรพีพงษ์ก็ไม่ได้เป็นที่ปิดบังอะไรนัก สืบค้นสักหน่อยก็เจอแล้ว เสียดายคนของตระกูลจนกวีคิดว่าเขาเป็นคนจนคนหนึ่งไม่มีแบ็คอะไร
ดูๆไปการที่สวมใส่ชุดธรรมดา บางครั้งก็ได้ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดเช่นกัน
รพีพงษ์หันไปมองผลอุทัยและอรรจยา ถาม “นายใหญ่ของตระกูลจนกวีให้พวกคุณมาก?” อรรจยาเห็นว่าเรื่องราวได้ถูกเปิดโปงแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก จึงได้ตะคอกไปยังรพีพงษ์ว่า “ใช่ นายใหญ่ของตระกูลจนกวีให้ฉันมา พวกเรามันเสแสร้งแล้ว พูดตรงๆแล้วกัน นายใหญ่ของตระกูลจนกวีชอบภรรยาคุณ เขาหวังว่าเธอจะไปจากคุณ”
“รพีพงษ์ ทรัพย์สินของตระกูลจนกวีมีเป็นหมื่นล้าน คุณที่สวมใส่ได้แค่ของข้างทางจะต่อกรกับเขาได้ไงกัน แม้ว่าคุณจะฝีมือดี ก็ไม่มีทางให้คุณภาพชีวิตที่ดีกับคุณอารียาได้”
“คุณถอยไปเอง ไม่แน่ถ้าเจ้าสำนักคำรนดีใจ อาจจะให้เงินเป็นค่าชดเชยก็ได้นะ ผู้รู้สถานการณ์คือผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศ คุณคิดดูดีๆ”
รพีพงษ์บึนปาก กล่าว “ตระกูลจนกวีที่เล็กๆ อยากจะแย่งภรรยาผมรพีพงษ์ ไม่รู้จักชั่วดีเลยนะ”
อรรจยาตาโต กล่าว “รพีพงษ์ แกอย่ามาเสแสร้งอีกเลย อาหารมื้อนี้เค้าเป็นคนจ่ายเงิน มื้อนี้แปดหมื่นเลยนะ คุณเลี้ยงไหวไหม ถ้าคุณยังพูดแบบนี้อีก อาหารมื้อนี้คุณจ่ายเองแล้วกัน พวกเราไม่สนแล้ว”
เธอรู้สึกว่าตัวเองพูดแบบนี้ รพีพงษ์ต้องขี้ขลาดแน่ๆ เพราะมีน้อยคนนักที่จะยอมจ่ายเงินแปดหมื่นเพื่ออาหารมื้อเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรพีพงษ์ที่สวมใส่ชุดธรรมดา
แต่สิ่งที่ทำให้เธอคิดไม่ถึงก็คือ รพีพงษ์ไม่เก็บมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
“ฉันจ่ายเงิยแล้วไง อย่าต้องพูดถึงมื้อเดียว แม้จะซื้อภัตตาคารนี้ ง่ายเหมือนกับกินๆแล้วนอน