พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 76 เธียรวิชญ์เขาจะให้ฉันเอง
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- ตอนที่ 76 เธียรวิชญ์เขาจะให้ฉันเอง
บทที่76 เธียรวิชญ์เขาจะให้ฉันเอง
เมื่อเคาน์เตอร์ได้ยินเสียงรพีพงษ์ จึงรีบขมวดคิ้ว จากนั้นใช้น้ำเสียงเหลืออดพูดขึ้นว่า“อุตส่าห์ไว้หน้าแล้วยังไม่รับอีก ในเมื่อคุณไม่รู้ผิดชอบชั่วดีขนาดนี้ ก็อย่ามาโทษว่าฉันไม่เกรงใจแล้วกัน!”
“โยนเขาออกไป!”
พวกยามรักษาความปลอดภัยรีบรุดเข้ามาหารพีพงษ์
พนักงานในบริษัทต่างก็มองรพีพงษ์อย่างสมน้ำหน้า สีหน้าต่างแสดงความเย้ยหยัน
“สมองพิการจริงจริ๊ง ยังกล้าท้าทายยามของบริษัทเราอีก ยามพวกเนี้ยเราคัดสรรมาอย่างดี ทุกคนเก่งๆทั้งนั้น เขาจะไปสู้ได้ไงกัน”
“คนๆนี้คงจะน้ำเข้าสมองแน่ๆ ในบรรดายามบริษัทของเรา มีหลายคนที่ผันตัวมาจากบอดี้การ์ด แค่ยกมือก็ซัดเจ้านั่นกระเด็นกระดอนไปไม่รู้ทิศแล้ว”
“พวกเธอลืมแล้วเหรอครั้งที่แล้วคนที่มาอาละวาดที่บริษัทเรา จุ๊ๆ ได้ยินว่าตอนนี้ยังไม่ออกจากโรงพยาบาลเลย ดูท่าจุดจบเจ้านั่นก็คงไม่ต่าง”
……
ยามรักษาความปลอดภัยสิบกว่าคนล้อมรพีพงษ์เอาไว้
คนที่นำหน้าแค่นยิ้มเย็นชาให้รพีพงษ์ แล้วพูดขึ้น“เจ้าหนู คนที่กล้ามายุ่มย่ามในบริษัทเราน่ะ ตอนนี้มันนอนแอ้งแม้งอยู่ในโรงพยาบาลโน่น ฉันกำลังคันไม้คันมือพอดีเลย วันนี้ก็ใช้แกเป็นกระสอบทรายแล้วกัน แกก็อย่าร้องโอดโอยล่ะ”
“อย่ามัวแต่พล่ามอยู่เลย รีบเข้ามาเถอะ”รพีพงษ์เปิดปากพูด
ยามสิบกว่าคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน ต่างก็รู้สึกว่ารพีพงษ์กำลังล้อเล่นกับพวกเขา
“ช่างไม่กลัวตายเลยนะ ยังกล้าให้พวกเราบุกขึ้นพร้อมกันอีก ดูท่าน่าจะใช้ชีวิตมาจนเบื่อแล้วละมั้ง”
“ช่างแม่งมันเถอะ ซัดไปสักที เดี๋ยวมันก็ไม่กล้าคิดแล้ว”
“ข้าทนไม่ไหวแล้วว่ะ อยากจะลองแทนพวกมึงจริงๆว่ากระดูกไอ้นี่มันแข็งหรือเปล่า!”
ยามคนหนึ่งปล่อยหมัดไปทางรพีพงษ์ หมัดนั้นไม่เบาเลยทีเดียว
รพีพงษ์เห็นยามลงมือ เขาก็ขยับตัว ยามพวกนี้ดูกำยำเหลือเกิน แต่เมื่อเทียบความรวด
เร็วกับรพีพงษ์แล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับเต่าคลาน
หมัดของรพีพงษ์ไวปานลมกรด ผสานกับท่วงท่าการเคลื่อนไหวของร่างกาย และหมัดเร็วที่พุ่งไปทางยามเหล่านั้นปานสายฟ้าแลบ
ถ้าเขาปล่อยหมัดไปอีก จะต้องมียามล้มไปกองกับพื้นแน่นอน
ยามที่ผันตัวมาจากโค้ชฝึกก็ไม่รามือ พวกเขากล้ามเนื้อเต็มตัวเป็นมัดๆ แต่พอเจอหมัด
ของรพีพงษ์เข้าไป ต่อให้กล้ามเนื้อเป็นเหล็กก็เถอะ คิดว่าก็ไม่น่าจะทานไหว
คนที่มามุงดูต่างคิดว่ารพีพงษ์จะต้องโดนอัดจนเละแน่นอน แต่พอเห็นฝีไม้ลายมือรพีพงษ์แล้ว ทุกคนต่างก็ตกตะลึง
ช่วงเวลาอึดลมหายใจ ยามพวกนั้นลงไปกองระเนระนาดอยู่บนพื้น ไม่มีข้อยกเว้น
คนที่มุงดูต่างตะลึงจนผงะถอยไปสองสามก้าว กลัวว่ารพีพงษ์จะปล่อยหมัดมาโดนพวก
เขาคนละสองสามหมัด
รพีพงษ์ตบมือตัวเองเบาๆ มองดูพวกยามที่นอนกองบนพื้น ยิ้มแล้วพูดขึ้น“สำหรับยามเนี่ย พวกนายผ่านนะ แต่ว่าถ้าคิดจะขวางฉัน ยังอีกไกล”
พูดจบ รพีพงษ์ก็เดินไปทางลิฟต์ ทุกคนต่างเปิดทางออกให้รพีพงษ์ ไม่มีใครกล้าขวางเขาไว้
คนที่นั่งเคาน์เตอร์กลัวจนหน้าซีดเผือด ตกใจจนหลบไปอยู่มุมเคาน์เตอร์ ไม่กล้าออกมา
พอรพีพงษ์เข้าไปในลิฟต์แล้ว จึงกดไปที่ชั้นแผนกผู้จัดการ
เจตนิพัทธ์ไปเอาเอกสารที่แผนกอื่นๆ จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ชั้นล่าง คิดว่ารพีพงษ์คงกำลังโดนยามซ้อมอยู่
รพีพงษ์หาออฟฟิศเจอ จึงเปิดประตูแล้วเข้าไป ข้างในไม่มีคน เขาจึงนั่งลงบนเก้าอี้
เพราะรู้ว่าเจตนิพัทธ์คงไม่ให้หนังสือสัญญากับเขาง่ายๆแน่นอน เขาจึงโทรศัพท์หา
เธียรวิชญ์ บอกให้เขามาทางนี้
“ได้ครับ พี่รพี พี่รอสักครู่นะครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”เธียรวิชญ์ตอบอยู่ในสายโทรศัพท์
รพีพงษ์เพิ่งวางหูโทรศัพท์ ประตูออฟฟิศก็เปิดออก เจตนิพัทธ์เดินยิ้มเข้ามาอย่างดีอกดี
ใจ แต่พอเขาเห็นรพีพงษ์นั่งยิ้มอยู่บนเก้าอี้ เขาจึงสะดุ้งตกใจ
“รพีพงษ์ มาได้ไง”เจตนิพัทธ์พูดอย่างตกใจ
“ก็นั่งลิฟต์ขึ้นมาน่ะสิ”รพีพงษ์ตอบ
“เป็นไปได้ไง!พวกยามไม่ได้โยนนายออกไปแล้วเหรอ”เจตนิพัทธ์ทำหน้าสงสัย
“พวกเขาน่ะเหรอ โดนฉันซ้อมจนหมอบแล้วล่ะ”รพีพงษ์พูดเสียงเรียบ
“ไอ้บ้า!ยามพวกนั้นน่ะสอบคัดเลือกมาอย่างละเอียด แค่นาย จะซัดพวกเขาหมอบได้ไง อย่ามาโม้หน่อยเลย”เจตนิพัทธ์ย่อมไม่เชื่อในความสามารถของรพีพงษ์แน่นอน
“แล้วแต่จะเชื่อ”รพีพงษ์ยักไหล่ตอบ
“ฉันว่านายโดนโยนออกไป แล้วแอบกลับเข้ามาใหม่ต่างหาก รพีพงษ์ ฉันจะบอกนายให้ ต่อให้นายเข้ามาในออฟฟิศฉัน ฉันก็ให้หนังสือสัญญานายไม่ได้ เงื่อนไขฉันพูดไปแล้ว ขอแค่นายตกลง ฉันถึงจะให้หนังสือสัญญานายได้”เจตนิพัทธ์เดินไป วางเอกสารที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ
“ไม่ต้องนายให้หรอก เดี๋ยวเธียรวิชญ์ก็เอามาให้เอง”รพีพงษ์เปิดปากพูด
เจตนิพัทธ์แค่นหัวเราะ พูดขึ้น“แม้ว่าจะไม่รู้ว่านายรู้ชื่อประธานบริหารของเรายังไง แต่นายไม่หัดส่องกระจกดูบ้าง สวะอย่างนายเนี่ยนะ คู่ควรถึงขนาดประธานของเราเอาเอกสารมาให้กับมือเลย”
รพีพงษ์ไม่ได้ใส่ใจเจตนิพัทธ์ เขาขี้เกียจไปโอภาปราศรัยกับพวกคางคกขึ้นวอ
เจตนิพัทธ์เห็นรพีพงษ์ยังนั่งวางท่าอยู่กับที่ จึงรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก หยิบโทรศัพท์ขึ้น โทรเรียกยามขึ้นมา
สิ่งที่ทำให้คิดไม่ถึงคือ ไม่มีใครรับโทรศัพท์เลย ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมาก ปกติแค่โทรไปกริ๊งเดียว ไม่กี่วินาทีก็รับสายแล้ว
“พวกสวะทั้งนั้น ไม่รู้เสียเงินเลี้ยงพวกสวะกันมากมายทำไม เวลาสำคัญแบบนี้ พึ่งพาไม่ได้”เจตนิพัทธ์สบถ
รพีพงษ์ถือวิสาสะพลิกดูของบนโต๊ะ รอให้เธียรวิชญ์มา
เจตนิพัทธ์จ้องรพีพงษ์เขม็ง จู่ๆยิ้มให้แล้วพูดว่า“รพีพงษ์ นายนั่งสบายๆตรงนี้ คงไม่รู้สินะว่าอารียาได้มาหาฉันแล้ว”
รพีพงษ์ตกตะลึง เปิดปากถาม“เธอมาหานายทำไม”
“แน่นอนว่าต้องการหนังสือสัญญา แต่ฉันไม่ได้ให้เธอหรอกนะ ฉันบอกให้เธอหย่ากับนาย แต่เธอกลับยอมละทิ้งหนังสือสัญญาเพื่อสวะอย่างนาย ทำให้ฉันประหลาดใจมาก”เจตนิพัทธ์เปิดปากพูด
ฟังถึงตรงนี้ รพีพงษ์รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าอารียาจะตัดสินใจเลือกแบบนี้
ท้ายที่สุดเธอเลือกรพีพงษ์ ไม่ใช่หนังสือสัญญาฉบับนั้น ทำให้รพีพงษ์รู้สึกว่า การยืนหยัดในทุกอย่างของเขา มันคุ้มค่าจริงๆ
“คนที่ไม่มีอะไรดีเลยอย่างนาย แคลร์เขาไม่เหลียวแลอยู่แล้วล่ะ นอกจากนายจะทึกทักไปเอง ใครแต่งกับนาย ซวยจริงๆ”รพีพงษ์แค่นขอด
รพีพัทธ์สีหน้าเดือดดาลขึ้นมาทันที คิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะจี้ใจดำของเขา จนทำให้เขา
อยากฉีกรพีพงษ์ออกเป็นชิ้นๆ
เขาพยายามสงบสติอารมณ์ เดิมทีเขาอยากบอกรพีพงษ์ ว่าเขาได้ให้ชรินทร์ทิพย์กับ
นภทีป์บอกเรื่องนี้ไปแล้ว ถึงเวลานภทีป์ก็คงจะกดดันให้อารียาเลิกกับรพีพงษ์
แต่ว่ารพีพงษ์ดันมาขวางทางเขาเสียก่อนนี่ เจตนิพัทธ์เลยไม่ได้พูดกล่าวออกมา
ไอ้บ้าเอ๊ย ลำพองใจไปก่อนเถอะ ถ้าเดาไม่ผิด ชรินทร์ทิพย์คงบอกเรื่องนี้กับคุณท่านบ้านฉัตรมงคลแล้วล่ะ ไม่แน่ว่าคุณท่านบ้านฉัตรมงคลคงจะบอกเรื่องนี้กับอารียาแล้ว ถ้านายกลับไปแล้วจู่ๆพบว่าอารียาหย่ากับนาย ดูสินายยังจะจองหองได้ไหม”เจตนิพัทธ์บ่นพึมพำ
รพีพงษ์จ้องเอกสารบนโต๊ะเจตนิพัทธ์เขม็ง ไม่นานก็ค้นพบรอยรั่วในการทำงานของเจตนิพัทธ์ มีหลายปัญหาง่ายๆ ที่เจตนิพัทธ์กลับไม่เจอ
ในฐานะผู้จัดการ ถ้าหากงานมีข้อผิดพลาด จะเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
เขาจ้องไปที่เจตนิพัทธ์ เปิดปากพูด“ทำไมนายทำงานผิดพลาดเยอะขนาดนี้ จากความสามารถของนาย ไม่น่าจะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้เลยนะ”
เจตนิพัทธ์ถลึงตา เปิดปากพูด“ไอ้บ้านายหยุดพล่ามอยู่ตรงนี้เถอะ กูอาศัยความสามารถอยู่ในตำแหน่งนี้โว้ย ถ้ากูรับหน้าที่ไม่ได้ มึงจะมารับแทนหรือไง ตลกสิ้นดี”
รพีพงษ์หยิบเอกสารขึ้นมาฉบับหนึ่ง ชี้ไปที่ข้อผิดพลาดมุมบน แล้วพูดว่า“ในฐานะที่เป็นผู้จัดการ เรื่องพื้นฐานแค่นี้ก็ยังผิดพลาด นายว่านายเหมาะกับตำแหน่งนี้หรือเปล่าล่ะ”
เจตนิพัทธ์จ้องไปที่ตรงนั้น พบว่าผิดจริงๆด้วย เขาชักสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที
“นายจะไปรู้อะไร คนต่อให้เก่งกาจแค่ไหน ก็ต้องมีพลาดบ้างแหละ ก็แค่ฉันประมาทไปหน่อย”เจตนิพัทธ์แก้ตัว
“อ๋อเหรอ งั้นตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้ แล้วก็ยังมีตรงนี้ นายก็ประมาทไปหมดเลยสิ มีผู้จัดการแบบนายนี่ บริษัทคงอยู่ได้อีกไม่กี่ปี ก็คงจบเห่”รพีพงษ์ถาม
เจตนิพัทธ์ทำสีหน้าไม่ถูก จึงรีบแย่งเอกสารในมือของรพีพงษ์กลับมา
“นายไม่ต้องมาเป็นห่วงแทนฉันหรอก จะยังไงก็ตามแต่ ฉันก็เป็นผู้จัดการที่นี่ ส่วนนายก็เป็นแค่สวะ มีสิทธิอะไรมาตักเตือนฉัน”เจตนิพัทธ์พูดกร่าง
“เดี๋ยวฉันจะบอกเธียรวิชญ์เปลี่ยนตำแหน่งให้นายเอง ความสามารถการทำงานของนายมันอ่อนด้อย เป็นแค่หัวหน้ากลุ่มก็พอ”รพีพงษ์เอ่ยปากพูด
เจตนิพัทธ์เหงื่อออกเต็มหน้าผาก ตำแหน่งผู้จัดการของเขา เขาได้มาด้วยการติดสินบน
คน ตอนนี้พอรพีพงษ์พูดแบบนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมตื่นเต้นเป็นกังวล
“นายรีบไสหัวไปเลย ยังมีหน้าคิดจะไปรายงานประธานของพวกเราอีกเหรอ อย่าฝันไปหน่อยเลย ที่นี่คือที่ทำงานของฉัน ถ้านายยังไม่ออกไป ฉันจะแจ้งความ”เจตนิพัทธ์เปิดปากพูด
“ฉันโทรหาเธียรวิชญ์แล้วล่ะ เดี๋ยวเขาก็มา เขามาแล้วค่อยว่ากัน”รพีพงษ์พูดเสียงเรียบ
เจตนิพัทธ์หัวเราะเหอะๆ แล้วพูดขึ้น“รพีพงษ์ นายคิดว่าตัวเองเป็นคนใหญ่คนโตอย่างนั้นหรือ ยังโทรศัพท์หาประธานของเราอีก ฉันว่านายอาการหนักอยู่นะ วันนี้ท่านประธานมีประชุมสำคัญ ถ้าเขามาได้ ฉันจะรีบออกจากตำแหน่งผู้จัดการเลย!”
เจตนิพัทธ์เพิ่งสิ้นเสียงพูด ประตูห้องทำงานก็เปิดออก จากนั้นผู้ชายที่ตีสีหน้าเคร่งขรึม
คนหนึ่งก็เดินฉับๆเข้ามา
เป็นเธียรวิชญ์!
“ว่าไง นายไม่อยากทำงานแล้วใช่ไหม”เธียรวิชญ์จ้องเจตนิพัทธ์พูดเสียงเย็นชา