พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 57 มื้อละหนึ่งแสนแปดหมื่นหยวน
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- ตอนที่ 57 มื้อละหนึ่งแสนแปดหมื่นหยวน
บทที่ 57 มื้อละหนึ่งแสนแปดหมื่นหยวน
เดิมทีเจตนิพัทธ์ยังหัวเราะเยาะเพราะคิดว่ารพีพงษ์คงไม่กล้าสั่งอาหารที่มีราคาแพงแน่ๆ แต่หลังจากได้เห็นวิธีการสั่งเกินจริงของรพีพงษ์แล้ว เขาก็ตกตะลึงทันที
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นาน อาหารที่รพีพงษ์เป็นคนสั่งราคาก็เกือบหลายหมื่นหยวนแล้ว
ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นต่างตกตะลึงกับวิธีการสั่งอาหารของรพีพงษ์ แต่เนื่องจากมื้อนี้พวกเขาไม่ได้เป็นคนจ่ายจึงไม่มีใครออกปากห้ามรพีพงษ์
คนอื่นๆไม่ได้สนใจว่ารพีพงษ์จะสั่งอาหารมาเยอะขนาดไหน แต่เจตนิพัทธ์กลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะอาหารมื้อนี้เขาจะต้องออกเงินจ่ายครึ่งหนึ่ง อาหารพวกนี้ที่รพีพงษ์สั่งมามันเกินงบที่เขาต้องออก
เขาตบโต๊ะและตะคอกใส่รพีพงษ์ “นายบ้าไปแล้วหรือไง? สั่งมาเยอะขนาดนี้ นายกินหมดหรือ?”
รพีพงษ์เงยหน้ามองเจตนิพัทธ์แล้วพูดว่า “พวกเรามีกันตั้งสิบกว่าคน ถ้าอยากจะแก้รายการอาหารที่สั่งก็ง่ายนิดเดียวนี่?”
“งั้น…งั้นนายก็…”เดิมทีเจตนิพัทธ์ต้องการจะบอกว่างั้นนายก็ไม่จำเป็นต้องสั่งอาหารแพงๆมาเยอะขนาดนี้ก็ได้ แต่พอคิดว่าตอนนี้ทุกคนกำลังจับจ้องมาที่เขา ถ้าหากเขาพูดออกไปแบบนี้ ดูเหมือนเขาจะกลายเป็นคนใจแคบยิ่งกว่ารพีพงษ์
สุดท้ายจึงทำได้เพียงกลืนคำพูดลงท้อง
“ทำไมล่ะ? นายคิดว่าฉันสั่งอาหารแพงเกินไปหรือ?”รพีพงษ์พูด
ในขณะนั้นใบหน้าของเจตนิพัทธ์ก็เต็มไปด้วยความอับอาย เขาพูดแก้ตัวว่า “สั่งอาหารแค่นี้ ฉันจะคิดว่ามันแพงได้อย่างไร ฉันก็แค่รู้สึกว่านายสั่งแต่อาหารจานเดียวตั้งสิบกว่าชุด กลัวว่าทุกคนจะกินแล้วเลี่ยนเอาได้”
ในขณะนี้ทุกคนต่างคิดว่าเจตนิพัทธ์ช่างเป็นคนเอาใจใส่ และเริ่มชื่นชมในตัวเขา
“หัวหน้าห้องเป็นคนดีจริงๆเลย ยังกลัวว่าพวกเราจะเลี่ยนเอาได้ถึงไม่สั่งของแบบนั้นทีละเยอะๆ”
“ใช่ แม้ว่าอาหารพวกนี้จะมีราคาแพง แต่สำหรับหัวหน้าห้องแล้วก็คงไม่เป็นไร เขาคงไม่เสียดายเงินพวกนี้หรอก”
“ฉันคิดว่ารพีพงษ์จะเสียดายเองน่ะสิ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าหัวหน้าห้องกลัวแพง เขาก็ไม่ดูตัวเองเลย คิดจะเทียบชั้นกับหัวหน้าห้อง ยังห่างกันอีกเยอะ”
แม้ว่าคนเหล่านี้จะเข้าข้างเจตนิพัทธ์ แต่เขากลับดูไม่ดีใจเลยสักนิด ตอนนี้ทำได้เพียงไหลไปตามน้ำ
เมื่อรพีพงษ์ได้ยินเจตนิพัทธ์พูด เขาจึงร้อง อ๋อ และหันหน้าไปทางบริกร “เอาตามรายการอาหารหน้านี้หนึ่งชุด ยังมีหน้านี้ แล้วก็หน้านี้อีก”
เมื่อเห็นว่ารพีพงษ์ใช้วิธีการสั่งอาหารแบบครั้งที่แล้วที่อยู่ในภัตตาคารสปริงแยงซี อยู่ๆเจตนิพัทธ์ก็เริ่มรู้สึกเสียใจ หลังจากที่พูดออกไปแบบนั้น
วิธีการสั่งอาหารทีละหน้า ทีละหน้าจะมีใครรับไหว
ตอนนี้มันสายเกินไปเสียแล้ว แม้ว่าเขาจะรู้สึกเสียใจกับคำพูดที่พูดออกมาเมื่อกี้นี้ก็ตาม
“อะแฮ่ม… รพีพงษ์ นายอย่าสั่งจนหมดสิ ยังมีพวกเครื่องดื่มอีกนะ” ในใจเจตนิพัทธ์อยากสั่งเครื่องดื่มทั่วไป เพราะลำพังแค่ค่าอาหารก็เกือบไม่พอจ่ายอยู่เเล้ว และรพีพงษ์เองก็ควรหยุดสั่งทีละหน้าได้แล้ว
รพีพงษ์พยักหน้าและพลิกไปยังหน้าเครื่องดื่ม เขาดูสักพักแล้วพูดว่า “เอาเหล้าที่แพงที่สุดมาสิบขวด แล้วเครื่องดื่มดีดีมาด้วย”
เมื่อเจตนิพัทธ์ได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ เขาก็แทบจะกระอักเลือด
เหล้าที่แพงที่สุดในโรงแรมบลูสกายอินเตอร์เนชันเนล ขวดหนึ่งก็ปาไปแล้ว 8888 หยวน ซึ่งรพีพงษ์สั่งไปสิบขวด ราคาก็เหยียบเก้าหมื่นหยวนแล้ว
ไอ้หมอนี่บ้าไปแล้วหรือไง?
เจตนิพัทธ์รู้สึกหายใจติดขัดเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดว่าจะจ่ายไปสักหนึ่งหมื่นถึงสองหมื่นหยวน แต่ถ้าคำนวณตามรายการอาหารที่รพีพงษ์สั่งไป หลังจากแชร์กันแล้วเกรงว่าจะกลายเป็นเจ็ดหรือแปดหมื่นหยวนหรืออาจจะมากกว่านั้น
“ไอ้หน้าโง่ ไม่เคยเจอของดีหรือไงถึงได้สั่งเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น นี่มันซวยอะไรเนี่ย อีกอย่างฉันก็ต้องแชร์กับนาย พอถึงตอนนั้นฉันก็ออกได้แค่ครึ่งหนึ่ง ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง ฉันไม่จ่ายด้วยหรอก”
“บ้าเอ๊ย เศษสวะอย่างนายไม่กลัว ฉันจะกลัวทำไม อย่างมากก็แค่เอาเงินฝากมาใช้ก่อน แต่นายน่ะสิ ถ้าพอถึงตอนนั้นแล้วไม่ยอมจ่าย ฉันจะให้คนที่โรงแรมจัดการซะให้เข็ด!”
เจตนิพัทธ์รู้สึกดีขึ้นเมื่อคิดแบบนี้
หลังจากสั่งเครื่องดื่มเสร็จ รพีพงษ์ก็ปิดเมนูอาหารและส่งคืนให้บริกร
“เอาแค่นี้ก่อน เดี๋ยวไม่พอค่อยสั่งอีก” รพีพงษ์พูด
บริกรรีบพยักหน้า ชาตินี้เธอยังไม่เคยเห็นใครสั่งอาหารแพงๆได้สบายอกสบายใจแบบนี้ ในใจคิดว่าคนคนนี้จะต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีท่าทีแบบนี้
หลังจากที่จดเมนูอาหารเสร็จ บริกรก็รีบออกไปให้หลังครัวเตรียมทำอาหาร
บุษบากรมองรพีพงษ์อย่างสงสัย จากนั้นก็ถามอารียาว่า “แคลร์ เธอมาคราวนี้ได้ให้เงินเขาหรือเปล่า เพื่อที่ว่าจะให้เขาได้โอ้อวดต่อหน้าทุกคน?”
อารียาส่ายหน้า “ไม่หรอก รพีพงษ์ใช้เงินตัวเองมาสักพักหนึ่งแล้ว นาฬิกาข้อมือเรือนนี้เขาก็เป็นคนซื้อด้วยตัวเอง เงินเดือนฉันออกจะน้อยขนาดนั้นจะเอาไปซื้อนาฬิกาแพงๆได้อย่างไร”
“งั้นเธอคิดว่าเขาเอาเงินมาจากไหน?” บุษบากรถามไปตรงๆ
อารียาคิดสักพักแล้วพูดว่า “เขาน่าจะหามาเองน่ะแหละ”
บุษบากรมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ในความรู้สึกของเธอที่มีต่อรพีพงษ์ เขาก็เป็นแค่เศษสวะไร้ความสามารถคนหนึ่งมาโดยตลอด จะมีปัญญาหาเงินได้อย่างไร
หรือว่า…รพีพงษ์จะแกล้งทำ?
พอคิดถึงตรงนี้ บุษบากรก็นึกถึงเมื่อก่อนตอนที่อารียาบอกว่าเสียงเจ้าชายขี่ม้าขาวของเธอคล้ายกับเสียงของรพีพงษ์ และตอนนั้นเองเธอก็เป็นคนส่งข้อความให้เจ้าชายขี่ม้าขาว แต่โทรศัพท์ของรพีพงษ์กลับดังขึ้น
เรื่องพวกนี้จึงทำให้เธอสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างรพีพงษ์ และไอดีดวงใจตะวัน
เป็นไปไม่ได้! ใจของบุษบากรไม่อยากจะเชื่อว่ารพีพงษ์ก็คือไอดีดวงใจตะวัน เธอจึงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วส่งข้อความให้ไอดีดวงใจตะวัน
จากนั้นเธอก็หันไปทางรพีพงษ์ แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ
บุษบากรถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนว่าตัวเองจะคิดมากเกินไป
“คนหน้าโง่คนนี้จะกลายเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวได้อย่างไร ฉันนี่ก็งี่เง่าจริงๆยังจะสงสัยอะไรแบบนี้ได้ ถ้าเขาเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวของฉันล่ะก็ คงไม่ซื้อนาฬิกาเรือนละไม่กี่แสนหรอก คงซื้อเรือนละล้านเท่านั้นแหละ” บุษบากรพึมพำ
เธอไม่รู้ว่ารพีพงษ์ได้ปิดเสียงโทรศัพท์มือถือก่อนที่จะเข้ามาในห้องอาหาร ดังนั้นจึงไม่มีสัญญาณเสียงดังขึ้น
หลังจากที่บุษบากรมองรพีพงษ์ด้วยความหยิ่งยโส เธอก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้อีกต่อไป เธอไม่สนใจว่ารพีพงษ์จะได้เงินมาอย่างไร เพราะอย่างไรก็ตามเธอไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าอาหารมื้อนี้
เวลาผ่านไปไม่นานบริกรก็เข้ามาเสิร์ฟอาหาร ทุกคนต่างจดจ้องอาหารที่สวยงามวางละลานตา
“หัวหน้าห้อง พวกเราต้องขอบคุณจริงๆที่ทำให้พวกเราได้กินอาหารดีๆแบบนี้”
“จริงด้วย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้กินอาหารราคาแพงแบบนี้ วันนี้จะต้องดื่มให้คุณสักหน่อยแล้ว”
“มาๆ ทุกคนยกแก้ว ดื่มให้หัวหน้าห้อง ไม่อย่างงั้นเราคงไม่ได้กินเหล้าขวดละ 8888 หยวนนี่หรอก”
……
ทุกคนเริ่มหยิบยกแก้วขึ้นมาและดื่มให้เจตนิพัทธ์
แม้ว่าใบหน้าของเจตนิพัทธ์จะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่หัวใจของเขาก็เลือดไหลซิบ สิ่งที่พวกเขากำลังดื่มอยู่นั้นมันใช่เหล้าเสียที่ไหน มันคือเงินที่เขาหามาด้วยหยาดเหงื่อต่างหากล่ะ
เขาสังเกตเห็นสีหน้าของรพีพงษ์ยังคงสงบเสงี่ยม ราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องเงินค่าอาหารเลยแม้แต่น้อย เขาอดไม่ได้ที่จะแอบกร่นด่าอยู่ในใจ
ทุกคนต่างก็ดื่มด้วยกันอย่างสนุกสนาน และยังคอยรินเหล้าให้เจตนิพัทธ์ตลอด บางคนก็พูดยกย่องชื่นชมเจตนิพัทธ์ เขาจึงได้แต่ยิ้มรับ
เจตนิพัทธ์ดื่มเหล้าเสร็จก็ได้ยินคำชื่นชมจากเพื่อนทุกคน เขาถึงกับตัวลอยไปชั่วขณะ และยังบอกทุกคนว่าเงินจำนวนนี้ก็เป็นแค่เส้นขนเท่านั้น ทุกคนไม่ต้องเกรงใจ
ดูเหมือนทุกคนจะลืมไปว่าอาหารมื้อนี้รพีพงษ์และเจตนิพัทธ์จ่ายกันคนละครึ่ง แต่กลับไม่มีใครสนใจรพีพงษ์
รพีพงษ์ก็ขี้เกียจจะคุยเรื่องพวกนี้แล้ว ในทางกลับกันเขาก็ทานอาหารกับอารียาอย่างมีความสุข
เกือบหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ทุกคนทานอาหารดื่มเหล้ากันอย่างอิ่มหนำสำราญเสร็จแล้ว ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
“หัวหน้าห้อง พวกเราทานต่อไม่ไหวเเล้ว คิดเงินเถอะ” ผู้ชายคนหนึ่งพูด
“ได้ ในเมื่อทุกคนทานกันต่อไม่ไหวแล้ว งั้นฉันจะจ่ายเงินแล้วนะ หลังจากที่จ่ายเงินเเล้วพวกเราไปร้องเพลงกัน!” เจตนิพัทธ์ก็ดื่มไปไม่น้อยจึงพูดเสียงดัง
ทุกคนส่งเสียงเชียร์ทันที
“พวกนายอย่าลืมสิ คราวนี้หัวหน้าห้องกับรพีพงษ์เป็นคนจ่ายนะ ตอนนี้เจ้านั่นเงียบไปแล้วคงคิดจะโกงล่ะสิ”
เจตนิพัทธ์ ยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วมองไปทางรพีพงษ์ด้วยสายตาเย้ยหยัน โดยคิดว่าที่เขานั่งเงียบในเวลานี้เพราะต้องการเบี้ยวเงินจ่าย แต่โชคดีที่มีคนเอ่ยขึ้นมา
“บริกร จ่ายเงิน!”
บริกรรีบนำใบเสร็จชำระเงินมาให้เจตนิพัทธ์
“มื้อนี้ฉันกับคนคนนั้นจ่ายกันคนละครึ่ง ฉันออกแค่ครึ่งเดียว ที่เหลือเขาเป็นคนจ่าย เข้าใจไหม?” เจตนิพัทธ์พูด
บริกรพยักหน้า “ค่าอาหารทั้งหมดเป็นเงิน 186,300 หยวนครับคุณผู้ชาย หากคุณชำระเงินครึ่งหนึ่งก็จะเป็นเงิน 93,150 หยวน”
ปรากฏว่าใบหน้าของเจตนิพัทธ์ยังคงเอ้อระเหยลอยชายเนื่องจากอาการมึนเมา อีกนิดเดียวก็จะล้มลงจากเก้าอี้เเล้ว
“เท่าไหร่นะ?” เจตนิพัทธ์ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“93,150 หยวนครับ” บริกรพูดทวนซ้ำอีกครั้ง
เจตนิพัทธ์กระอักกระอ่วน เงินสดที่กำลังไหลออกจากระเป๋าเป็นเงินกว่าเก้าหมื่นหยวน อาหารมื้อนี้จะทำให้อดีตที่น่ารังเกียจของเขาถูกล้วงออกมา
“อะแฮ่ม คุณไปเก็บเงินกับคนนั้นก่อนเถอะ รอสักครู่ผมจะโอนเงินเข้าบัญชีให้”เจตนิพัทธ์อยากจะดูว่ารพีพงษ์จะจ่ายเงินมากขนาดนั้นได้อย่างไร และจะใช้อะไรเป็นข้ออ้าง
บริกรจึงเดินไปทางรพีพงษ์
“คุณผู้ชาย ค่าอาหารของคุณเป็นเงิน…”
ทุกคนจ้องไปทางรพีพงษ์ด้วยความเย่อหยิ่ง และคิดอยู่ตลอดว่าเขาคงไม่มีปัญญาจ่ายอย่างแน่นอน
“ตอนนั้นทำอวดเก่งดีนัก เขาจะมีเงินมากขนาดนี้ได้ยังไง ไม่แน่ว่าเดี๋ยวคงแก้ตัวน้ำขุ่นๆ”
“อาหารมื้อนี้จ่ายไปกว่าหนึ่งแสนแปดหมื่นหยวน แม้ว่าจะจ่ายแค่ครึ่งเดียวก็ทำคนขวัญกระเจิงเอาได้ ถึงอย่างไรรพีพงษ์ก็ไม่มีปัญญาจ่าย”
“ตามความคิดของฉัน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะให้อารียาเป็นคนจ่ายให้”
……
รพีพงษ์ไม่ได้ทำตัวเหมือนเจตนิพัทธ์ แต่หยิบบัตรธนาคารของตัวเองยื่นให้บริกรแล้วพูดว่า “รูดบัตร”
บริกรรีบรับบัตรนั้นมาแล้วรูด จากนั้นก็ให้รพีพงษ์ใส่รหัสผ่าน
ทุกคนต่างคิดว่าบัตรของรพีพงษ์ใบนั้นไม่สามารถจ่ายเงินเยอะถึงขนาดนี้ได้เด็ดขาด
แต่เวลาต่อมาบริกรก็ยิ้มและคืนบัตรใบนั้นให้รพีพงษ์ “ชำระเงินเรียบร้อยแล้วครับคุณผู้ชาย ขอบคุณที่ใช้บริการกับทางโรงแรมของเรานะครับ!”