พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 56 ฉันแชร์ค่าอาหารกับนาย
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- ตอนที่ 56 ฉันแชร์ค่าอาหารกับนาย
บทที่ 56 ฉันแชร์ค่าอาหารกับนาย
ทุกคนต่างก็เงียบเสียงลงทันที แค่คำว่า “ใบเสร็จ” สองคำนี้ทำให้สายตาที่คอยจ้องจะกินเนื้อสงบลง
วันนั้นเธียรวิชญ์ส่งคนให้นำนาฬิกาข้อมือมาให้รพีพงษ์พร้อมกับใบเสร็จ ตั้งแต่วันนั้นมารพีพงษ์ก็ลืมเก็บมันไว้ที่บ้านและพกติดตัวมาโดยตลอด
ไม่คิดว่าวันนี้จะได้ใช้ประโยชน์
บุษบากรจ้องมองใบเสร็จที่อยู่บนโต๊ะตรงข้างหน้ารพีพงษ์ เธอยังคงมีความสงสัยอยู่ภายในใจเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบขึ้นมาดู
ผู้หญิงที่รู้ดีเกี่ยวกับนาฬิกาVacheron Constantinก็ชะโงกหน้าเข้ามาดู หลังจากที่ดูเสร็จเธอก็ถึงกับตาตั้ง “นี่มันใบเสร็จจริงนี่นา”
ทุกคนต่างร้องอุทานเมื่อมองไปที่รพีพงษ์ด้วยใบหน้าที่เหลือเชื่อ และรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถยอมรับได้
“เขาเป็นคนซื้อนาฬิกาเรือนนี้เองจริงๆหรือ?”
“ไหนบอกว่ารพีพงษ์เป็นแมงดาไง เขาจะมีเงินเยอะขนาดนั้นได้อย่างไร?”
“ว้าว นาฬิการาคาตั้ง 380,000 หยวน เกรงว่าทั้งชีวิตนี้ฉันคงไม่ได้รับของขวัญแพงๆแบบนี้”
เเม้ว่าจะมีข้อสงสัยอีกมากมาย แต่ถึงอย่างไรใบเสร็จนี้ก็เป็นของจริง คนเหล่านี้จึงไม่มีเหตุผลมากล่าวหาว่ารพีพงษ์เป็นคนขโมยนาฬิกาเรือนนี้
เดิมทีเจตนิพัทธ์คิดว่าจะใช้เรื่องนี้ในการทำร้ายรพีพงษ์ เพื่อทำให้อารียาตระหนักได้ว่ารพีพงษ์เป็นเพียงคนขี้ขโมยที่ไม่เอาไหน
ใครจะคิดว่ารพีพงษ์จะพกใบเสร็จมาด้วยจริงๆ ตอนนี้ทุกคนไม่ได้รู้สึกว่าของของรพีพงษ์มีปัญหาอะไร พวกเขาคิดแค่ว่าเขารวยมาก
เจตนิพัทธ์โมโหกำหมัดแน่น พลางบ่นในใจ “หมดคำพูดแล้วจริงๆ ออกมาข้างนอกยังจะพกใบเสร็จมาด้วย คงอยากจะเอาไว้อวดได้ตามอำเภอใจ? ไอ้บ้านนอก!”
พออารียาเห็นว่ารพีพงษ์ควักใบเสร็จออกมาเพื่อเป็นการพิสูจน์ เธอก็ได้แต่ถอนหายใจ เธอเชื่อว่ารพีพงษ์ไม่ขโมยของคนอื่นอยู่แล้ว แต่ทำไปเพื่อต้องการให้ทุกคนสงบปากสงบคำ เขาจึงควักใบเสร็จออกมาเพื่อเป็นการพิสูจน์ โชคดีที่รพีพงษ์พกใบเสร็จติดตัว
เดิมทีบุษบากรยังคิดว่านาฬิกาเรือนนั้นของรพีพงษ์เป็นของแผงลอย ไม่คิดเลยว่าจะเป็นนาฬิกาVacheron Constantinราคา 380,000 หยวน เธอเองก็ประหลาดใจเช่นกัน
อย่างไรก็ตามด้วยอคติที่เธอมีต่อรพีพงษ์ เธอไม่สามารถยอมรับได้ว่ารพีพงษ์จะมีกำลังซื้อนาฬิกาแพงขนาดนั้น เจ้าชายขี่ม้าขาวของเธอต่างหากที่มีความสามารถพอ
“ฮึ มีใบเสร็จแล้วอย่างไร เงินพวกนั้นไม่ใช่เงินส่วนตัวของนายเองเสียหน่อย เป็นเงินที่ได้มาจากอารียาทั้งนั้น นายยังจะภูมิใจอีกนะ” บุษบากรพูดเบ้ปาก
ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของบุษบากร
“รพีพงษ์ก็เป็นแค่ไอ้เศษสวะคนหนึ่ง จะเอาปัญญาที่ไหนมาซื้อนาฬิกาแพงๆได้ นอกเสียจากจะใช้เงินของอารียา”
“อารียาน่าสงสารจริงๆ เห็นๆอยู่ว่าไอ้หน้าด้านคนนี้ใช้เงินของเธอซื้อของขวัญมาให้เธอ กล้าทำเรื่องพวกนี้ออกมาได้อย่างไร”
“คนประเภทนี้น่าขยะแขยง แมงดาชัดๆ พยายามหาทุกวิถีทางเพื่อฉกเงินจากผู้หญิง น่ารังเกียจ”
……
เมื่ออารียาได้ยินคนเหล่านี้วิจารณ์ก็โมโหสุดๆ เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมเชื่อว่ารพีพงษ์เป็นคนซื้อ?
เธออยากออกตัวปกป้องรพีพงษ์ แต่รพีพงษ์กลับเงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้มให้เธอ เพื่อเป็นสัญญาณว่าไม่เป็นไร
คนเหล่านี้ไม่เชื่อในความสามารถของรพีพงษ์ แต่รพีพงษ์ก็ไม่พูดอะไรออกมา เขาเข้าใจว่าการทำให้พวกเขายอมรับในตัวไอ้เศษสวะคนนี้ มันยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก
หากเขาเอาตัวเข้าไปพัวพันกับเรื่องแบบนี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกรงว่าเขาอาจจะทะเลาะกับคนเหล่านี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น และเขาจะไม่สามารถสร้างบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปได้
เมื่อเจตนิพัทธ์ได้ยินหลายคนพูดเกี่ยวกับรพีพงษ์ เขาก็กลอกตาทันทีโดยคิดว่าเงินที่รพีพงษ์นำไปซื้อนาฬิกาจะต้องเป็นเงินของอารียาแน่ๆ
แม้ว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น ก็คงเป็นเงินส่วนตัวที่เขาเก็บออมมานานหลายปีแล้ว
มันก็เป็นแค่ไอ้เศษสวะคนหนึ่ง หากมีเงินส่วนตัวมากถึงขนาดสามารถซื้อนาฬิกาเรือนนั้นได้ เกรงว่าตอนนี้จะไม่มีเงินเหลือแล้ว บางทีเจตนิพัทธ์อาจจะใช้เรื่องนี้มาตบหน้ารพีพงษ์ก็ได้
เขามองไปที่ทุกคนแล้วพูด “พวกเธอก็อย่าพูดไป ไม่แน่ว่าเงินจำนวนนี้อาจจะเป็นเงินของรพีพงษ์เองก็ได้ รพีพงษ์ นายสามารถซื้อนาฬิกาแพงๆขนาดนี้ได้แสดงว่ามีเงินอยู่ในมือไม่น้อยเลยสิ?
“ก็พอมีบ้าง” รพีพงษ์ตอบ
เจตนิพัทธ์แอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ ไม่คิดว่าไอ้หมอนี่จะติดเบ็ดง่ายขนาดนี้
“หมดคำพูดจริงๆ เจตนิพัทธ์อุตส่าห์ให้โอกาสนายแก้ตัว นายยังคิดจะเสแสร้งอยู่อีกหรือ” บุษบากรพูดถากถาง
ทุกคนต่างมองว่ารพีพงษ์เป็นคนหน้าไม่อาย พอพูดยอหน่อยก็ยิ้มหน้าระรื่น
“ดูเหมือนว่ารพีพงษ์จะมีเงินอยู่ไม่น้อย อันที่จริงฉันก็ไม่ได้เชิญนายมาด้วย ดังนั้นงบจึงไม่เพียงพอ ในเมื่อนายมีเงินเยอะขนาดนั้น ถึงขนาดซื้อนาฬิกาVacheron Constantinได้ เพราะฉะนั้นค่าอาหารวันนี้นายรับผิดชอบไปส่วนหนึ่ง? พอถึงตอนที่พวกเราไปร้องเพลง ฉันจะเป็นคนรับผิดชอบเองเป็นยังไง?” เจตนิพัทธ์พูด
“ได้ ฉันจะแชร์ค่าอาหารกับนาย” รพีพงษ์พูดเรียบๆ
เจตนิพัทธ์แทบหัวเราะออกมา คนหน้าโง่อย่างรพีพงษ์ไม่เพียงแค่ตอบตกลง ทั้งยังคิดจะแชร์ค่าอาหารกับเขา เกรงว่าไอ้หมอนี่คงไม่รู้ว่ามาทานอาหารที่นี่มื้อหนึ่งต้องจ่ายเท่าไหร่
“ในเมื่อนายตกลงแล้ว งั้นวันนี้ฉันจะทำให้นายรู้ว่าค่าอาหารโรงแรมระดับไฮเอนด์ไม่ใช่สิ่งที่นายสามารถจ่ายได้ พอถึงเวลาคิดเงินค่าอาหารแล้วนายจ่ายไม่ไหว ฉันจะคอยออกหน้าให้เอง อารียาจะต้องผิดหวังในตัวนายอย่างเเน่นอน แล้วหันมาซบอกฉัน” เจตนิพัทธ์คิดในใจ
“หมดทางเยียวยาแล้วจริงๆ ยังคิดจะแชร์ค่าอาหารกับหัวหน้าห้อง ฉันจะคอยดูซิว่าเจ้านี่จะแก้ตัวอย่างไรตอนที่ไม่มีเงินจ่าย”
“บ้าจริงๆ ไม่เคยฉี่แล้วชะโงกดูเงาตัวเองหรือไงถึงกล้าออกตัวแชร์ค่าอาหาร เขาคิดว่าเทียบกับหัวหน้าห้องได้งั้นหรือ?”
“แล้วแต่เหอะ พอถึงตอนนั้นไม่มีเงินจ่าย คนที่ขายหน้าก็คือเขาเอง”
“สงสารอารียาจัง ผู้ชายคนนี้ไม่ให้ความสำคัญกับอารียาเลย พอตอนเขาไม่มีเงินจ่ายจะต้องให้อารียาเป็นคนออกให้แน่เลย ทำไมอารียาถึงซวยขนาดนี้นะที่ลงเอยกับไอ้หมอนี่”
……
แน่นอนว่ารพีพงษ์เข้าใจแผนการของเจตนิพัทธ์เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงออกตัวแชร์ค่าอาหาร ในเมื่อเจตนิพัทธ์อยากให้เขาหน้าแตก งั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเจตนิพัทธ์แล้ว จะได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าล้มละลาย
เจตนิพัทธ์ยื่นเมนูให้รพีพงษ์ เขาอยากเห็นเวลาที่รพีพงษ์ได้เห็นราคาอาหารแล้วนึกเสียใจภายหลัง
“ในเมื่อเราจะแชร์ค่าอาหารกัน นายก็เลือกก่อนได้เลย เลือกของที่ชอบ ไม่ต้องเกรงใจ”
รพีพงษ์รับเมนูอาหารมา หลังจากที่ดูแล้วก็ถามว่า “นายแน่ใจนะว่าจะให้ฉันเป็นคนสั่ง?”
เจตนิพัทธ์คิดว่ารพีพงษ์คงกำลังตกใจกับราคาอาหารพวกนั้น เขาแอบยิ้มในใจ “ใช่แล้ว นายอย่าคิดว่ามันแพง มีฉันช่วยออกอีกครึ่ง ทุกคนจะได้ทานอาหารกันอย่างมีความสุข”
“งั้นได้” รพีพงษ์รับคำเจตนิพัทธ์แล้วพลิกเมนูอาหาร
เขาเงยหน้ามองบริกร “เตรียมจดนะ”
“พวกเราสิบกว่าคน เอาเมนูที่ 588 กุ้งมังกรขนาดครึ่งกิโล เอามาก่อนสิบกิโล”
“เมนูที่ 388 พระกระโดดกำแพง คนละหนึ่งชุด”
“ซุปเป๋าฮื้อระดับพรีเมี่ยมเอามาก่อนห้าชุด”
“ยังมีนี่ นี่ แล้วก็นี่อีก…”
……