พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 55 นาฬิกาของเธอเป็นของที่ขโมยมา
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- ตอนที่ 55 นาฬิกาของเธอเป็นของที่ขโมยมา
บทที่ 55 นาฬิกาของเธอเป็นของที่ขโมยมา
บรรยากาศเงียบลง ทุกคนหันไปมองสมาชิกบัตรทอง
ห้องอาหารห้องนี้คือห้องที่คนคนนี้สละให้ ดังนั้นหลังจากที่เห็นสมาชิกบัตรทองเดินเข้ามา พวกเขาจึงรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย
หากคนคนนี้ต้องการจะใช้ห้องนี้ในตอนนี้ เขาก็สามารถใช้ห้องนี้ได้ แม้ว่าเจตนิพัทธ์จะเป็นคนจองก่อนแต่ก็ต้องยึดตามลำดับความสำคัญของบัตรทอง
พอเจตนิพัทธ์เห็นคนคนนั้นเดินเข้ามา เขาก็รู้สึกพะว้าพะวังเล็กน้อยและรีบยืนขึ้น
สมาชิกบัตรทองคนนั้นกวาดสายตามองไปที่ทุกคน บริกรคนนั้นบอกกับเขาว่าคนพวกนี้มีใครคนใดคนหนึ่งเป็นเพื่อนกับท่านประธานบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ป เขาทราบดีว่าบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของโรงแรมบลูสกายอินเตอร์เนชันเนลแห่งนี้ ดังนั้นเขาจึงยอมสละห้องนี้ให้และยอมหลีกทางออกมา
ตอนนี้เขามาที่นี่เพื่อมาขอโทษ เนื่องจากความจริงแล้วในตอนนั้นเขาเป็นคนลัดคิว ด้วยเหตุนี้อาจจะทำให้คนของบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปขุ่นเคืองเอาได้ สำหรับเขามันจะกลายเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
แต่ด้วยที่ไม่รู้ว่าคนไหนเป็นคนของบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ป เขาจึงพูดกับทุกคนไปตรงๆว่า “ทุกท่านก่อนหน้านี้ผมทำไม่ถูกต้อง เดิมทีห้องอาหารห้องนี้พวกคุณจองไว้ก่อนแล้ว แต่ผมกลับแซงคิวพวกคุณ หวังว่าพวกคุณจะไม่ถือสา”
ทุกคนถึงกับผงะ พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าสมาชิกบัตรทองคนนี้จะมาที่นี่เพื่อขอโทษพวกเขา
“ก่อนหน้านี้ผมไม่ทราบว่าทุกท่านเป็นคนของบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปจึงได้ทำการเสียมารยาทไป ดังนั้นผมจึงได้แต่ตำหนิตัวเองและอยากแสดงความขอโทษต่อพวกคุณทุกท่าน บริษัทของผมกับบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปก็ได้มีการร่วมงานกันอยู่บ้าง ผมหวังว่าจะสามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างราบรื่นในอนาคต ผมขอดื่มให้ทุกท่าน”
สมาชิกบัตรทองพูดจบก็ดื่มเหล้าที่อยู่ในมือลงไปหมดแก้ว
“เชิญพวกคุณทุกท่านตามสบาย ผมไม่รบกวนแล้ว ขอให้รับทานอาหารอย่างมีความสุขนะครับ” หลังจากที่ดื่มเหล้าเสร็จ คนคนนั้นก็จากไปพร้อมทั้งปิดประตูห้องให้
ในเวลานี้ทุกคนก็เข้าใจแล้วว่าคนคนนั้นเห็นแก่บริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปถึงได้ยกห้องอีวานโฟนนิกให้พวกเขา
ในบรรดาผู้ที่อยู่ในสถานที่นี้ต่างรู้ดีว่ามีเพียงเจตนิพัทธ์เท่านั้นที่มีความสัมพันธ์กับบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ป
ดังนั้นคนคนนั้นจึงรู้สึกเกรงใจเจตนิพัทธ์มากถึงเพียงนี้
ทุกคนต่างหันหน้าไปมองเจตนิพัทธ์ด้วยสายตาชื่นชม
“หัวหน้าห้อง คุณสุดยอดจริงๆ ขนาดสมาชิกบัตรทองยังต้องให้เกียรติคุณ”
“ใช่เเล้ว หัวหน้าห้องขึ้นเป็นผู้จัดการสาขาของบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปตั้งแต่อายุยังน้อย เขาคงคิดว่าหัวหน้าห้องต้องมีอนาคตที่สดใสก็เลยมาประจบประแจง”
“หัวหน้าห้องเจ๋งสุดๆไปเลย ไอ้เศษสวะบางคนถึงกับเทียบไม่ติด”
เพื่อนสมัยเรียนผู้หญิงหลายคนต่างกรี๊ดกร๊าดเจตนิพัทธ์ แต่น่าเสียดายที่พวกเธอต่างก็รู้ว่าเป้าหมายของเจตนิพัทธ์ คืออารียา ดังนั้นจึงผิดหวังกันเล็กน้อย
บุษบากรก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะมีคนมาให้เกียรติเจตนิพัทธ์ถึงขนาดนี้ ด้วยเหตุผลนี้เธอจึงมีความคิดอยากจีบเจตนิพัทธ์ขึ้นมา
ทว่าเมื่อนึกถึงเจ้าชายขี่ม้าขาวของเธอ เธอกลับไม่ได้มีความสนใจในตัวเจตนิพัทธ์
“เจตนิพัทธ์ก็ไม่เลว แต่เมื่อเทียบกับเจ้าชายขี่ม้าขาวของฉันเเล้วล่ะก็ ยังถือว่าแย่อยู่มาก” บุษบากรพึมพำอยู่ในใจ
เจตนิพัทธ์มีสีหน้างงงวย เขาไม่คิดว่าคนคนนั้นจะคืนห้องเพราะเขา
แต่คนคนนั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนจากบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ป? ทั้งๆที่เขาไม่เคยเจอคนคนนั้นมาก่อน
อย่างไรก็ตามคนคนนั้นบอกว่าเป็นเพราะบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปถึงได้เข้ามาขอโทษ ซึ่งในห้องนี้ก็มีแค่เขาคนเดียวที่เป็นคนของบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ป เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นรพีพงษ์
เมื่อคิดถึงจุดนี้เจตนิพัทธ์ก็เผยให้เห็นสีหน้าพึงพอใจ ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเหตุผลที่แปลกประหลาดเหล่านั้นอีกต่อไป แค่เพียงให้พวกเขาคิดว่าที่สามารถเข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะความดีความชอบของเขา
ในขณะนี้ยังมีบางคนคิดว่ารพีพงษ์เป็นคนนำห้องนี้กลับมา ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้
เจตนิพัทธ์เหลือบมองรพีพงษ์และอารียาที่อยู่อีกด้านด้วยสายตายั่วยุ ราวกับว่าเป็นการพิสูจน์ให้อารียาเห็นว่ารพีพงษ์ไม่เหมาะกับเธอ
อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าอารียารู้อยู่แล้วว่าคนคนนั้นเข้ามาที่นี่เพราะรพีพงษ์ แม้เธอจะไม่รู้ว่ารพีพงษ์เข้าไปข้องเกี่ยวกับบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปได้อย่างไรกันแน่ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เธอสงสัยในตัวรพีพงษ์ว่าเขาไม่ได้มีความสามารถดังกล่าว
เพราะแท้ที่จริงเเล้วรพีพงษ์รู้จักแม้กระทั่งเจ้าของวิลล่าฟ้าอนงค์
จนถึงตอนนี้อารียายังไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วเจ้าของวิลล่าฟ้าอนงค์ก็คือรพีพงษ์
หลังจากที่ทุกคนต่างยกย่องเจตนิพัทธ์ พวกเขาก็หยุดคุยเรื่องนี้ และถึงเวลาสั่งอาหาร
เจตนิพัทธ์ดูเมนูอาหาร แม้ว่าอาหารที่นี่จะมีราคาแพง แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่เขารับได้ หลังจากทานอาหารมื้อนี้แล้ว เขาจะเข้มงวดขึ้นเล็กน้อยในเดือนหน้า
ตอนที่เจตนิพัทธ์สั่งอาหาร สาวๆที่นั่งอยู่ข้างอารียาก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องความหลังกันอย่างมีความสุข
หญิงสาวที่นั่งข้างอารียาจับมืออารียาพลางพูดคุยเรื่องที่มหาวิทยาลัย ในขณะนี้เธอสังเกตเห็นนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของอารียาแล้วมองตาตั้ง
“อารียา เธอซื้อนาฬิกานี่เองหรือ?” หญิงสาวถาม
“ไม่ใช่หรอก รพีพงษ์เป็นคนซื้อให้ เขาก็มีอยู่เรือนหนึ่ง” อารียาตอบ
“อย่างงั้นรพีพงษ์คงซื้อของถูกๆมาจากแผงลอยล่ะสิ ไม่เห็นสวยตรงไหน” บุษบากรพูดเสริม
หญิงสาวหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “นี่จะมาจากแผงลอยได้ยังไง นี่เป็นนาฬิกาคู่รักออกใหม่ของนาฬิกาVacheron Constantinเลยนะ คู่หนึ่งราคา 380,000 หยวน ฉันเคยเห็นมันที่ห้างสรรพสินค้าเมื่อไม่กี่วันก่อน”
ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างก็เริ่มให้ความสนใจ เมื่อเจตนิพัทธ์ได้ยินว่ารพีพงษ์ซื้อนาฬิกาข้อมือให้อารียาก็รู้สึกไม่พอใจ
เขารู้ว่านาฬิกาเรือนนั้นเป็นของแท้
“จะเป็นไปได้อย่างไร รพีพงษ์จะมีปัญญาซื้อนาฬิกาแพงๆแบบนี้เนี่ยนะ ของปลอมหรือเปล่า?” บุษบากร พูดด้วยความประหลาดใจ
“เป็นไปไม่ได้ รูปแบบของนาฬิกาVacheron Constantinไม่ใช่จะเลียนแบบกันง่ายๆ อีกอย่างสายนี้มีจำหน่ายเฉพาะในโรงงานเท่านั้น นาฬิกาเรือนนี้เป็นของแท้แน่นอน” หญิงสาวคนนั้นยืนยัน
ทุกคนต่างก็หันหน้าไปมองรพีพงษ์ ไม่คิดเลยว่าเขาจะสามารถซื้อนาฬิกาแพงๆให้ อารียาได้
อารียาเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน วันนั้นรพีพงษ์ยังบอกอยู่เลยว่านาฬิกาเรือนนี้ไม่ได้แพงมาก เพราะราคา 380,000 หยวน รพีพงษ์ไม่ได้รู้สึกว่ามันแพง
“รพีพงษ์ ปกติอารียาเป็นคนเลี้ยงดูนาย แล้วนายเอาเงินจากไหนมาซื้อนาฬิกาแพงๆแบบนี้?” อยู่ๆเจตนิพัทธ์ก็ถามขึ้นมา
“ใช่แล้ว นายจะมีปัญญาซื้อนาฬิกาแพงๆขนาดนี้ได้อย่างไร เป็นไปได้ไหมว่าทำเรื่องผิดกฎหมาย?”
“เขาไม่ได้ซื้อเองแน่ๆเลย หรือจะไปขโมยคนอื่นมา ฉันไม่คิดเลยว่ารพีพงษ์จะเป็นคนแบบนี้จริงๆ”
“สวรรค์ รพีพงษ์ขโมยแม้กระทั่งนาฬิกา รีบดูของพวกเราก่อนเร็ว”
ทุกคนเริ่มสงสัยในตัวรพีพงษ์ขึ้นมาทันใด ที่เจตนิพัทธ์ถามแบบนั้นไปก็เพื่อกระตุ้นให้ทุกคนสงสัย และเขาเองก็คิดว่ารพีพงษ์เป็นคนขโมยนาฬิกาเรือนนี้มา
“รพีพงษ์ ทำไมนายถึงไม่พูดอะไรออกมาล่ะ หรือว่านายขโมยนาฬิกาเรือนนี้มาจริงๆ?” เจตนิพัทธ์ถามขึ้นอีกประโยค
รพีพงษ์พูดไม่ออกไปชั่วขณะ เขาไม่คิดว่าเจตนิพัทธ์กำลังพยายามหาเรื่อง
แต่เขาก็ไม่กลัว เพราะร่างตรงไม่จำเป็นต้องกลัวเงาเฉ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด
“ฉันเป็นคนซื้อนาฬิกานี้เอง อย่าใส่ร้ายคนอื่นโดยไม่มีเหตุผล” รพีพงษ์พูด
“นายก็พิสูจน์สิ จะให้เราเชื่อทุกสิ่งที่นายพูดงั้นหรือ?”
“ถูกต้อง นายจะพิสูจน์อย่างไรว่านายเป็นคนซื้อมาเอง ฉันคิดว่านายคงจะขโมยมาจริงๆแล้วยังเล่นลิ้นอยู่ได้”
“อารียา เธอก็รีบห่างๆคนแบบนี้หน่อยเถอะ คนขี้ขโมยแบบนี้ไม่ช้าไม่เร็วจะทำให้เธอเดือดร้อนได้”
……
รพีพงษ์มองกลุ่มคนพูดพล่อยๆอย่างจนปัญญา เขาจึงหยิบกระดาษสองแผ่นออกมาจากในเสื้อของเขาและตบบนโต๊ะเบาๆ
“นี่เป็นใบเสร็จของนาฬิกาสองเรือนนี้ ถ้าไม่เชื่อพวกนายก็ดูเอาเอง”