พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 39 ใส่ร้ายป้ายสี
บทที่ 39 ใส่ร้ายป้ายสี
วีรยุทธกำลังนั่งอยู่บนโซฟาอย่างได้อกได้ใจ มองทีวีมูลค่าสามหมื่นแปดพันกว่าหยวนตรงหน้าตัวเอง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเขาที่ได้ดูทีวีแพงขนาดนี้ ถึงจะมีอะไรหลายๆอย่างที่เขาไม่รู้เรื่อง แต่เขารู้ว่าของแพงแน่นอนว่าต้องเป็นของดี
“ศศินัดดายัยผู้หญิงโง่นั่น เชื่อว่าฉันจะจ่ายเงินสี่หมื่นหยวนเพื่อซื้อทีวี อยากได้กำไลแค่สองพันจนตัวสั่น ถึงกับทนไม่ได้ยกทีวีมาให้ฉันก่อน”
“อย่างนั้นทีวีเครื่องนี้ฉันก็ขอดูก่อนแล้วกัน ถ้าพวกเขาอยากจะมาเอาเงินล่ะก็ ฉันก็จะบอกว่าไม่มี ยืดไปสักสี่ห้าปี ถึงเวลาค่อยเอาทีวีไปคืนพวกเขา แบบนี้ก็จะประหยัดเงินค่าทีวีใหม่ไปได้ตั้งเยอะ”
วีรยุทธภูมิใจในความฉลาดแกมโกงของตัวเอง กี่ปีมานี้เขาใช้วิธีสกปรกพวกนี้หลอกคนอื่นไว้ไม่น้อย
ในขณะที่ดูทีวีอย่างสบายใจเฉิบ อยู่ๆก็มีเสียงคนเคาะประตู หลังจากเปิดประตู ก็พบว่าเป็นรพีพงษ์ เห็นดังนั้นก็รีบปิดประตูแน่นสนิทกลับเหมือนเดิม
รพีพงษ์คิดไม่ถึงว่าไอ้วีรยุทธนี่ จะไม่สนใจตัวเองเลยแม้แต่น้อย ก็เลยทำได้เพียงแต่เคาะประตูอีกครั้ง
วีรยุทธลุกขึ้นไปเปิดประตูอย่างรำคาญใจ พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “แกทำอะไรของแก รนหาที่ตายหรือไง ฉันไม่ต้อนรับแก รีบไสหัวไปซะ”
ชื่อเสียงของรพีพงษ์ทั่วทั้งเมืองริเวอร์ไม่มีใครทั้งนั้นที่ไม่รู้ พวกหนีหนี้อย่างวีรยุทธ ไม่เคยที่จะมีเขาอยู่ในสายตา
“อาวี ผมมาเก็บเงินค่าทีวีสี่หมื่นหยวนที่ลุงซื้อ ทีวีลุงก็เอาไปแล้ว อย่างนั้นก็คิดเงินเลยละกัน” รพีพงษ์พูดอย่างไม่อ้อมค้อม
“แกคิดว่าแกเป็นใครกัน กล้ามาทวงเงินฉันถึงบ้าน รพีพงษ์ มีใครหน้าไหนไม่รู้บ้างว่าแกอยู่ในตำแหน่งอะไร ศศินัดดาสั่งให้แกมาเอาเงินอย่างนั้นหรอ ดูท่าแกคงจะมาหลอกเอาเงินฉันมากกว่าล่ะสิ” วีรยุทธก่นด่า
รพีพงษ์ขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน ในใจคิดไอ้วีรยุทธนี่หน้าด้านจริงๆ พูดยังไม่ถึงครึ่งประโยค พูดจาไม่ไว้หน้ากันสักนิด
“อาวี ไม่ว่าใครจะมาถวง ลุงก็ควรจะจ่ายเงินจำนวนนี้เหมือนๆกัน” รพีพงษ์อดทนพูดต่อ
ที่เขาคิดก็คือ ถ้าวีรยุทธยอมคืนเงินดีๆล่ะก็ เขาก็จะไม่เรียกให้ไตรทศกับพวกลงมือ แต่ถ้าวีรยุทธไม่ยอมให้ล่ะก็ อย่าหาว่าเขาไม่เกรงใจก็แล้วกัน
วีรยุทธเดิมทีอยากที่จะด่ารพีพงษ์สักกี่ประโยค แต่อยู่ๆเขาก็ฉุกคิดได้ พลิกลิ้นเปลี่ยนหน้าอย่างฉับพลัน พลางยิ้มให้รพีพงษ์
“เออ ฉันรู้แล้วน่า เห็นนายมาด้วยตัวเองแบบนี้ วันนี้ตอนเย็นฉันจะเอาเงินไปให้ศศินัดดาเอง” วีรยุทธพูด
รพีพงษ์ชะงักไป คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆวีรยุทธจะเปลี่ยนคำพูด ยอมเอาเงินไปคืนกับตัว
เขาคิดว่าวีรยุทธจะต้องหาเรื่อง ไม่ยอมเขาแน่นอน ยังไงสุดท้ายก็จะไม่ยอมคืนเงิน
ในเมื่อวีรยุทธยอมรับปาก อย่างนั้นเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องสั่งให้พวกไตรทศขึ้นมาแล้วล่ะ
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นรบกวนอาวี ด้วยนะครับ” รพีพงษ์พูด
“เอ้อใช่แล้ว รพีพงษ์ นายมาช่วยฉันดูทีวีหน่อยสิ ฉันยังใช้ไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่” วีรยุทธเอ่ยปากพูด
รพีพงษ์เดินเข้าไป สอนวีรยุทธใช้ทีวีเล็กน้อย ก่อนจะเดินลงชั้นล่างไป
พวกไตรทศเห็นรพีพงษ์ลงมา ก็รีบพุ่งเข้าไปหา พลางถาม “พี่รพี เป็นไงบ้าง ให้พวกเราขึ้นไปจัดการไหม”
“ตอนนี้ยังไม่ต้อง พวกแกกลับกันไปก่อน รอมีเรื่องฉันค่อยเรียกพวกแกอีกที” รพีพงษ์ตอบ
ไตรทศพยักหน้า พาลูกน้องที่มาด้วยด้านหลังเดินออกไปจากที่นี่
พอถึงตอนเย็น วีรยุทธก็มาที่บ้านของศศินัดดาจริงๆ
ศศินัดดาเปิดประตูไปเห็นว่าเป็นวีรยุทธ คิดว่าจะต้องเอาเงินมาคืนแน่ๆ ก็รีบทำการต้อนรับเขาให้เข้ามาอย่างดีอกดีใจ
วีรยุทธนั่งลงที่โซฟา โดยไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด ยื่นมือไปหยิบของกินบนโต๊ะกินอย่างสบายใจเฉิบ
กินไปได้พอประมาณ ก็วางมาดเอนตัวพิงหลังลงกับโซฟา อย่างกับที่นี่เป็นบ้านตัวเองยังไงอย่างอย่างนั้น
ศศินัดดาเห็นเขาแบบนั้น ในใจก็แอบกังวลขึ้นมา ลองเอ่ยถามออกไป “พี่วี ทีวีของฉันน่ะ พี่ก็เอาไปดูได้สองวันแล้ว เรื่องเงิน…….”
“อะไรกัน!” วีรยุทธอยู่ๆก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมา “เธอยังมีหน้ามาพูดเรื่องทีวีกับฉันอีกหรอ แถมยังจะอยากได้เงินอีก จริงๆแล้วฉันก็อยากจะเอาเงินมาให้อยู่หรอก แต่ว่าตอนนี้น่ะ ไม่ว่าสักบาทสักสตางค์ฉันก็ไม่ให้เธอ”
ศศินัดดาได้ยินเขาพูดดังนั้น ก็ใจหาย อารียาเองกับศักดาสองคนก็รีบเข้ามาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“พี่วี นี่มันอะไรกัน ทีวีเครื่องนั้นของฉันเพิ่งซื้อมาใหม่เลยนะ” ศศินัดดาพูดอย่างร้อนใจ
“ทีวีเครื่องนั้นของเธอก็ใหม่จริงนั่นแหละ แถมยังเป็นของแท้อีก ฉันดูไปก็ว่าดี จริงๆวันนี้ฉันกะจะเอาเงินมาจ่ายให้เธอ” วีรยุทธเอ่ยปาก
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะ” ศศินัดดาพูดอย่างไม่เข้าใจ
วีรยุทธหันหน้าไปจ้องรพีพงษ์ พลางพูด “จริงๆแล้วทีวีเครื่องนั้นก็ดี แต่ว่าวันนี้รพีพงษ์มันไปถวงเงินที่บ้านฉัน ฉันก็ตกลงจะจ่าย มันก็ไปตรวจเช็คทีวีอยู่สักพัก พอฉันดูอีกที ทีวีก็พังซะแล้ว”
ศศินัดดากับอารียาเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้
รพีพงษ์เพิ่งตาสว่างตรงนี้ ว่าทำไมเมื่อตอนกลางวันวีรยุทธถึงเปลี่ยนคำพูดอย่างกะทันหัน แถมยังให้เขาไปเปิดทีวีให้ คิดไม่ถึงจริงๆว่าทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อที่จะใส่ร้ายเขาแทน
“อีกอย่างนะน้อง พี่จะบอกให้ รพีพงษ์หมอนี้มันร้ายไม่ใช่เล่น มันไปถวงเงินกับพี่วันนี้ เธอรู้บ้างไหม” วีรยุทธถาม
ศศินัดดาส่ายหน้า ความโกรธเริ่มไหลล้นไปทั่วหน้า
“ไอ้หมอนี่บอกว่าเธอเป็นคนสั่งให้มันไป ดูแล้วมันคงอยากจะอมเงินเอาไว้เอง เห็นฉันไม่ให้ขึ้นมา ก็ทำทีวีให้เจ๊ง เธอคิดดูนะว่าคนใจดำประเภทนี้ ทำไมบ้านเธอถึงยังเลี้ยงมันไว้อยู่อีก” วีรยุทธใส่สีตีไข่ไม่หยุด
ศศินัดดาลุกพรวดขึ้นมาจากโซฟา ยื่นมือออกไปบีบจมูกของรพีพงษ์ พลางตะโกนเสียงดัง “รพีพงษ์ แกนี่มันเลวจริงๆ!ตระกูลฉัตรมงคลให้ข้าวให้น้ำแกกิน คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าแกยังกะจะเอาเงินของตระกูลฉัตรมงคลอีก ฉันมันตาบอด ที่เลี้ยงไอ้สารเลวอย่างแกไว้!”
“แม่ ฟังผมอธิบายก่อนสิ” รพีพงษ์เอ่ยปาก
อารียา ไม่เชื่อว่ารพีพงษ์จะทำเรื่องแบบนี้ได้ลง แถมทีวีเครื่องนั้น ก็รพีพงษ์เองนั่นแหละที่เป็นคนซื้อมา ถึงเขาจะไปถวงเงินจริงๆ ก็ไม่ผิดอะไร
“แกมีอะไรจะอธิบาย พี่วีก็พูดเองอยู่ หรือว่ามันไม่จริง” ศศินัดดาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“แม่ อย่าเพิ่งรีบร้อนไปจะได้ไหม ฟังรพีพงษ์อธิบายก่อน เขาไม่ทำเรื่องแบบนี้หรอก แถมทีวีเครื่องนั้น…..” อารียาออกตัวปกป้องรพีพงษ์
“มันทำไม ๆ แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าไอ้หมอนี้มันอยู่บ้านเราดีแต่จะหาเรื่องเสื่อมเสียมาให้ เป็นไงล่ะ สุดท้ายหางจิ้งจอกมันก็โผล่ออกมา”
ศศินัดดาหันหน้าไปทางรพีพงษ์ พลางสอบสวน “อย่างนั้นฉันถามแก วันนี้เมื่อกลางวันแกได้ไปบ้านพี่วีมารึเปล่า แล้วได้ทำอะไรกับทีวีไหม”
รพีพงษ์ พยักหน้าตอบ “ใช่ ผมไปมาจริง”
ศศินัดดาได้ยินก็เหมารวมว่ารพีพงษ์ยอมรับเรื่องที่วีรยุทธพูด พลางหันไปพูดกับอารียา “มันเองก็ยอมรับแล้วเห็นไหม ยังมีอะไรต้องพูดอีก แคลร์ พรุ่งนี้ลูกไปเซ็นเอกสารหย่ากับมันซะ บ้านเราไม่ต้อนรับคนสารเลวพรรค์นี้”