พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 293 ไอ้กระจอกรพีพงษ์
บทที่293 ไอ้กระจอกรพีพงษ์
ถึงคฤหาสน์ใหญ่ของตระกูลธนาพัชร์กุล รพีพงษ์ลงจากรถ เดินตรงไปที่ห้องของเขา
รวินท์เดินตามหลังรพีพงษ์ แล้วพูดแต่สำนวนนี้ “ไม่แสดงออก แต่เมื่อทำแล้วคนตกใจ……”
ดวงตาสองข้างของเธอมองไปที่หลังของรพีพงษ์ ราวกับบนหลังของเขามีคำว่าอดทนคำนี้อยู่
อายุของเธอกับรพีพงษ์ไม่ห่างกันมาก ในวัยนี้ เธอสามารถเป็นที่หนึ่งของสมาคมโกะแห่งเมืองกรีนโคลได้ในรุ่นเดียวกัน
ดังนั้นในสายตาคนนอก เธอเป็นคนที่เยือกเย็น คนนอกมักจะมองว่าเธอสูงส่ง
รวินท์รู้ดีถึงคนในช่วงอายุนี้ ว่าเมื่อประสบความสำเร็จ ในใจจะมีความคิด ที่อยากจะให้คนทั้งโลกได้รู้ถึงความเก่งกาจของเธอ คนวัยนี้มักจะมีความยืนหยัดในตัวเสมอ
แต่เธอไม่เห็นความยโสในตัวรพีพงษ์แต่อย่างใด คนที่สามารถใช้เวลาเพียงยี่สิบนาทีแก้ทางชีซิงจุ้ยหุ้ยได้นั้น ความจริงน่าจะเป็นเหมือนโกมุท ที่ไม่เห็นหัวใคร เพราะเขามีความสามารถนั้นจริง
แต่ทว่ารพีพงษ์กลับอ่อนน้อมถ่อมตน ยืนตรงไหนก็ไม่มีใครเห็นความพิเศษของเขาแต่อย่างใด
วัยรุ่นคนหนึ่ง มีความอดกลั้น เหตุผลเดียว คือการที่เขาไปเผชิญกับเหตุการณ์ที่ตนเองคาดไม่ถึง รพีพงษ์ จะต้องเจอกับสิ่งที่รวินท์ทั้งชีวิตไม่มีทางรับรู้ได้แน่นอน
แต่ความเก่งของรพีพงษ์เทียบกับคนธรรมดาไม่มีทางที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนได้แน่ๆ ดังนั้นเขาจึงพูดว่าไม่แสดงออก แต่เมื่อทำแล้วคนตกใจ
รพีพงษ์ก็มีความโอหังในตัว แต่เขายังไม่แสดงออกมา ก็แสดงว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่รพีพงษ์ให้ความสำคัญ ออร่าของเขา จะเฉิดฉายไปทั่วสารทิศ
แน่นอน ว่าหนึ่งในนั้นคือฝีมือการเล่นโกะของรพีพงษ์ เขามองว่า การที่ตัวเองเล่นโกะเป็นนั้น ไม่ได้พิเศษอะไรกว่าคนอื่น เพราะถ้าแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตนเองเก่งแล้วนั้น เกรงว่าจะยุ่งจนไม่หวาดไม่ไหว
“คนนี้ ทำไมชอบทำให้คนอื่นแปลกใจอยู่เรื่อยเลยนะ ถ้าฉันรู้จักเขาเร็วกว่านี้ก็คงดี” รวินท์กล่าวอย่างผิดหวัง
มองไปที่รพีพงษ์ที่กำลังกลับห้อง รวินท์หันกลับแล้วเดินไปที่ห้องสมุดของนฤพล
นฤพลกำลังอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะ เห็นรวินท์เข้ามา ยิ้มพลางถามว่า “วันนี้กินข้าวเป็นยังไงบ้าง? ทุกคนไม่ได้ทำให้รพีพงษ์ไม่สบายใจใช่ไหม เพราะเขาเพิ่งมา สมาคมของเราฝากความหวังไว้ที่เขา พวกวัยรุ่นอย่างรุ่นลูกน่าจะไม่พอใจ”
“ตอนแรกทุกคนไม่มั่นใจ แต่เขาใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาที ก็สามารถแก้ทางชีซิงจุ้ยหุ้ยได้แล้ว จากนั้นทุกคนก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว” รวินท์กล่าว
“อืม ใช้ยี่สิบนาทีแก้เกมส์ชีซิง……” นฤพลพูดไปครึ่งประโยค แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ลูกพูดอะไรนะ! เขาใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีแก้เกมส์ชีซิงจุ้ยหุ้ย??”
รวินท์เพิ่งจะเคยเห็นนฤพลร้อนใจก็ครานี้ แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย พูด “ใช่ คิดไม่ถึงล่ะซิ ตอนนั้นพวกเราก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน ลูกคิดว่าใีมือโกะของรพีพงษ์ ชนะลูกได้ง่ายๆเลยล่ะ”
นฤพลสูดหายใจเข้าลึกๆ ทำจิตใจให้สงบ แล้วกล่าว “พระเจ้า เด็กนี่มันพิลึกจริงๆ ดูๆแล้วพ่อมองข้ามเขาไปจริงๆ ถ้าเป็นงี้ รางวัลชนะเลิศในการแข่งขันครั้งนี้ ก็ต้องตกเป็นของสมาคมโกะเมืองกรีนโคลเป็นแน่
รวินท์รู้สึกว่าคำพูดของนฤพลนั้นไร้สาระ มีรพีพงษ์อยู่ ถ้าไม่ได้รางวัลชนะเลิศ ก็แปลกเกินไปแล้ว
“พ่อ ทำไมรพีพงษ์แต่งงานเร็วจัง ถ้าหนูเจอเค้าเร็วก็นี้คงดี ไม่แน่ตอนนี้เขาอาจจะไม่มีทีท่าเยือกเย็นกับหนูก็ได้นะ” สีหน้าของรวินท์แดงขึ้นมา
เมื่อนฤพลได้ยินคำพูดของรวินท์แล้ว ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แล้วถาม “วินท์ พูดแบบนี้
แสดงว่าลูกชอบเขาแล้วล่ะสิ? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆล่ะก็ งั้นพ่อก็เข้าใจว่าทำไมลูกต้องไปเปลี่ยนชุดในห้องของรพีพงษ์แล้วล่ะ รพีพงษ์ก็จริงๆ ลูกสาวฉันเข้าหาขนาดนี้ เขายังไม่เอาอีด เพี้ยนจริงๆ”
“ไอ้หยา พ่อ พูดอะไรหนะ ถ้าเขาเหมือนคนอื่น ที่เรื่องยั่วยวนยังห้ามใจไม่ได้ งั้นลูกก็ไม่ชอบเขาหรอก” รวินท์พูดอย่างภูมิใจ
นฤพลหัวเราะขึ้นมา แล้วกล่าว “วินท์ ถ้าลูกชอบรพีพงษ์แล้ว เพียงแค่ลูกไม่รังเกียจที่เขาเคยแต่งงานแล้ว พ่อสนับสนุนลูกจีบเขา เสน่ห์ของลูกไม่แพ้ภรรยาคนปัจจุบันของเขาเลยนะ แล้วตระกูลธนาพัชร์กุลเป็นตระกูลใหญ่ของเมืองกรีนโคล ยังไงก็ดีกว่าภรรยาปัจจุบันของเขา ถ้าเขาฉลาดพอ ต้องรู้ว่าจะต้องเลือกใคร”
รวินท์ถอนหายใจอย่างเซ็ง แล้วกล่าว “พ่อ ถ้าพ่อคิดแบบนี้จริงๆล่ะก็ งั้นก็ผิดยิ่งกว่าผิดแล้วล่ะ”
“ทำไม หรือพ่อพูดอะไรผิด? คุณหนูของตระกูลธนาพัชร์กุล ยังไม่คู่ควรกับไอ้กระจอกรพีพงษ์อีกหรอ ลูกลืมแล้วหรอตอนที่พวกเราไปเมืองริเวอร์ ผู้คนว่ารพีพงษ์ว่าอย่างไร แม้รพีพงษ์จะไม่ใช่ไอ้สวะ แต่เรื่องที่เขาแต่งเข้าบ้านผู้หญิง จุดนี้ ตระกูลธนาพัชร์กุลของพ่อเหมาะสมกว่าสิถึงจะถูก” นฤพลกล่าวอย่างตั้งใจ
ตอนแรกรวินท์ก็คิดแบบนี้ แต่วันนี้ตอนที่อยู่ร้านอาหารเห็นรพีพงษ์เอาบัตรธนาคารโลกสีดำออกมาแล้วนั้น เธอก็ไม่มีความคิดแบบนี้อีกต่อไป
“วันนี้ตอนที่พวกเราอยู่ร้านอาหาร รพีพงษ์ทำกาน้ำแสนแพงแตก ต้องชดใช้หลักแสน” รวินท์กล่าว
“หรอ? เขาชดใช้ไม่ไหวล่ะสิ ลูกช่วยเขาชดใช้ใช่ไหม แบบนี้เขาต้องยิ่งรู้ดีถึงความยิ่งใหญ่ของตระกูลธนาพัชร์กุลสิ” นฤพลยังคงกล่าวอย่างมั่นใจในตนเอง
รวินท์ส่ายหัว แล้วกล่าว “เขาชดใช้เอง เขามีบัตรธนาคารโลกสีดำ……”
นฤพลสูดหายใจเข้า แล้วมองไปที่รวินท์อย่างไม่เชื่อ แล้วถาม “บัตรธนาคารโลกสีดำ? ลูกไม่ได้ดูผิดใช่ไหม รพีพงษ์มีของแบบนี้ด้วยหรอ?”
รวินท์พยักหน้าอย่างตั้งใจ ราวกับชอบท่าทีที่นฤพลตกใจอย่างไรอย่างนั้น
นฤพลเงียบไปสิบกว่าวิ ด้วยความรู้สึกอับอาย การมีบัตรธนาคารโลกสีดำหมายความว่าอย่างไรเขารู้ดี คนที่มีบัตรแบบนี้ไว้ในครอบครอง ทรัพย์สินทั้งหมด เกรงว่าจะมากกว่าทรัพย์สินของตระกูลธนาพัชร์กุลเป็นสิบเท่าก็มิปราณ
แล้วเมื่อกี๊เขายังพูดว่ารพีพงษ์เป็นแค่ไอ้กระจอก นี่มันเหมือนเป็นการตบหน้าตัวเองชัดๆ
“เด็กนี่มันถ่อมตนขนาดนี้เลยหรอ ถ้าลูกไม่พูด พ่อก็ยังคิดว่าเขาเป็นแค่ไอ้กระจอกไม่มีอะไรนะ” นฤพลกล่าว
รวินท์ยักไหล่อย่างเซ็ง แล้วกล่าว “ตกใจล่ะสิ ตอนแรกลูกก็มีปฏิกิริยาแบบนี้แหละ เฮ้อ ดูๆแล้วลูกสาวพ่อต้องเป็นโสดไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ”
“ไร้สาระ แม้ไม่ได้รพีพงษ์ ความเก่งกาจของลูกสาวพ่อ หาผู้ชายที่โอเคก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไร หรือลูกอยากจะฝากชีวิตไว้กับรพีพงษ์คนเดียวหรือไง” นฤพลขมวดคิ้วแล้วมองไปที่รวินท์
“ไอ้หยา พ่อไม่เข้าใจ บางคน เมื่อคุณได้เห็นออร่าของเขา เมื่อเห็นคนอื่น ก็ไม่มีความรู้สึกใดๆอีกต่อไป” รวินท์กล่าวอย่างเสียอารมณ์
……
รุ่งขึ้นของวันต่อมา รวินท์วิ่งไปที่ประตูของห้องรพีพงษ์ ในมือถืออาหารเช้า แล้วก็เตรียมผ้าเช็ดหน้าสำหรับล้างหน้าให้รพีพงษ์
เธอไม่สนใจว่ารพีพงษ์จะตื่นหรือยัง ก็เปิดประตูห้องเข้าไปโดยตรง เธอมองว่า ถ้าเกิดเรื่องอับอายขึ้นระหว่างกันและกัน ก็จะช่วยกระชับความสัมพันธ์ของทั้งคู่เพิ่มขึ้น
รพีพงษ์กำลังนอนอยู่บนเตียง ครึ่งนึงของร่างกายไม่ได้ใส่เสื้อผ้า เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ก็รีบนั่งขึ้นบนเตียงทันที
เขาเห็นรวินท์เข้ามา ก็เซ็ง แล้วกล่าว “เจ๊ ครั้งหน้าเข้ามาช่วยเคาะประตูก่อนได้ไหม นี่ถ้าผมไม่ได้ใส่ชุด คุณก็เห็นหมดล่ะสิ”
รวินท์แอบหัวเราะ คิดในใจว่าถ้าไม่ใส่ชุดแล้วฉันเห็นสิดี
“วันนี้เป็นการแข่งขันวันแรก คุณคือความหวังของสมาคมโกพแห่งเมืองกรีนโคล แน่นอนว่าฉันต้องดูแลคุณเป็นอย่างดี คุณรีบไปล้างหน้า นี่ผ้าเช็ดหน้า ฉันเตรียมอาหารเช้าให้คุณแล้ว ฉันทำเองกับมือเลยนะ คุณล้างหน้าเสร็จแล้วรีบทาน จากนั้นพวกเราก็จะไปเข้าร่วมการแข่งขันแล้ว” รวินท์นำของในมือวางไว้บนโต๊ะ
รพีพงษ์ยืนขึ้นอย่างเบื่อหน่าย ยื่นมือไปหยิบเสื้อผ้าของตน เพื่อสวมใส่
ขณะนี้รวินท์มองไปที่รพีพงษ์ หลังจากที่เห็นซิกแพ็คของรพีพงษ์แล้ว ตาทั้งสองก็ลุกวาวขึ้นทันที
“เดี๋ยวก่อน!” รวินท์เห็นรพีพงษ์จะใส่เสื้อผ้า ก็รีบตะโกนทันที
รพีพงษ์ชะงัก แล้วถาม “ทำไมหรอ?”
รวินท์รีบเดินไปที่รพีพงศ์ แล้วยื่นมือออกไป ลูบไล้บนกล้ามเนื้อของรพีพงษ์ เห็นแบบนั้น น้ำลายก็ไหลออกมา
รพีพงษ์เห็นเธอลูบไล้กล้ามเนื้อของเขา ก็รีบถอยหลังไปสองก้าว แล้วสวมใส่เสื้อผ้า
รวินท์มองรพีพงษ์อย่างไม่พอใจ แล้วกล่าว “เชอะ ก็แค่ลูบๆป่ะ ขี้งกทำไมกัน”
รพีพงษ์มองบน ไม่ได้พูดอะไรต่อ ไปล้างหน้าทันที
เมื่อล้างหน้าเสร็จ รพีพงษ์เดินไปหน้าโต๊ะ จ้องไปที่ไข่ทอดที่ไหม้อยู่ในจาน อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
รวินท์มองรพีพงษ์อย่างรอคอย แล้วกล่าว “คุณรีบชิมสิ ฉันทำอร่อยไหม นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันทำอาหารให้คนอื่นทานนะ คุณต้องรู้สึกภูมิใจสิ”
รพีพงษ์หยิบตะเกียบขึ้นมา ชิมไข่นั้น จากนั้นเดินออกไปด้านนอก “ผมคงไม่มีบุญที่จะได้กิน ผมว่าผมไปกินที่ห้องอาหารของบ้านคุณล่ะกัน”
รวินท์มองไปที่รพีพงษ์อย่างโมโห แล้วตะคอก “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันทำอาหารนะ คุณต้องกินมันซะ!”
รพีพงษ์ไม่ได้สนใจเธอ แล้วเดินออกมาจากห้องทันที
รวินท์เสียใจ วันนี้เธอตื่นเช้าขึ้นมาทำอาหารเช้า การทำไข่ทอดนี้เธอต้องเสียไข่ไก่ไปสิบกว่าฟองและนี่คือหนึ่งในสิบฟองที่ดีที่สุด รพีพงษ์กลับชิมแค่คำเดียวแล้วไป ชั่งน่าเกียจจริงๆ
เธอเดินไปหน้าโต๊ะ หยิบไข่ขึ่นมาชิม จากนั้นตาโต รีบเอาไข่นั้นโยนใส่กลับไปในจานทันที เอาไปใส่ในถังขยะ
“ก็แค่ไม่อร่อยเอง ถึงขั้นไม่ออกความเห็นกันเลยหรอ หึ ฉันรวินท์ตลอดชีวิตนี้ถ้าทอดไข่ให้ใครอีก อย่ามาเรียกฉันว่าคนตระกูลธนาพัชร์กุล!”
พึมพำอย่างไม่พอใจ แล้วรวินท์ก็เดินออกจากห้องไป
สถานที่ในการแข่งขันโกะครั้งนี้ได้สร้างขึ้นมาเฉพาะ ชื่อบ้านหมากรุกยูนิค พื้นที่ใช้สอยห้าร้อยตารางเมตร สามชั้น ชั้นแรกเผ็นชั้นล็อบบี้เอาไว้ต้อนรับผู้ที่มาเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้
ในล็อบบี้ขณะนี้เต็มไปด้วยกระดานโกะสิบกว่าโต๊ะ เพื่อการย่นระยะเวลา การปข่งขันครั้งนี้ แบ่งเป็นสี่รอบ ทุกๆรอบจะมีคนกว่าครึ่งถูกคัดออก หลังจากนั้นมาแบ่งกลุ่มใหม่ แล้วเริ่มแข่งต่อ
การแข่งขันสี่รอบต้องใช้เวลาทั้งหมดสองวัน หลังจากเสร็จสิ้น ก็จะเหลือผู้เข้าแข่งขันแค่สองคน ในวันที่สามสองคนนี้ จะต้องมาแข่งกัน
ในขณะนี้บ้านหมากรุกยูนิคเต็มไปด้วยผู้คน นอกจากผู้ที่ซื้อตั๋ว และนักข่าว แข่งขันโกะนั่นเป็นจุดเด่นของเมืองกรีนโคล นักข่าวเหล่านี้จึงได้มาทำข่าวกันโดยปริยาย
กันตาและบาจรีย์ทั้งคู่ ได้ตื่นนอนแต่เช้าเพื่อมาเข้าคิวซื้อตั๋วด้านนอกของบ้านหมากรุกยูนิค ใช้กำลังอย่างมาก ในการที่จะเบียดเสียดคน เพื่อเข้าไปในล็อบบี้
“พี่สาว ฉันได้ยินมาว่าผู้ที่มีหวังจะได้ครองแชมป์มากที่สุดคือครของเมืองริเวอร์ชื่อโกมุท ได้ยินมาว่าบริษัทอสังหาริมทรัพย์เมค์สเป็นผู้สนับสนุนสมาคมโกะของเมืองริเวอร์ เมื่อกี๊ฉันเห็นโฆษณามากมายของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เมค์ส ครั้งนี้ถ้าโหมุทได้แชปม์บริษัทอสังหาริมทรัพย์เมค์สต้องฉวยโอกาสนี้ในการโฆษณาด้วยเป็นแน่”บาจรีย์กล่าว
“ใช่ ได้ยินมาว่าโกมุทหล่อมากด้วยนะ ถ้าแต่งตัวดีๆ ไม่แน่อาจจะเป็นเทพบุตรคนใหม่เลยก็ได้นะ” กันตาค่อนข้างบ้าผู่ชายเล็กน้อย
“แหม พูดจนฉันรอไม่ไหวล่ะ อยากเห็นโกมุทแข่งจัง” บาจรีย์ตื่นเต้น
ตอนนี้สายตาของบาจรีย์ไปมองไปที่ชายหัวใหญ่หูผึ่งไม่ไกลตรงนั้น แล้วรีบเรียกกันตา “พี่สาว เห็นไหม ผู้ชายมี่เหมือนหมูตรงนั้น เหมือนกับเจ้าของร้านอาหารฟอร์จูนเลยนะ ชื่อสุกรณ์
กันตามองไปทางนั้น นึกถึงเรื่องเมื่อหลายวันก่อนที่เธอทำร้ายรพีพงษ์ได้ ก็ยิ้มดูแคลนขึ่นมา แล้วกล่าว “ไม่รู้ว่าวันนั้นรพีพงษ์โดนเล่นงานจนตายหรือเปล่า แต่ดูจากรูปร่างของสุกรณ์แล้ว รพีพงษ์น่าจะโดนไปไม่น้อย”
“พี่ว่ารพีพงษ์จะมาการปข่งขันนี่ไหม?” บาจรีย์ถาม
กันตากำลังจะพูด ก็ได้ดูไปที่ประตูใหญ่ รพีพงษ์เดินเข้าประตูมา
“พูดถึงก็มา ไอ้นี่มันยังมีหน้ามาการแข่งขันที่ใหญ่ระดับนี้อีกนะ ซวยจริงๆ” กันตาพึมพำ
บาจรีย์ก็เห็นรพีพงษ์แล้วเช่นกัน เธอกลอกตาไปมา แล้วกล่าว “พี่สาว สุกรณ์อยู่ที่นั่นไม่ใช่หรอ ในเมื่อพวกเราเห็นไอ้นี่แล้ว ก็หาเรื่องมันหน่อยล่ะกัน ครั้งที่แล้วน่าจะโดนสุกรณ์เล่นงานไปหนักอยู่นะ ตอนนี้สุกรณ์เห็นมัน ต้องไม่ปล่อยมันไว้แน่ๆ ไม่แน่อาจทำจนมันกลัวจนหนีไปก็ได้นะ”
กันตายิ้มมีเลศนัย เมื่อทั้งสองปรึกษากันเสร็จแล้ว คนหนึ่งก็เดินไปที่รพีพงษ์ อีกคนหนึ่งเดินไปที่สุกรณ์