พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 268 เงินสดจำนวนสามล้านห้าแสน
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- ตอนที่ 268 เงินสดจำนวนสามล้านห้าแสน
บทที่ 268 เงินสดจำนวนสามล้านห้าแสน
“ถอนเงินจากบัตรใบนี้ออกมาให้หมด” บัลยงก์ยื่นบัตรของชนิสราให้พนักงาน
พนักงานที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์เห็นบัลยงก์แซงคิว ถ้าตามปกติเธอจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่ว่าจะบริการให้ใครก่อนก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน
แต่คิวที่เรียกเมื่อครู่เป็นลูกค้าที่ธนาคารเน้นเอาไว้ มีเฉพาะลูกค้าระดับต้นๆ ของธนาคารเท่านั้น ต้องรูดบัตรถึงจะปรากฏหมายเลขและสัญลักษณ์ขึ้นมา
ลูกค้าประเภทนี้สำคัญกับธนาคารมาก ถ้าความสะเพร่าของเธอทำให้ธนาคารเสียลูกค้า มีหวังเธอต้องโดนไล่ออกแน่
ดังนั้นเธอจึงมองบัลยงก์ด้วยสายตาหงุดหงิด “คุณไม่ต่อแถวข้างหลังค่ะ ตอนนี้ถึงคิวของคุณผู้ชายคนนี้ ธนาคารของเราไม่อนุญาตให้แซงคิวนะคะ”
บัลยงก์มองพนักงานแล้วพูดว่า “ในบัตรของผมมีเงินหลายหมื่น มันไม่ได้มีเงินมากกว่าผม คุณต้องถอนเงินให้ผมก่อน”
พนักงานตรงเคาน์เตอร์ขมวดคิ้ว “ถึงคุณผู้ชายท่านนี้จะถอนเงินแค่สตางค์เดียว ฉันก็ต้องถอนให้เขาก่อน ถ้าคุณไม่ไปต่อแถว ฉันจะเรียกรปภ.!”
บัลยงก์ได้ยินพนักงานพูดเช่นนี้ จึงบ่นพึมพำแล้วลุกขึ้นมา หันไปจ้องรพีพงษ์ “คนในเมืองนี้จนก็จน แถมยังต้องต่อแถว ไม่รู้จักแยกแยะเอาเสียเลย ดูการแต่งตัวของมันสิ จะถอนเงินสักเท่าไรเชียว หรือว่าคุณกลัวผมถอนเงินจนหมด”
“พอแล้วลูก ให้มันก่อนเถอะ เราจะได้เห็นว่ามันจะถอนเงินสักเท่าไรเชียว เราจะได้หัวเราะเยาะมัน” นัจกรเอ่ยขึ้น
รพีพงษ์หัวเราะแล้วนั่งลงตรงหน้าเคาน์เตอร์ พนักงานรีบยิ้มให้เขาด้วยความนอบน้อมแล้วพูดว่า “เป็นเกียรติที่ได้ให้บริการคุณนะคะ”
รพีพงษ์หันไปมองบัลยงก์ คำพูดของเขาเมื่อครู่เป็นเหมือนการเตือนเขา ในเมื่อครอบครัวนี้น่ารังเกียจเช่นนี้ ถ้าเขาถอนเงินออกมาจากธนาคารทั้งหมด น่าจะพอทำให้คนพวกนั้นเสียใจไปหลายวัน
“ตอนนี้ที่เคาน์เตอร์มีเงินสดทั้งหมดเท่าไรเหรอครับ” รพีพงษ์เอ่ยถาม
“ประมาณสามล้านห้าแสนค่ะ” พนักงานตอบ
บัลยงก์ได้ยินรพีพงษ์ถามพนักงาน เขาแสยะยิ้มออกมา “แกคงจะไม่คิดถอนเงินสดออกมาทั้งหมดหรอกใช่ไหม ฉันไม่เคยเจอใครอวดดีแบบแกมาก่อน”
นัจกรและนิเวทน์มองรพีพงษ์ด้วยสายตาดูถูก พวกเขาคิดว่าการที่รพีพงษ์ถามพนักงานว่ามีเงินเหลือเท่าไรมันค่อนข้างไม่ฉลาด อีกอย่างใครก็ไม่มีทางถอนเงินสดจากธนาคารจำนวนสามล้านห้าแสนหรอก
ธนาคารต้องพิจารณาถึงการแบ่งส่วนที่เท่าเทียมกัน คงไม่อนุญาตให้ใครคนหนึ่งถอนเงินออกไปมากขนาดนั้น
ปกติแล้วคนที่จะถอนเงินจำนวนมาก จำเป็นต้องแจ้งธนาคารไว้ล่วงหน้า จะมาถอนเงินจำนวนมากขนาดนั้นที่หน้าเคาน์เตอร์เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“ใช่ ผมจะถอนเงินทั้งหมด” รพีพงษ์ยิ้มแล้วมองบัลยงก์ เขาหันไปพูดกับพนักงาน “ช่วยถอนเงินออกมาให้ผมสามล้านห้าแสน”
นัจกรหัวเราะออกมาเสียงดัง “สมองแกน่าจะมีปัญหานะ ขนาดฉันยังรู้เลยว่าธนาคารมีจำกัดวงเงินในการถอน วันหนึ่งสามารถถอนได้แค่หนึ่งหรือสองแสนเท่านั้น แกจะถอนเงินสามล้านห้าแสนในครั้งเดียว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องว่าแกจะมีเงินหรือไม่ ถึงแกจะมีเงิน ธนาคารคงไม่ให้แกถอนหรอก”
“พอเถอะ คนจนๆ แบบมันถอนเงินสามร้อยห้าสิบน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่าสามล้านห้าแสนนะ คุณคิดว่ามันเป็นผู้มีอิทธิพลเหรอ” นิเวทน์พูดดูถูก
“รอดูแล้วกัน พนักงานก็คงจะคิดว่าสมองของมันมีปัญหาเหมือนกัน ยังจะมาถอนเงินสามล้านห้าแสน ทำไมแกไม่ซื้อธนาคารนี้ไปเลยล่ะ” บัลยงก์แสยะยิ้ม
พนักงานมองรพีพงษ์ สีหน้าของเธอลังเลเล็กน้อย เพราะว่าธนาคารมีกฎระเบียบ เงินสดหน้าเคาน์เตอร์ไม่สามารถถอนให้คนคนเดียวภายในครั้งเดียว
“คุณผู้ชายคะ ถ้าคุณจะถอนเงินเยอะขนาดนี้ภายในครั้งเดียว จำเป็นต้อง…”
รพีพงษ์ยื่นบัตรของเขาให้พนักงาน
เมื่อพนักงานเห็นบัตรของเขา ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นจึงรีบรับมา “คุณผู้ชาย เดี๋ยวฉันจะไปจัดการให้ค่ะ รอสักครู่นะคะ”
ธนาคารแห่งนี้เป็นธนาคารที่รพีพงษ์ใช้บริการมาตลอด เพื่อให้รพีพงษ์ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดได้ทุกเมื่อผู้จัดการธนาคารบอกคุณสมบัติของแบล็กการ์ดให้ทุกคนทราบ และบอกพวกเขาว่าเมื่อพวกเขาเห็นแบล็กการ์ดใบนี้ พวกเขาจะต้องให้บริการผู้ถือบัตรด้วยมาตรฐานสูงสุด
สำหรับคนอื่น การถอนเงินในแต่ละวันจะมีวงเงินจำกัด แต่สำหรับแบล็กการ์ดของรพีพงษ์ กฎระเบียบก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว
บัลยงก์กับครอบครัวเห็นพนักงานรับบัตรของรพีพงษ์มาโดยไม่ดูจำนวนเงินที่อยู่ในบัตร ก็ตอบตกลงถอนเงินให้เขาแล้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ
“คุณยังไม่รูดบัตรของมันเลยนะ ไม่รู้ว่าในบัตรนั่นมีเงินเท่าไร ทำไมคุณถึงตอบตกลงถอนเงินให้เขา” บัลยงก์ถาม
“จากฐานะของคุณผู้ชายคนนี้ ไม่ต้องดูหรอกค่ะ ถึงคุณผู้ชายคนนี้จะไม่เอาบัตรมา แล้วบอกกับเราว่าจะถอนเงินสามล้านห้าแสน เราก็ถอนให้เขาได้ค่ะ” พนักงานเอ่ยขึ้น
รพีพงษ์ใช้แบล็กการ์ดฝากเงินร้อยล้านไว้ที่ธนาคารแห่งนี้ ถึงเขาจะไม่เอาบัตรมาแล้วแสดงตัวตนของเขา ธนาคารก็ต้องถอนเงินให้เขา
บัลยงก์และครอบครัวสูดหายใจเฮือก คิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะมีอิทธิพลขนาดนี้ มีหน้ามีตาในธนาคาร ถึงเป็นคนโง่ก็รู้ว่าเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่
นัจกรมองชนิสราด้วยความโมโห ความอิจฉาริษยาก่อตัวขึ้นในใจของเธอ
“ฉันว่าแล้ว ทำไมนั่งผู้หญิงคนนี้ถึงยอมให้บัตรกับเรา ที่แท้ได้คนรวยนี่เอง น่าหงุดหงิดชะมัด ไม่ได้การแล้ว เราจะจากไปกับเงินแค่ไม่กี่หมื่นไม่ได้ มันต้องให้เงินเราอีก” นัจกรเอ่ยขึ้น
“แม่ รอก่อน ดูว่ามันจะถอนเงินมากขนาดนั้นได้จริงหรือเปล่า” บัลยงก์เอ่ยขึ้น
พนักงานเตรียมเงินสดให้รพีพงษ์ เพื่อความรอบคอบ เธอเรียกพนักงานคนที่ไม่ได้ทำอะไรมาช่วยเตรียมเงิน
พนักงานคนนั้นเตรียมกระเป๋าเป้ใบใหญ่สามใบ ลักษณะคล้ายกระเป๋าปีนเขาที่ข้างในมีพื้น
คนที่มาทำธุรกรรมการเงินต่างพากันตกใจกับกระเป๋าใบใหญ่ที่มีเงินบรรจุอยู่ในนั้น คนพวกนั้นต่างพากันมองรพีพงษ์ด้วยความอิจฉา
รพีพงษ์ไม่กังวลว่าคนพวกนี้จะรู้ว่าในกระเป๋าเป้มีเงินเยอะ เพราะว่าความเก่งกาจของเขา จุดจบของคนที่อยากมาปล้นเงินของเขามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“คุณผู้ชายคะ ยังเหลือเงินอีกสองแสนใส่เข้าไปไม่ได้แล้วค่ะ คุณต้องการให้ฉันเพิ่มกระเป๋าอีกใบไหมคะ” พนักงานตรงเคาน์เตอร์ถามขึ้น
“ไม่ต้อง คุณช่วยทำบัตรธนาคารให้เธอหน่อย แล้วเอาเงินนี่ฝากเขาไปในบัตรนั่น” รพีพงษ์ชี้ไปยังชนิสรา แล้วลุกขึ้นให้เธอมาทำบัตรธนาคาร
ในเวลานี้ชนิสรายืนงงอยู่ตรงนั้น ตอนนี้เธอได้ยินว่ารพีพงษ์จะทำบัตรให้เธอ แถมยังฝากเงินให้อีกสองแสน เธอเบิกตาโต
“พี่สา มานั่งทำบัตรสิครับ พี่เอาบัตรประชาชนมาใช่ไหม” รพีพงษ์เอ่ยขึ้น
“รพีพงษ์ คุณอย่าทำแบบนี้ เงินนี้ถ้าใส่เข้าไปในกระเป๋าไม่ได้ก็ฝากกลับเข้าไปในบัตรของคุณ คุณให้ฉันทำบัตรทำไมล่ะคะ ” ชนิสรารีบปฏิเสธ
“ลูกของพี่ต้องใช้เงินเรียน ตอนนี้เงินของพี่ถูกพวกไร้ยางอายแย่งไปแล้ว ตอนนี้พี่จำเป็นต้องใช้เงิน เงินพวกนี้ถือเป็นเงินที่ผมสนับสนุนด้านการเรียนให้ลูกสาวพี่ก็แล้วกัน” รพีพงษ์เอ่ยขึ้น
“ไม่ได้ ไม่ได้ เงินพวกนี้มันมากเกินไป ตอนนี้ฉันทำงานอยู่ในบ้านของคุณ เงินเดือนทุกๆ เดือนก็ไม่ใช่น้อยๆ ฉันไม่สามารถรับเงินพวกนี้ได้อีก” ชนิสราเอ่ยขึ้น
รพีพงษ์คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน เงินพวกนี้ถือว่าเป็นเงินเดือนที่ผมจ่ายให้พี่ล่วงหน้า พี่เอาไปใช้ก่อน ผมจะไม่จ่ายเงินเดือนให้พี่ พี่ว่าแบบนี้เป็นไงครับ”
ชนิสราซาบซึ้งใจ เธอรู้ว่ารพีพงษ์อยากให้เธอดูมีหน้ามีตา ต้นปียังไม่ได้ทำงานเขาก็ให้เงินมาแล้ว ไม่มีใครทำเป็นแบบนี้หรอก ยิ่งไปกว่านั้นการที่รพีพงษ์ให้เงินสองแสนภายในครั้งเดียว สำหรับชนิสรา เงินนี่มันมากจริงๆ
“แกจะยืนบื้ออยู่ทำไม เขาให้เงินมากขนาดนั้นยังไม่รับ แกโง่หรือเปล่า” นัจกรมองชนิสราด้วยแววตาอิจฉาริษยา
เธอจะรอให้ชนิสราทำบัตรธนาคารเสร็จ แล้วค่อยแย่งมาอีก เงินสองแสนจะได้เป็นของครอบครัวเธอ
ชนิสราไม่สนใจนัจกร เธอรู้ว่ารพีพงษ์พูดคำไหนคำนั้น เธอจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “รพีพงษ์ ฉันจะจดจำบุญคุณของคุณเอาไว้ ขอแค่คุณไม่ไล่ฉันออกจากบ้าน ฉันจะรับใช้คุณตลอดไป”
รพีพงษ์ยิ้มแล้วให้ชนิสรามานั่งทำบัตรธนาคาร
ครอบครัวของนัจกรเอาแต่จ้องชนิสรา ทั้งสามคนเดินเข้ามาเพื่อที่จะดูรหัสบัตรของชนิสรา
รพีพงษ์หันไปมองทั้งสามคนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ออกไปห่างๆ ไม่งั้นอย่าหาว่าผมไม่เกรงใจ”
นัจกรจ้องรพีพงษ์แล้วพูดเสียงสูง “นายจะบอกให้พวกเราออกไปห่างๆ แล้วเราต้องทำตามงั้นเหรอ ชนิสราเป็นภรรยาของน้องชายเรา ทำไมเราถึงจะยืนตรงนี้ไม่ได้”
“ใช่ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน นายแค่คนนอก มายุ่งเรื่องครอบครัวคนอื่นทำไม คนที่ควรจะต้องออกไปห่างๆ คือนายต่างหาก!” บัลยงก์พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ตอนที่พี่สาเอาบัตรให้พวกคุณ เธอพูดชัดเจนแล้วนะว่าหลังจากนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกคุณอีก ยังมีหน้ามาบอกว่าเธอเป็นครอบครัวเดียวกัน” รพีพงษ์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“นายยุ่งอะไร ตอนนี้เธอมีเงิน พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันสิ รอตอนที่เธอไม่มีเงินเราก็ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันแล้ว” นักจรพูดอย่างไร้ยางอาย
“พูดอย่างนี้ พวกคุณจะเอาเงินจากเธออีกอย่างนั้นเหรอ” รพีพงษ์เอ่ยถาม
“ใช่ ทำไม อย่าบอกนะว่านายจะไม่ให้เงินเธองั้นเหรอ นายต้องรักษาคำพูดสิ เมื่อกี้พวกเราได้ยินว่านายจะเอาเงินให้เธอ ถ้าวันนี้นายไม่ให้เธอ วันนี้เรื่องนี้ไม่จบแน่!” นัจกรจ้องรพีพงษ์เขม็ง
รพีพงษ์หัวเราะแล้วยื่นมือออกไปหยิบเงินในกระเป๋าเป้ออกมาหนึ่งหมื่น จากนั้นจึงถามนัจกร “เงินหมื่นนี่คุณกล้ารับไว้ไหม”
นัจกรเห็นเงินหมื่น ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบแย่งมาทันที “ทำไมถึงจะไม่กล้าล่ะ นายนี่ก็โง่เหมือนกันนะ กล้าให้เงินหมื่นกับฉัน”
“ผมไม่ได้บอกว่าจะให้คุณ” รพีพงษ์หัวเราะออกมา แล้วหันไปมองพนักงานที่เคาน์เตอร์ เขาส่งสัญญาณให้เธอทางสายตา
พนักงานตรงเคาน์เตอร์เข้าใจสิ่งที่รพีพงษ์กำลังจะสื่อ เธอรีบกดปุ่มเตือนภัยที่อยู่ใต้โต๊ะทันที
ทันใดนั้นสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นในธนาคาร ครอบครัวของนัจกรยังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น พวกเขานึกว่ามีคนมาปล้นเงิน จึงรอดูเหตุการณ์
ไม่ถึงหนึ่งนาที ชายในชุดเครื่องแบบพร้อมกระบองวิ่งเข้ามาข้างใน พนักงานเห็นพวกเขาก็รีบชี้ไปยังนัจกร “คนนั้นค่ะ เธอเอาเงินของคุณผู้ชายคนนี้ไปค่ะ!”
คนพวกนั้นรีบเข้าไปแล้วรีบกดนัจกรลงกับพื้นด้วยความรวดเร็ว แล้วเอาเงินออกมาจากมือของเธอ
บัลยงก์กับนิเวทน์เห็นเช่นนั้น จึงกระวนกระวายขึ้นมาทันที พวกเขาจะเดินเข้าไปเอาเรื่องชายพวกนั้น
“พวกนั้นสมคบคิดกับเธอด้วยค่ะ” พนักงานตะโกนออกมา
ไม่กี่นาทีบัลยงก์กับนิเวทน์ถูกกดลงกับพื้น ชายพวกนั้นกลัวว่าสองคนนี้จะเล่นตุกติก จึงถีบทั้งสองคนไปสองสามที
“คุณผู้ชายนี่เงินของคุณครับ” หนึ่งในนั้นเอาเงินมาคืนรพีพงษ์
“พวกแกปล่อยเรานะ พวกแกนี่หน้าไม่อาย ฉันไม่ได้ขโมยเงินมัน มันเอามาให้ฉันเอง” นัจกรพูดอย่างไม่พอใจ
“ผมไม่เคยพูดคำนั้นนะ” รพีพงษ์พูดแล้วยิ้มออกมา
“อย่ามาพูดมั่วๆ กล้ามาขโมยเงินในธนาคาร พวกแกมันบ้าไปแล้ว พวกแกต้องไปกับเรา ถ้าไม่สั่งสอนพวกแก แกคิดว่าพวกเราเป็นตำรวจที่ไม่ได้เรื่องหรือไง ”
ชายพวกนั้นพาตัวของทั้งสามคนออกจากธนาคาร ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจุดจบของคนทั้งสามจะเป็นอย่างไร
ชนิสรายืนดูเหตุการณ์ด้วยความตกตะลึง เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่ารพีพงษ์จะใช้วิธีนี้ในการจัดการครอบครัวของนัจกร
“รีบทำบัตรเถอะครับ ไม่ต้องไปสนใจพวกนั้นแล้ว ตำรวจจะสอนความเป็นคนให้พวกนั้นเอง” รพีพงษ์ยิ้มแล้วพูดออกมา