พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 26 ซื้อร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า นี้ซะ
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- ตอนที่ 26 ซื้อร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า นี้ซะ
บทที่ 26 ซื้อร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า นี้ซะ
“ รพีพงษ์ คุณจะทำอะไรน่ะ ฉันแค่จะดูเฉย ๆ ไม่ได้จะซื้อสักหน่อย ไม่ต้องเข้าไปก็ได้ ” อารียา รีบพูดขึ้นมา
“โทรทัศน์เครื่องที่บ้านก็ควรเปลี่ยนจริง ๆ นั่นล่ะ ยังไงก็เดินมาถึงนี่แล้วก็เข้าไปดูสักหน่อยเถอะ ” รพีพงษ์ พูดพร้อมรอยยิ้ม
อารียา ไม่มีทางเลือก เธอจึงเดินตาม รพีพงษ์ เข้าไปแต่โดยดี
เดิมที อารียา ต้องการแค่เครื่องที่มีราคาถูกเท่านั้น แต่ รพีพงษ์ บอกว่าโทรทัศน์เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตจะต้องมีคุณภาพที่ดีที่สุด
ดังนั้นพวกเขาจึงเข้ามาในส่วนของที่มีคุณภาพและระดับสูงของร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า
“ โอ้โห รพีพงษ์ พวกเราไปที่อื่นกันดีกว่า โทรทัศน์ที่นี่มันแพงเกินไปราคาตั้งเป็นหมื่นสองหมื่นเลยนะ ”
อารียา มองไปยังป้ายราคาที่ติดอยู่ที่เครื่อง ก่อนจะหันหลังกลับทันที
“ หมื่นสองหมื่นก็ยังได้อยู่นะ ลองดูก่อน ” รพีพงษ์ พูดขึ้น
ขณะเดียวกันพนักงานขายที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็เหลือบมองไปที่พวกเขาทั้งสอง เธอเห็นว่าทั้งสองคนดูเหมือนไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร คงไม่สามารถซื้อโทรทัศน์ที่นี่ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงไม่เดินเข้าไปหา
คนแบบนี้เธอเจอมาเยอะแล้ว ไม่มีปัญญาจะซื้อแต่ขอแค่ได้ดูก็พอ ดังนั้นเมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้เธอจึงเลือกที่จะไม่สนใจ
รพีพงษ์ ก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องโทรทัศน์มากนัก พอดีกับที่เขาเห็นพนักงานขายยืนไม่ไกล จึงเดินเข้าไปถามว่า “ สวัสดีครับ คุณช่วยแนะนำเกี่ยวกับโทรทัศน์เครื่องนั้นให้เราหน่อยได้ไหมครับ ? ”
พนักงานขายขี้เกียจแม้แต่จะลืมตาขึ้นมาดู ก่อนจะพูดออกไปตรง ๆ ว่า “ พวกคุณควรไปดูตรงส่วนอื่นนะคะ โทรทัศน์ตรงนี้มันน่าจะแพงเกินไปสำหรับพวกคุณ ถ้าฉันต้องมาอธิบายให้คุณฟังอีกบอกเลยว่ามันเสียเวลาของฉันค่ะ ”
เมื่อ อารียา ได้ยินดังนั้นเธอก็รีบเดินเข้ามาคว้าแขนของ รพีพงษ์ ทันที ยังไงเธอก็ไม่สามารถซื้อได้อยู่แล้ว ที่พนักงานขายพูดมามันก็ถูก
รพีพงษ์ รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้ยินพนักงานขายพูดขึ้นมาเช่นนั้น
ไม่ว่าพวกเขาจะซื้อหรือไม่ซื้อ มันก็เป็นหน้าที่ที่ต้องแนะนำสินค้าให้กับลูกค้า พนักงานขายคนนี้รู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถซื้อได้ ทำให้แม้แต่การแนะนำสินค้าเธอก็ไม่อยากจะทำ
คนบางคนมักจะคิดว่าตัวของพวกเขาเองนั้นอยู่ในระดับที่สูงส่ง เพียงเพราะสินค้าบางชนิดที่ตัวเองขายนั้นอยู่ในระดับสูง
“ คุณรู้ว่าพวกเราซื้อไม่ไหว ? ” รพีพงษ์ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
พนักงานขายเหลือบมองเขาก่อนจะเบะปากลงแล้วพูดว่า “ พวกคุณนี่ไม่ดูตัวเองเลยนะ เสื้อผ้าที่พวกคุณใส่นี่รวม ๆ กันยังไม่ถึงหนึ่งร้อยหยวนเลย แล้วคุณคิดว่าคุณมีปัญญาซื้อโทรทัศน์เครื่องละสองหมื่นหยวนหรือไง ? ”
“ ขอโทษด้วยนะคะ พวกเราแค่เข้ามาดูเฉย ๆ ทำให้คุณลำบากแล้ว ” อารียา รีบเดินเข้าไปดึงแขน รพีพงษ์ ถ้าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป คงได้ขายหน้ากันไปใหญ่แน่
“ แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ ” พนักงานขายมอง รพีพงษ์ ราวกับว่าเขารบกวนและทำให้เธอรำคาญใจเป็นอย่างมาก
“ เขาเป็นพนักงานขาย นี่เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องแนะนำสินค้าให้กับเรา ทำไมเราถึงจะไปทำให้เขาลำบากด้วยล่ะ ” รพีพงษ์ พูดขึ้น
“ พวกคุณดูแต่ไม่ซื้อแค่นี้ก็ทำให้ฉันลำบากแล้ว ” พนักงานขายพูดขึ้นอย่างก้าวร้าว
รพีพงษ์ ไม่ได้โต้แย้งกับพนักงานขายต่อ แต่เขากลับชี้ไปที่โทรทัศน์เครื่องที่แพงที่สุดพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ พวกเราจะเอาเครื่องนี้ คิดเงินเดี๋ยวนี้เลย ”
อารียา เบิกตากว้างทันทีพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ คุณบ้าไปแล้วรึไง เครื่องนั้นมันสามหมื่นแปดเชียวนะ ”
เมื่อพนักงานขายเห็นว่า รพีพงษ์ จะคิดเงินเลยทันที แถมยังเลือกโทรทัศน์เครื่องที่แพงที่สุดด้วย เธอก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
ถ้า รพีพงษ์ จะซื้อโทรทัศน์เครื่องที่แพงที่สุดนี้ไปจริง ๆ แล้วกลับมาฟ้องร้องเธอ เธอคงได้ตกที่นั่งลำบากเป็นแน่
อย่างไรก็ตามเมื่อเธอสังเกตเห็นปฏิกิริยาของ อารียาแล้ว ในใจเธอก็เดาได้ทันทีว่า รพีพงษ์ แค่กำลังแกล้งหลอกเธออยู่ ยังไงพวกเขาก็ไม่มีปัญญาซื้อโทรทัศน์ที่มีราคาแพงขนาดนี้ได้หรอก
ในท้ายที่สุดเธอก็เลือกที่จะเชื่อสัญชาตญาณของตัวเธอเอง แต่ท่าทางของเธอที่มีต่อ รพีพงษ์ นั้นก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
“ พวกคุณพูดขึ้นมาเองนะว่าจะซื้อ ถ้าหากตอนคิดเงินพวกคุณไม่มีจ่าย ฉันคงต้องให้เจ้าหน้าที่เอาตัวพวกคุณออกไปแล้วล่ะ ” พนักงานขายพูดขึ้นด้วยเสียงเย็น
มองแค่แวบเดียวก็รู้แล้วว่าสองคนนี้เป็นแค่พนักงานเงินเดือนธรรมดา ไม่มีปัญญาซื้อแน่นอนพนักงานขายพยายามปลอบใจตัวเอง
ต่อมาเธอก็พา รพีพงษ์ ไปยังจุดชำระเงินและบอกให้พนักงานอีกคนออกใบเสร็จให้ จากนั้นก็ส่งใบเสร็จให้กับ รพีพงษ์ แล้วพูดขึ้นว่า “ จ่ายเงินด้วยค่ะ ”
รพีพงษ์ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเพื่อจะเอาบัตรของเขา แต่ไม่ว่าจะล้วงยังไงก็ไม่เจอสักที
ทันใดนั้นเองเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าวันนี้ก่อนออกมาเขาเปลี่ยนเสื้อแล้ว แต่บัตรของเขายังอยู่ที่เสื้อตัวเดิมอยู่
“ รพีพงษ์ เอ่อ….พวกเราไปกันเถอะ ” อารียา รู้สึกอับอายขึ้นมากกว่าเดิมอีกหลังจากที่เห็นท่าทางหาบัตรของเขา
เมื่อพนักงานขายเห็นท่าทางของ รพีพงษ์ เช่นนั้น เธอจึงตัดสินใจได้ทันทีเลยว่าเรื่องที่เขาจะซื้อโทรทัศน์เครื่องนี้เป็นแค่การแกล้งหลอกเท่านั้นเอง ใบหน้าของเธอจึงเพิ่มความเหยียดหยามมากกว่าเดิมอีก
“ ฉันบอกแล้วว่าคุณไม่มีปัญญาซื้อหรอก เรื่องแค่นี้ยังจะมาหลอกกันอีก พวกคุณจะออกไปกันเองดี ๆ หรือจะให้เจ้าหน้าที่มาลากตัวออกไป ” พนักงานขายพูดขึ้นอย่างก้าวร้าวและมั่นใจ
“ ผมก็แค่ลืมเอาบัตรมาแค่นั้นเอง ” รพีพงษ์ พูดขึ้น
“ ลืมบัตรอะไรกันล่ะ คนแบบคุณเนี่ยฉันเจอมาเยอะแล้ว อย่าคิดว่าฉันดูคุณไม่ออกนะ ลืมเอาบัตรมาอย่างนั้นเหรอแล้วทำไมคุณไม่ลืมเอาภรรยามาบ้างล่ะ ” พนักงานขายพูดขึ้นอย่างดูถูก
รพีพงษ์ รู้สึกขัดใจขึ้นมาทันที เขารู้สึกทนไม่ไหวเมื่อมีอะไรมาเกี่ยวข้องถึงภรรยาของเขา
“ คุณรอผมอยู่ตรงนี้นะ ผมออกไปโทรศัพท์ก่อน ”
รพีพงษ์ หันหลังกลับและเดินออกไปทางด้านข้าง
“ ยังจะโทรศัพท์อะไรอีก ซื้อก็ซื้อไม่ไหวยังจะมาแสดงอยู่ได้ ไร้ยางอายจริง ๆ ”
ใบหน้าของ อารียา เต็มไปด้วยความอับอาย ถ้าเธอรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเธอจะไม่เข้ามาพร้อมกับ รพีพงษ์ เด็ดขาด
แต่ทว่าจะเสียใจทีหลังยังไงก็คงไม่มีประโยชน์แล้ว
เธอพึ่งจะรู้สึกว่า รพีพงษ์ นั้นมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง แต่ยังไม่ทันไรเขาก็มาทำเรื่องแบบนี้ ทำให้เธอกลับมารู้สึกว่าเขานั้นก็ยังดูเชื่อถือไม่ได้อยู่ดี
รพีพงษ์ เดินออกไปยังมุมที่เงียบสงบ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นพร้อมกับต่อสายออกไป
ณเมืองริเวอร์ ชั้นบนสุดของตึกซันบับเบิล ในห้องสำนักงานของ เธียรวิชญ์
“ คราวหน้าถ้าไม่มีเรื่องอะไรที่สำคัญเป็นพิเศษไม่ต้องเข้ามาหาฉัน ได้ยินมั้ย ? ” เธียรวิชญ์ พูดพร้อมกับจ้องไปที่เลขา ฯ ของเขา
“ ค่ะ ท่านประธาน ” เลขา ฯ สาวตอบกลับด้วยเสียงสั่น ๆ
ขณะนั้นเองโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะทำงานของเขาก็ดังขึ้น เลขา ฯ สาวจึงรีบดูและพูดขึ้นว่า “ ท่านประธานคะ เป็นสายจาก รพีพงษ์ ค่ะ ถ้าไม่สำคัญฉันวางสายให้เลยนะคะ ”
เมื่อ เธียรวิชญ์ ได้ยินชื่อ รพีพงษ์ เขาก็กระโดดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที พร้อมกับรีบคว้าโทรศัพท์มาไว้ในมือทันที ก่อนจะบอกกับเลขา ฯ สาวว่า “ คราวหน้าถ้าเป็นคนอื่นวางสายได้ ยกเว้นเขาคนนี้ต่อให้มันจะไม่ใช่เรื่องสำคัญก็ตาม คุณต้องแจ้งผมทันทีที่ถ้าเห็นเบอร์นี้โทรหาผม ”
หลังจากพูดจบ เธียรวิชญ์ ก็กดรับสายทันที
“ ฮัลโหล พี่รพี ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ ไม่ได้เจอกันนานเลยผมคิดถึงแล้วนะ ”
“ ตรวจสอบให้ฉันหน่อยว่าใครเป็นเจ้าของ ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าวอทเทอร์สกาย ฉันต้องการซื้อร้านนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ” รพีพงษ์ พูดขึ้นเบา ๆ
ในเมื่อพนักงานขายนั่นไม่เชื่อว่าเขาสามารถซื้อโทรทัศน์เครื่องละสามหมื่นกว่าหยวนได้ อย่างนั้นเขาก็จะซื้อทั้งร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า นั่นล่ะ พอถึงตอนนั้นจะได้ถือว่าเป็นการให้บทเรียนเล็ก ๆ แก่เธอด้วย
หลังจากที่ เธียรวิชญ์ได้ฟัง รพีพงษ์ พูด เขาก็รีบตรงไปยังคอมพิวเตอร์และเริ่มตรวจสอบข้อมูลทันที ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ พี่รพี ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าวอทเทอร์สกาย นั่นอยู่ในเครือของกลุ่มบริษัทของเราครับ ผู้จัดการร้านชื่อว่า เมฆา เดี๋ยวผมจะส่งเบอร์โทรศัพท์เขาให้พี่นะ ”
“ ร้านขายเครื่องใช้นั่นแค่กลุ่มบริษัทเราเปิดขึ้นมาแบบง่าย ๆ เฉย ๆ ไม่ได้มีความสำคัญต่อตัวบริษัทของเรามากมายอยู่แล้ว พี่รพี อยากจะทำอะไรก็ได้หมดเลยครับ ”