พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 225 ฉันคนเดียวก็เอาอยู่
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- ตอนที่ 225 ฉันคนเดียวก็เอาอยู่
บทที่225 ฉันคนเดียวก็เอาอยู่
ด้านนอกktv รพีพงษ์และอันนายืนอยู่ด้วยกัน อันนามองไปที่รพีพงษ์อย่างร้อนรน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี๊ทำให้เธอตกใจจริงๆ เธอไม่รู้ว่าทำไมชิตวรถึงได้นอบน้อมถ่อมตนกับรพีพงษ์ขนาดนั้น ทำเอาเธอไม่กล้าปฏิบัติกับรพีพงษ์อย่างเก่าเลย
“รพีพงษ์ คือ ทำไมชิตวรถึงได้ช่วยคุณขนาดนี้ หรือคุณไม่ได้มาเกียวโตครั้งแรกหรอ ดูจากท่าทางของเขาแล้ว เหมือนรู้จักคุณเลยอย่างไรอย่างนั้น” อันนากล่าว
รพีพงษ์หันไปดูเธอ หัวเราะพลางกล่าว “ นานมาแล้วได้อาศัยอยู่ที่เกียวโตช่วงหนึ่ง ตอนนั้นชิตวรเป็นแค่พนักงาน ไม่คาดคิดว่ากลับมาครั้งนี้ เขาจะยิ่งใหญ่ขึ้น”
จู่ๆในสมองอันนาก็ได้มีความคิดที่เชื่อมโยงกันบางอย่าง แล้วถาม “ดังนั้นในตอนนั้นคุณกับเขาก็เป็นพนักงานด้วยกัน เขาจึงได้ช่วยคุณหรอ?” รพีพงษ์ไม่ได้ยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ อันนาคิดว่ารพีพงษ์รู้สึกอาย เพราะถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ชิตวรอยู่ระดับนี้แล้ว แต่เขายังคงเป็นเพียงแค่ไอ้สวะเท่านั้น พูดขึ้นมาก็รู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ
“ขอโทษนะ ฉันไม่ตั้งใจ เพียงแค่รู้สึกแปลกใจ ใช่ ขอพูดอีกนิด คุณร้องเพลงเพราะนะ เป็นคนที่ฉันเจอที่ร้องเพลงเพราะที่สุด” อันนากล่าว
“ขอบคุณ” รพีพงษ์กล่าว
อันนาลูบนิ้วโป้งของตนเอง รู้สึกร้อนรน รู้สึกอยากจะหาเรื่องคุยกับรพีพงษ์ตลอด แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
เหมือนหญิงเพิ่งแตกสาวแล้วกำลังเขินอายตอนที่มีความรัก
ในตอนนี้ชิตวรเดินออกไปข้างนอก ไปยังข้างหน้าของรพีพงษ์ แล้วกล่าวอย่างนอบน้อมถ่อมตน “คุณรพี”
“จัดคนส่งเธอกลับบ้าน ผู้หญิงคนเดียวในเวลากลางคืนไม่ปลอดภัย” รพีพงษ์กล่าว
อันนาตาโต แล้วกล่าว “คุณให้คนไปส่งฉันทำไม?”
รพีพงษ์ชะงัก แล้วถาม “ดึกขนาดนี้แล้ว ไม่ส่งคุณกลับ แล้วคุณจะอยู่ที่นี่ต่อทำไม? ถ้าคุณยังมีธุระอื่นต่ออีกล่ะก็ สามารถให้คนของเขาส่งคุณได้”
อันนาเขิลอาย รู้สึกว่ารพีพงษ์เป็นผู้ชายตรงๆจริงๆ เธอไม่อยากกลับไป อยากจะอยู่กับรพีพงษ์ต่ออีกสักแป๊ป ไม่คาดคิดว่ารพีพงษ์จะไม่รู้อะไรเลย
“งั้น……งั้นฉันกลับบ้านดีกว่า ไอดีวีแชทคุณอะไร ฉันแอดวีแชทคุณหน่อยล่ะกัน” อันนาพูดต่อ
รพีพงษ์ยิ้ม แล้วเอาวีแชทของตนให้กับอันนา
เขามองออกว่าอันนาคิดอะไรอยู่ แต่เขาและอันนาก็แค่พบกันโดยบังเอิญเท่านั้น แล้วเขาก็ไม่สามารถมีความสัมพันธ์ใดๆกับอันนาได้ ดังนั้นอย่าให้ความหวังกับอันนาเลยจะดีกว่า
ชิตวรจัดคนมาทันที อันนาอาลัยอาวรณ์ไม่อยากขึ้นรถ ก่อนจากไปยังตะโกนไปหารพีพงษ์ว่า “จู่ๆฉันก็รู้สึกว่าคุณก็ดีนะ ต่อไปต้องติดต่อกันบ่อยๆนะ”
มองดูรถคันนั้นจากไป รพีพงษ์หันไปมองชิตวร แล้วถาม “ในช่วงที่ฉันไม่อยู่ ตระกูลลัดดาวัลย์เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง”
“ตอบคุณชาย หลังจากที่คุณจากไปแล้วนั้น อำนาจทุกอย่างของตระกูลลัดดาวัลย์อยู่ในกำมือของคุณแม่ของคุณชาย แต่มีบางสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็คือ หลังจากที่คุณจากไปแล้ว แม่ของคุณได้ไล่คนที่ติดตามหัวหน้าวงค์ตระกูลลัดดาวัลย์ทั้งหมดออกไป เหลือไว้เพียงคนที่อยู่ข้างๆกายเธอเท่านั้น
“ตอนแรกผมได้สาบานว่าจะติดตามตระกูลลัดดาวัลย์ตลอดไป หลังจากที่คุณจากไปแล้ว เพราะเหตุผลนี้ ผมจึงถูกไล่ออกจากตระกูลลัดดาวัลย์ แต่ดีที่โชคเข้าข้าง สามารถทำมาได้ถึงปัจจุบันนี้ แน่นอน คุณชายไม่เก็บเรื่องพวกนี้มาคิดหรอก”
ชิตวรอธิบายให้รพีพงษ์ฟัง ด้วยน้ำเสียงหดหู่
รพีพงษ์หลับตาลง ไม่คาดคิดว่าหลังจากที่ตนจากไปแล้ว วีธราจะไล่คนที่สนิทของพ่อออกจากตระกูลลัดดาวัลย์ทั้งหมด ไม่ว่าจะยังไง รพีพงษ์ก็รู้สึก การหายตัวไปของพ่อ เป็นฝีมือของวีธราแน่นอน
แต่โยษิตาบอกรพีพงษ์ว่า ตอนนั้นวีธราไม่มีปัญญาทำแบบนี้ได้หรอก ที่เธอมีโอกาสได้กุมอำนาจนั้น ก็เกิดขึ้นหลังจากที่พ่อได้หายตัวไปแล้ว ในวงศ์ตระกูลเกิดความแตกแยก เธอและโยษิตาอยู่ด้วยกัน ร่วมมือกันไล่รพีพงษ์ออก จึงได้กุมอำนาจของตระกูลลัดดาวัลย์เอาไว้ได้
ถ้าคิดแบบนี้ล่ะก็ รพีพงษ์ก็คิดไม่ออกว่าทำไมวีธราถึงได้มองลูกตนเองเป็นศัตรู ถึงขั้นไม่เสียดายที่ไล่เขาออกจากตระกูลลัดดาวัลย์ เพื่อที่จะกุมอำนาจของตระกูลลัดดาวัลย์ไว้
ส่ายหน้าไปมา ไม่คิดเรื่องนี้อีกต่อไป ยังไงก็กลับมาที่เกียวโตแล้ว น่าจะรอให้ได้เจอกับวีธราก่อน ก็จะได้รู้ความจริงของเรื่องนี้เสียที
เขาหยิบมือถือขึ้นมา โทรหาโยษิตา บอกเธอว่าตัวเองอยู่ที่ประตูjanhao ktv ให้เธอจัดคนมารับตน
“คุณชาย ผมพูดตรงๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นผมได้ยินมาว่า ความสัมพันธ์ของคุณและตระกูลลัดดาวัลย์ ตอนนี้น่าจะอยู่ในช่วงซับซ้อนนะ คุณกลับมาครั้งนี้ ต้องระวังตัวหน่อย ผมรู้สึกว่าแม่ของคุณ อาจจะไม่ได้เป็นมิตรกับคุณมากนัก” ชิตวรกล่าว
“เรื่องนี้ฉันรู้ เพราะในปีนั้นทุกคนก็พูดว่าฉันจะฆ่าแม่ตัวเองเพื่อยึดอำนาจ ความสัมพันธ์ของฉันและเธอ จะไม่ซับซ้อนได้ยังไง “รพีพงษ์กล่าว
“คุณชายไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ผมรู้ตั้งนานแล้ว เรื่องนี้มันมีอะไรซ้อนอยู่ แล้วผมก็ได้ยินมาว่าช่วงนี้คุณผู้หญิงของหอการค้าสมน.นั้นหายตัวไป คนของหอการค้าสมน.ให้ไปหาตระกูลลัดดาวัลย์ พูดว่าคุณชายของตระกูลลัดดาวัลย์ได้ฆ่าคุณผู้หญิงของพวกเขา นี่ทำให้ผมรู้สึกคาดไม่ถึงเลยจริงๆ” ชิตวรกล่าว
รพีพงษ์ขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลอยู่เหมือนกัน เขาไม่เคยแม้แต่จะเห็นคุณผู้หญิงของหอการค้าสมน. ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะฆ่าเค้าเลย
“ดูๆแล้วหลังจากที่กลับไปนั้น ต้องถามเธอให้ดี นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” รพีพงษ์พึมพำ
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยอยู่นั้น ด้านหน้าประตูของผับได้มารถตู้คันหนึ่งมาจอด ลงมาจากรถทั้งหมดสิบกว่าคน ในมือกำลังถืออาวุธไว้
หัวหน้าเป็นคนหัวล้าน ใบหน้าดุร้าย ข้างๆเขาเป็นผู้ชายที่นิ่งสงบ รพีพงษ์มองไปที่ชายคนนั้น เขารับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ของชายคนนี้
ชิตวรเห็นคนพวกนี้มา หน้าถอดสีทันที แล้วตะโกนว่า “ตรีภพ! มึงจะทำอะไร?”
“แหะแหะ พี่ชิต หรือแกลืมเรื่องที่แกแย่งอาณาเขตกับฉันครั้งที่แล้วแล้วหรอ? ถึงตอนนี้ลูกน้องฉันอีกหลายคนยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาลนู่น ในตอนนั้นพวกเขาโดนพวกแกตีจนอนาถเลยนะ แน่นอนว่าฉันต้องมาแก้แค้นให้พวกเขาสิ” คนหัวล้านนั้นพูดอย่างเยือกเย็น
“ครั้งที่แล้วกูเอาพวกมึงจนเลือดตกยางออก ครั้งนี้ก็เหมือนกัน หรือแกไม่กลัวว่าจะต้องเสียลูกน้องไปอีกหรอ?” ชิตวรกล่าว
ชิตวรสร้างเนื้อสร้างตัวมาได้ถึงระดับนี้ ก็ใช้คำว่าโหดเหี้ยมเท่านั้น บวกกับในตอนนั้นที่เขาอยู่ตระกูลลัดดาวัลย์ ได้เรียนรู้จากพ่อของรพีพงษ์มากมาย ดังนั้นคนธรรมดาจึงไม่ใช้คู่ต่อกรของเขา
“แหะแหะ ความเก่งกาจของแกฉันรู้ดี มิเช่นนั้นเขตตะวันตกนี้ ก็ไม่มีใครกล้าแตะแก แต่แย่หน่อยนะฉันเพิ่งได้ข่าว เมื่อสองวันก่อนโรคเก่าของแกกำเริบ ตอนนี้กำลังรักษาอยู่ ไม่รู้ว่าต่อไปนี้ไป แกยังต่อกรกับพวกเราได้อีกไหม” ตรีภพพูดอย่างมั่นใจ
ชิตวรใบหน้าถอดสี เขาคิดไม่ถึงว่าตรีภพจะรู้ว่าโรคเก่าของเขากำเริบ ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็ เรื่องวันนี้ก็จัดการยากแล้ว
ความสามารถของตรีภพในเขตตะวันตกนี้ใกล้เคียงกับชิตวร ทั้งคู่ต่อสู้กันหลายครั้ง ถึงแม้ตรีภพจะรู้ความสามารถของชิตวร แต่ก็ไม่กลัวเขา ดังนั้นถึงได้กล้ามาหาชิตวรในขณะที่โรคของเขากำเริบอยู่
เขารู้ว่าการที่จะชนะชิตวรนั้นเป็นไปได้น้อย แต่ทำให้ชิตวรลิ้มลองความเจ็บปวด ก็เป็นวิธีการที่ไม่เลว
“แล้วฉันก็มีข่าวดีที่จะบอกแก ครั้งนี้ฉันมา ได้เชิญคนของสำนักบูโดมา ท่านนี้ เป็นศิษย์เอกของสำนักบูโด ถิรมัน ความสามารถของเขายากที่จะเดาได้ มาต่อกรกับคนที่กำลังพักฟื้นแบบแกนั้น บอกได้เลยว่าเหลือเฟือ!” ตรีภพแนะนำชายวัยกลางคนข้างๆตน
สีหน้าของชิตวรเปลี่ยนไป แล้วกล่าว “แกเชิญคนของสำนักบูโดมา ไม่ใช่ว่าพวกเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ใดๆของเกียวโตหรอ?”
ตรีภพเยาะเย้ย แล้วกล่าว “แกเชิญมาไม่ได้ ก็แสดงว่าแกมันอ่อนหัด นี่ไม่ได้หมายความว่าฉันเชิญมาไม่ได้นะ วันนี้แกเตรียมตัวตายอย่างสงบได้เลย!”
หลังจากที่รพีพงษ์ได้ยินตรีภพพูดแล้วนั้น ก็มองไปที่ตรีภพอย่างสัพยอก
ชิตวรหันไปมองรพีพงษ์ แล้วกล่าว “คุณชาย คุณไปก่อนล่ะกัน ผมเกรงว่าที่ของผมวันนี้จะอยู่ไม่ได้นาน ไม่อยากสร้างความลำบากให้กับคุณชาย”
รพีพงษ์ยิ้ม แล้วกล่าว “ฉันรออีกหน่อยล่ะกัน นังไงคนที่มารับฉันก็ยังมาไม่ถึงยิ่งไปกว่านั้นแกก็โรคเก่ากำเริบ น่าจะรับมือพวกนี้ไม่ไหวนะ ในเมื่อปีนั้นเป็นเพราะแกติดตามพ่อฉันจึงถูกไล่ออก งั้นวันนี้ ฉันจะช่วยแกสักครั้ง ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณล่ะกัน
“คุณชาย คุณอย่าใจร้อน ถึงแม้ตรีภพเทียบกับตระกูลลัดดาวัลย์ไม่ได้ แต่ถ้าลงมือจริงๆ ก็ไม่ง่ายเลยนะครับ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเชิญคนของสำนักบูโดมาด้วย คุณชายคุณกลับไปก่อนเถอะ” ชิตวรกล่าวอย่างร้อนรน
ตอนนี้ความทรงจำของชิตวรที่มีต่อรพีพงษ์นั้นได้ถูกหยุดเอาไว้ในช่วงนั้นที่รพีพงษ์ได้จากไป ในตอนนั้นวีธราอยากให้ทุกคนรับในเรื่องที่รพีพงษ์ถูกไล่ออกจากตระกูลลัดดาวัลย์ให้ได้ ก็เลยป่าวประกาศว่ารพีพงษ์นั้นยโสโอหัง ต่ำช้าไร้จิตสำนึก เป็นลูกคนรวยที่ขี้เกียจไม่ทำอะไร
ถึงแม้ตอนนี้ชิตวรรู้สึกว่ารพีพงษ์ใจเย็นขึ้นมาก แต่เพราะเขาคือคุณชายของตระกูลลัดดาวัลย์ ตั้งแต่เล็กอยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่มีใครกล้ายั่วโมโห เขาจะต่อกรกับคนของสำนักบูโดและตรีภพได้อย่างไร
“อย่าดูถูกฉันนะ ถ้าวันนี้ฉันไม่มาที่นี่โดยบังเอิญ เกรงว่าวันนี้แกต้องลิ้มลองความเจ็บปวดเสียแล้ว” รพีพงษ์ยิ้มพลางพูด
ชิตวรเห็นรพีพงษ์ไม่ฟังคำอ้อนวอน ก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายเท่านั้น มองไปที่ตรีภพ แล้วกล่าว “ตรีภพ ฉันจะไปเรียกคนมาเดี๋ยวนี้ ถึงแม้โรคเก่าจะกำเริบ แต่ลูกน้องของฉันก็ไม่ใช่ว่าจะง่ายๆ แล้วแกจะเสียใจที่มาในวันนี้”
รพีพงษ์เดินมาข้างหน้า แล้วกล่าว “ไม่จำเป็น ต่อกรกับคนประเภทนี้ ฉันคนเดียวก็เอาอยู่”
ตรีภพจ้องไปที่รพีพงษ์ เขาไม่ได้รู้จักรพีพงษ์แต่อย่างใด ได้ยินรพีพงษ์พูดดังนี้ ก็กล่าวอย่างดูแคลนว่า “หยุดคุยโวได้แล้ว กล้าบอกชื่อจริงแกป่ะล่ะ ให้ฉันได้รู้ ว่าใครมันชั่งกล้าพูดแบบนี้!”
“รพีพงษ์!”
รพีพงษ์กล่าว ด้วยเสียงโทนต่ำ แต่กลับดังเข้าไปในโสตประสาท ของใบหูทุกคน