พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 218 ร้อยล้านนี่เยอะมากเลยหรอ
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- ตอนที่ 218 ร้อยล้านนี่เยอะมากเลยหรอ
บทที่218 ร้อยล้านนี่เยอะมากเลยหรอ
เมืองริเวอร์ ณ ธนาคารแห่งหนึ่ง
รพีพงษ์เดินเข้าไปในห้องโถง เมื่อผู้จัดการหน้าฟร้อนเห็นรพีพงษ์ ตาประกายลุกวาว แล้วรีบเดินเข้าไป
“คุณรพี มาทำธุรกรรมการเงินหรอครับ คุณมาหาเรา ถือว่าเป็นเกียรติมากครับ” ผู้จัดการหน้าฟร้อนยิ้มพลางกล่าว
เมื่อก่อนรพีพงษ์เคยมาที่ธนาคารนี้แล้ว ผู้จัดการหน้าฟร้อนรู้ว่าในมือของรพีพงษ์นั้นมีบัตรสีดำของธนาคารโลกอยู่ ดังนั้นท่าทีที่มีต่อเห็นรพีพงษ์จึงดูต้อนรับขับสู้
“ผมมาฝากเงินให้กับภรรยา” รพีพงษ์กล่าว
“ไม่มีปัญหา ฉันจะจัดพนักงานพิเศษดูแลคุณครับ ไม่ต้องนั่งรอคิว” ผู้จัดการหน้าฟร้อนกล่าว
“เอิ่ม วงเงินที่ผมจะฝากมันค่อนข้างมากนิดนึง ไม่น่าจะทำได้ที่ห้องโถงนี้ เรียกผู้จัดการให้ผมหน่อยล่ะกัน ให้เขามาช่วยผม” รพีพงพษ์กล่าว
ผู้จัดการหน้าฟร้อนพยักหน้า แล้วกล่าว “ตอนนี้ผู้จัดการของเรากำลังยุ่งอยู่ อาจจะต้องรอสักนิด ฉันพาคุณไปพักผ่อนที่ห้องรับรองVIPก่อนล่ะกันครับ รอผู้จัดการเสร็จธุระ ฉันจะเรียกคุณในทันที”
รพีพงษ์พยักหน้า แล้วเดินไปพร้อมกับผู้จัดการหน้าฟร้อน
ครั้งนี้ที่เขามาธนาคาร ก็เพื่อมาฝากเงินแทนอารียา เขารู้สึกเสมอมาการไปเกียวโตครั้งนี้จะต้องเผชิญกับอันตราย ดังนั้นก่อนที่จะจากไป เขาจะต้องเตรียมการรับมือให้กับอารียาอย่างเพียงพอ แบบนี้เขาถึงจะสบายใจ
ถึงห้องรับรองVIP รพีพงษ์นั่งบนโซฟา เห็นในห้องรับรองVIPก็มีหนึ่งคนที่รออยู่
คนๆนี้มีลักษณะร่างท้วมเอวกลม ใบหน้าทรงไข่กลม ลงพุงจากการดื่มสุรา ดูๆแล้วน่าจะอายุราวๆสีสิบกว่าปี
เมื่อคนนั้นเห็นรพีพงษ์เข้ามาในห้องรับรองVIP ก็รีบมองไปที่เขาทันที เพราะคนที่สามารถเข้ามาในห้องรับรองได้นั้นไม่ธรรมดา เขาก็อยากฉวยโอกาสนี้ทำความรู้จักสักหน่อย
แต่ไม่นานเขาก็พบว่า คนที่เข้ามานี้สวมใส่ชุดที่ซื้อมาจากข้างถนน ดูๆไปก็ธรรมดา ไม่เหมือนกับคนมีตังค์แม้แต่น้อย
หรือเป็นญาติของพนักงานในธนาคาร ดังนั้นถึงได้เข้ามาในห้องรับรองVIPนี้ได้?
คนวัยกลางคิดในใจว่าเหตุผลนี้น่าจะเป็นไปได้อยู่ เพราะถ้าไม่มีเงิน อยากเข้ามาห้องรับรองนี้ ก็มีแค่มีความสัมพันธ์กับพนักงานธนาคารนี่แหละ
เขามองไปรอบๆ แล้วเดินไปที่ข้างหน้าของรพีพงษ์ ยื่นมาออกไป ยิ้มพลางกล่าว “สวัสดีครับ ผมชื่อปวิธ คุณก็ทำธุรกรรมที่นี่เหมือนกันหรอ?”
รพีพงษ์จับมือเขา แล้วกล่าว “ผมชื่อรพีพงษ์ มานี่เพื่อฝากเงินนิดหน่อย”
หลังจากที่ปวิธได้ยินชื่อของรพีพงษ์แล้วนั้น รู้สึกคุ้นๆ แล้วนึกออกอย่างรวดเร็วว่าเป็นไอ้สวะนั่นของเมืองริเวอร์
เขาเป็นคนปากไว ไม่ได้คิดถีถ้วน แล้วถามออกมาว่า “รพีพงษ์ ชื่อนี้คุ้นหูมาก ผมจำได้ว่าเมืองริเวอร์มีไอ้สวะตัวหนึ่งที่ขึ้นชื่อ ก็ชื่อนี้เหมือนกัน”
รพีพงษ์ไม่สนใจ แล้วกล่าว “คนนั้นก็คือผมนี่แหละ”
ปวิธชะงัก ไม่คิดมาก่อนว่าคนนี้ที่อยู่ต่อหน้าเขานั้นก็คือสวะขึ้นชื่อเมืองริเวอร์นั่นเอง มิน่าล่ะที่เขาจะสวมใส่ชุดข้างถนน
“ที่แท้ก็เป็นคุณ พรรคพวก คุณเป็นผู้มีชื่อเสียงของเมืองริเวอร์นะ ไม่คาดคิดว่าผมจะเจอคุณที่นี่” ปวิธนั่งลงข้างๆของรพีพงษ์
เขาคนนี้แลดูเป็นคนแปลกประหลาด คำพูดเมื่อสักครู่ที่เขากล่าวไปก็มิใช่เป็นการดูถูกรพีพงษ์ เพียงแค่เก็บไว้ในไม่ได้อีกเท่านั้นเอง
ไม่คาดคิดว่าคุณมาธนาคารเพื่อฝากเงินแล้วได้มาห้องรับรองนี้ ดูไปล้วคุณก็ไม่ธรรมดานะ จากที่ผมดู น่าจะถูกบิดเบือนทั้งนั้น ไม่งั้นคุณก็ไม่สามารถอยู่ในห้องรับรองแบบนี้ได้หรอก” ปวิธกล่าว
รพีพงษ์หัวเราะ แต่ไม่ได้พูดอะไร
“ถ้าผมเดาไม่ผิดล่ะก็ คุณน่าจะเป็นญาติของพนักงานธนาคารคนหนึ่ง ความจริงถ้าเป็นไปตามที่ผิดคิด คุณแค่ฝากเงินไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ ไปเคาน์เตอร์ข้างนอกก็ทำได้แล้ว ทำไมต้องมารอที่นี่ นอกเสียจากเงินที่คุณต้องการฝากนั้นมีจำนวนค่อนข้างมาก เช่นผม ผมมาครั้งนี้ ต้องการฝากมากกว่าห้าล้าน ไง สุดยอดอะดิ จะบอกให้นะ นี่เป็นแค่กำไรหนึ่งปีของบริษัทผมเท่านั้น ต่อไปเงินที่ผมจะฝากนั้นมากกว่านี้แน่นอน”
ปวิธพูดไปพูดมา ก็กลายเป็นเหยียดหยามรพีพงษ์ เขาเปิดบริษัท ได้กำไรมาไม่น้อย ตอนนี้ก็เป็นช่วงที่เชิดหน้าชูตาที่สุด ปกติผู้คนที่เขาพบปะด้วยนั้นก็จะเป็นคนในระดับนี้ โอ้อวดอะไรไม่ได้ วันนี้ได้เจอกับรพีพงษ์ แน่นอนว่าต้องโอ้อวดสักหน่อย เพราะชื่อเสียงของรพีพงษ์ไม่ดี ปวิธรู้สึกว่าเขามีเงินไม่เท่าไหร่แน่นอน ที่เข้ามาห้องรับรองได้นั้น ต้องพึ่งความสัมพันธ์ฉันท์ญาติมิตรเป็นมิตร
รพีพงษ์ได้ยินคำพูดของปวิธแล้ว ก็หัวเราะ แล้วกล่าว “ครั้งนึงฝากห้าล้าน ก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว”
ปวิธกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ก็ใช่สิ อายุปูนนี้ถึงแม้จะหาเงินได้ไม่ง่าย แต่คนที่มีมันสมองอย่างผม ก็ไม่มีทางเครียดกับเรื่องทำนองนี้หรอก ชื่อเสียงของคุณไม่ดี ต้องหางานยากแน่ๆ ต่อไปถ้าคุณยากลำบาก มาหาผมได้นะ ผมจะหางานให้คุณ ไม่กล้ารับรองว่าคุณจะได้เงินเยอะ แต่ในหนึ่งเดือนเจ็ดแปดพันได้แน่นอน”
รพีพงษ์คิดในใจว่าปวิธนี่ถึงแม้จะพูดขวานผ่าซากไปหน่อย แต่ลึกๆก็ยังเป็นคนดี ก็หัวเราะพลางพยักหน้า
“เออ คะณคิดว่าจะฝากเท่าไหร่หรอ?” ปวิธถามต่อ
“ก็ไม่ได้มากอะไร” รพีพงษ์กล่าว
เพราะปวิธได้รู้ข้อมูลเบื้องต้นของรพีพงษ์บ้างแล้ว ดังนั้นที่รพีพงษ์พูดว่าไม่เยอะนั้น ก็คิดว่าเขาไม่น่าจะฝากอะไรเยอะ ยังไงก็ไม่เหมือนเขาที่ฝากห้าล้านแน่นอน
ผ่านไปไม่นาน ผู้จัดการจัดการธุระของเขาเสร็จแล้ว ก็มาที่ห้องรับรอง เมื่อเห็นรพีพงษ์แล้ว แล้วรีบเจ้าไปจับมืออย่างรวดเร็ว
“คุณรพี ให้คุณรอนานไปแล้ว” ผู้จัดการกล่าว
ปวิธเห็นเหตุการณ์นี้ ตาก็กลมโตทันที ในใจคิดตนเองจะฝากเงินห้าล้าน แต่รพีพงษ์พึ่งความสัมพันธ์ของญาติเข้ามา แต่ผู้จัดการกลับไปจับมือกับรพีพงษ์แต่ไม่หาตนเอง ชั่งไม่รู้จักอันไหนสำคัญไม่สำคัญเอาเสียเลย
เขาตั้งใจไอออกมาสองครั้ง เพื่อให้ผู้จัดการมาจับมือเขาเช่นกัน
ผู้จัดการได้ยินปวิธไอ ก็หันไปมองเขา ด้วยความสงสัย
“คุณผู้ชายท่านนี้ คุณเจ็บคอหรอครับ?” ผู้จัดการถาม
ปวิธเห็นผู้จัดการไม่มาจับมือเขา ในใจก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา แล้วพูดออกไปตรงๆว่า “ไม่เป็นไร รอให้คุณจับมือผมอยู่หนะ”
ผู้จัดการหุบยิ้ม แล้วกล่าว “ถ้าแค่จับมือก็ไม่ต้องหรอกครับ ตอนนี้ผมต้องรีบทำธุรกรรมให้กับคุณรพีก่อน คุณรอที่นี่ก่อนล่ะกัน รอให้ผมทำให้คุณรพีเสร็จแล้ว จะกลับมาหาคุณ”
ปวิธโมโหขึ้นมาทันใด แล้วตะคอก “แกหมายความว่าไง ผมมาก่อนแท้ๆ ทำไมต้องทำให้เขาก่อน แล้ววันนี้ผมก็จะฝากเงินกับพวกคุณที่นี่ตั้งห้าล้านนะ ถ้าคุณชักช้ากับผม ผมจะไปฝากที่ธนาคารอื่น”
“ขอโทษครับคุณผู้ชาย ที่นี่คุณรพีมีสิทธิ์ที่สูงที่สุดได้ก่อนใครเสมอ ไม่ใช่ว่าคุณมาก่อนแล้วจะได้” ผู้จัดการอธิบาย
ปวิธชักตา คิดว่ารพีพงษ์ที่พึ่งความสัมพันธ์ของญาตินั้นจะได้สิทธิ์มากขนาดนี้ ยังได้สิทธิ์ก่อนใครอีก
รพีพงษ์เห็นปวิธไม่พอใจ ก็ยิ้มพลางกล่าว “ให้เขามาด้วยกันก็ได้ เขามาก่อน ก็ทำให้เขาก่อน”
ผู้จัดการเห็นรพีพงษ์พูดแบบนี้ ก็ทำได้เพียงพยักหน้า
ปวิธรู้สึกกีขึ้นมานิดนึง แล้วกล่าว “จำไว้ ผมนี่สิเป็นลูกค้าคนสำคัญของพวกคุณ เขาก็แค่พึ่งความสัมพันธ์ของญาติเข้ามา พวกแกต้องแยกให้ออกว่าอันไหนสำคัญไม่สำคัญ
ผู้จัดการแปลกใจ ไม่รู้ว่าปวิธพูดอะไร
รพีพงษ์แสดงท่าทางให้เขาเห็นว่าอย่าไปใส่ใจเรื่องพวกนี้ ผู้จัดการจึงได้หันหลังกลับพาทั้งคู่ไปทำธุรกรรม
เมื่อถึงห้องทำงาน รพีพงษ์ให้ผู้จัดการฝากเงินให้กับปวิธก่อน ผู้จัดการก็ไม่กล้าเชื่องช้า รีบนำเงินห้าล้านที่อยู่ในบัตรธนาคารของปวิธฝากที่ธนาคารของพวกเขา ฝากไว้ช่วงเวลาหนึ่ง ผู้จัดการให้เกียรติกับรพีพงษ์ จึงได้ให้ดอกเบี้ยที่สูงที่สุดกับปวิธ
“ผมทำในแบบฝากเงินแล้วได้ดอกเบี้ยสูงที่สุดของธนาคารเรากับคุณ ห้าล้านในหนึ่งปี เบ็ดเสร็จแล้วจะได้ดอกเบี้ยอยู่ที่สองแสนกว่า” ผู้จัดการกล่าว
“รู้กาละเทศะ ผมเป็นลูกค้าคนสำคัญของพวกคุณ คุณให้ดอกเบี้ยสูงที่สุดก็เหมาะสมแล้ว เห็นแก่คุณ ผมจะไม่ร้องเรียนคุณแล้ว” ปวิธพูดอย่างมั่นใจ
ผู้จัดการรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ลูกค้าแบบปวิธนี้ ที่ธนาคารของเขาก็มีไม่น้อย เพราะเจ้าของบริษัทที่ค่อนข้างใหญ่ขึ้นมาหน่อยมักจะมาทำธุรกรรมที่นี่ รายการห้าล้านที่อยู่ในมือของผู้จัดการ ถือว่าไม่เยอะเลย
แต่ท่าทีที่รพีพงษ์มีต่อปวิธนั้นถือว่าค่อนข้างโอเค ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยกล้าพูดอะไรมากมาย
ปวิธยืนข้างจากเก้าอี้ แล้วหันไปที่รพีพงษ์ กล่าว “รพีพงษ์ ผมทำเสร็จแล้ว คุณมาทำต่อเถอะ ความจริงตามที่ผมพูดไว้แหละ คุณไปทำที่เคาน์เตอร์ก็ได้แล้ว ทำไมต้องมาตรงนี้ให้มันเหนื่อย คุณไปทำที่เคาน์เตอร์ เกรงว่าตอนนี้คงจะฝากเสร็จแล้วแหละ”
รพีพงษ์หัวเราะ แล้วกล่าว “กลัวก็แต่เคาน์เตอร์จะทำธุรกรรมนี้ของผมไม่ได้นะสิ ดังนั้นไม่มาตรงนี้ไม่ได้”
“ทำไม หรือคุณคิดว่าคุณเหมือนผมหรอ จะฝากห้าล้านหรอ? อย่ามาตลก ชื่อเสียงของคุณผมก็รู้อยู่ เกรงว่าตอนนี้คุณยังเกาะภรรยากินอยู่หนะ ไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองดูดี เมื่อก่อนผมก็เป็นแบบนี้ เหนื่อย ใช้ชีวิตอยู่บนความจริงดีกว่า” ปวิธเสมือนตนเองเป็นครูที่ปรึกษาอย่างไรอย่างนั้น
รพีพงษ์ยิ้ม แล้วก็นั่งลงตรงหน้าของผู้จัดการ
ผู้จัดการมองไปที่รพีพงษ์ แล้วถาม “คุณรพี ไม่ทราบว่าคุณจะทำธุรกรรมอะไรบ้าง?”
“ผมอยากฝากเงินในนามของภรรยาผม” รพีพงษ์กล่าว
“ฝากเท่าไหร่ครับ?” ผู้จัดการถาม
“ฝากก่อนร้อยล้านล่ะกัน ถ้ามากกว่ามากกว่านี้กลัวว่าธนาคารจะทำให้ไม่ได้” รพีพงษ์กล่าว
เมื่อปวิธได้ยินรพีพงษ์พูด ตาก็ลุกวาว แล้วพูดอย่างตกใจ “คุณพูดว่าอะไรนะ? คุณฝากเงินเท่าไหร่นะ?”
“ร้อยล้านไง” รพีพงษ์กล่าว
ปวิธกลืนน้ำลาย แล้วกล่าว “เมื่อกี๊คุณบอกว่าฝากเงินไม่มากไม่ใช่หรอ นี่แม่งร้อยล้าน ก็ไม่เยอะหรอ?”
รพีพงษ์ทองปวิธ แล้วถามกลับ “ร้อยล้านนี่เยอะมากเลยหรอ?”