พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 2 อย่าทำให้ผู้หญิงของฉันต้องอับอาย
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- ตอนที่ 2 อย่าทำให้ผู้หญิงของฉันต้องอับอาย
บทที่ 2 อย่าทำให้ผู้หญิงของฉันต้องอับอาย
รพีพงษ์อึ้งไป ไม่คิดว่าตระกูลลัดดาวัลย์จะมีเงินเยอะถึงหมื่นล้าน กระแสเงินสดขนาดนี้ ถ้าเทียบกับขนาดของเมืองริเวอร์แล้ว คงจะไม่มีอุตสาหกรรมการผลิตใดสามารถมีเงินมากขนาดนี้
ไม่เสียชื่อที่ตระกูลลัดดาวัลย์เป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเกียวโต
“คุณชาย เงินในบัตรใบนี้ เป็นเพียงเงินที่ชดใช้ให้กับคุณชายในปีที่ผ่านมาเท่านั้น ไม่ว่าคุณชายจะกลับไปกับเราหรือไม่ เงินนี้ก็เป็นของคุณชาย”
“นอกจากนี้ ทางอสังหาริมทรัพย์ฟ้าอนงค์จำเป็นต้องให้คุณชายไปทำการส่งมอบ ผมสั่งคนทางนั้นไว้แล้ว แค่คุณชายไปเท่านั้น พวกเขาจะรีบทำการส่งมอบให้คุณชายทันที”
“นี่เบอร์ของผม คุณชายลองคิดดูดีๆ นะครับ ถ้าคิดได้แล้วก็โทรหาผม ผมรอคุณชายเสมอ”
ท่านคทายื่นกระดาษที่เขียนเบอร์โทรศัพท์ให้เขา จากนั้นก็เดินออกไปโดยไม่รอให้เขาพูดอะไร
เขามองแบล็กการ์ดและนามบัตรที่อยู่ในมือสักพักโดยไม่พูดอะไร
“มันก็ดีนี่ ในปีที่ผ่านมาตระกูลลัดดาวัลย์ทำกับเขาไว้ไม่ใช่เงินที่ชดเชยได้ อีกอย่างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ต้องการเงิน ฉันก็ไม่มีปัญญาไปหาเงินมาด้วยเหตุที่บอกไม่ได้ อย่างนั้นก็เก็บบัตรใบนี้ไว้ก่อนดีกว่า” รพีพงษ์พูดพึมพำกับตัวเอง
เขาเดินไปดูเด็กๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า หลังจากเขาไปเช็กว่าเงินที่ท่านคทาบริจาคได้โอนเข้ามาจริงๆ และเพียงพอกับอาหารของเด็กๆ เขาก็ออกจากที่นี่และตรงกลับบ้านทันที
ครอบครัวของอารียาอาศัยอยู่ในพื้นที่เก่าแก่ที่ห่างจากเมืองมาก บ้านหลังนี้มีสองห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น เป็นบ้านที่ทั้งเก่าและผุพัง
พ่อตาศักดาไม่ค่อยเป็นที่โปรดปรานในตระกูลฉัตรมงคล บวกกับการที่ลูกสาวของเขาแต่งงานกับคนไร้ประโยชน์อย่างรพีพงษ์อีก ครอบครัวของเขาเลยขัดหูขัดตาของนภทีป์
ดังนั้น ศักดาจึงไม่ค่อยได้รับอะไรดีๆ จากตระกูลฉัตรมงคล หลายปีมานี้เขาต้องพึ่งอารียา เพื่อที่จะได้รับประทานอาหารดีๆ
ตอนที่รพีพงษ์มาถึงบ้านก็เห็นศศินัดดากับศักดานั่งสีหน้าหม่นหมองอยู่บนโซฟา อารียาก็เพิ่งกลับมาจากบริษัท เธอยืนเหม่ออยู่หน้าชั้นหนังสือ
“ไอ้ลูกกหมา ยังมีหน้ากลับมาอีก ครอบครัวของเราคงจะไม่สามารถรับคุณชายอย่างแกได้อีก ไสหัวไปซะ แล้วไม่ต้องกลับมาอีก!”
ศศินัดดาระบายความโกรธที่สะสมเอาไว้มานานออกมา เธอหยิบแก้วชาบนโต๊ะแล้วปาไปทางรพีพงษ์
รพีพงษ์รีบหลบ แก้วชาตกลงบนพื้นแตกกระจาย ถ้าเขาหลบไม่ทันหัวของเขาคงจะบุบแน่ๆ
ศศินัดดาจ้องเขม็งแล้วตวาดออกมา “แกทำให้แก้วของบ้านเราต้องแตก ชดใช้มาเดี๋ยวนี้ ชดใช้สิบเท่า”
“รู้แล้วครับแม่ ผมจะชดใช้ให้” รพีพงษ์พูดขึ้นมา ตอนนี้เขาเป็นคนที่มีเงินเป็นหมื่นล้าน อย่าว่าแต่แก้วใบเดียวเลย แก้วทองสิบใบเขาก็ซื้อมาให้ได้
ศศินัดดาคิดว่าเขากำลังท้าทายเธอ จึงพูดเสียงดังด้วยความโกรธ “ลูกดูมันสิ ไร้ยางอาย กล้ามาท้าทายแม่ นี่ลูกยังจะปล่อยมันไปอีกเหรอ”
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นครับแม่” รพีพงษ์รีบอธิบาย เขาไม่สามารถบอกศศินัดดาตรงๆ ได้ว่าเขามีเงินหมื่นล้าน การอดกลั้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เขาเห็นถึงความสำคัญของการปกปิดอำนาจที่แท้จริงของตัวเอง
สัจธรรมที่ว่าไม้ในป่าที่สวยงามมักจะโดนลมพัดจนล้มลง ก็เหมือนความสามารถหรือสิ่งของที่เรามี มักจะโดนคนอิจฉาริษยา เพราะฉะนั้นเขาไม่สามารถบอกเรื่องนี้ได้
อารียาหันหน้ามามองเขาแล้วถอนหายใจ “แม่ อย่าทำให้เขาลำบากใจเลยค่ะ นี่ก็ดึกแล้ว รีบไปนอนดีกว่าค่ะ”
“นอนอย่างนั้นเหรอ? ไอ้สวะนี่มันทำให้เราขายขี้หน้า แกว่าฉันยังจะนอนหลับได้อีกหรือ? ในเมื่อมันกลับมา ฉันก็จะพูดตรงๆ เลยละกัน แกต้องหย่ากับมัน ใช้ชีวิตต่อไปก็ลำบากเปล่าๆ!” ศศินัดดาพูดเชิงบังคับ
อารียาเบิกตาโตด้วยความตกใจ เธอคิดไม่ถึงว่าแม่จะบังคับให้เธอหย่ากับรพีพงษ์
รพีพงษ์มองไปยังเธอด้วยความตึงเครียด
“หนูไม่หย่ากับเขา ต่อไปอย่าพูดเรื่องนี้อีก” อารียาพูดอย่างแน่วแน่
รพีพงษ์รู้สึกโล่งอกทันที
ศศินัดดามีสีหน้าร้อนรน เธอชี้หน้าด่าเขา “ไอ้นี่นอกจากเกาะผู้หญิงกิน มันยังมีอะไรดีเหรอ? ที่ครอบครัวเราต้องรันทดขนาดนี้ก็เพราะมัน ทำไมแกถึงไม่ยอมหย่ากับมัน?”
“พอแล้วแม่ หนูเหนื่อย ขอตัวไปนอน” พูดจบเธอก็หันไปมองรพีพงษ์แวบหนึ่ง เขารู้ว่าเธอสื่ออะไร จึงรีบเดินตามเธอไปทันที
ถึงแม้การที่เธอแต่งงานกับรพีพงษ์เป็นเพราะความต้องการก่อนตายของคุณย่า แถมเขายังต้องแบกรับความอับอายเช่นนี้ แต่ตลอดสามปีมานี้เขาทั้งซักผ้า ทำกับข้าว ทำความสะอาดบ้านอย่างตั้งใจมาโดยตลอด อีกทั้งเขาก็พยายามอย่างมากในการปฏิบัติต่อเธออย่างดี นี่คือเหตุผลที่เธอไม่สามารถหย่ากับเขาได้
มนุษย์ล้วนมีความรู้สึก ระยะเวลาสามปีจะว่านานก็ไม่ปาน เขาเข้ามาอยู่ในใจของเธอแล้ว
ศศินัดดามองดูทั้งเดินเข้าห้องไปเธอโกรธจนกระทืบเท้า “ครอบครัวเรา ต้องคุกเข่าให้ไอ้สวะนั่นไม่ช้าก็เร็ว!”
……
ภายในห้อง รพีพงษ์ปูที่นอนไว้เรียบร้อยแล้ว สามปีมานี้เขานอนบนพื้นมาโดยตลอด ไม่เคยนอนเตียงเดียวกับอารียาเลย
อารียานอนอยู่บนเตียง เวลาผ่านไปสักพัก เธอก็เอ่ยขึ้น “ฉันมีเงินอยู่สองหมื่น ถึงแม้มันจะไม่มาก แต่มันก็เป็นน้ำใจของฉัน พรุ่งนี้นายเอาไปให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเถอะ”
เมื่อเขาได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประทับใจ จากนั้นจึงรีบพูดอธิบาย “ไม่ต้องแล้วล่ะ มีคนใจดีมาช่วยเหลือแล้ว เด็กพวกนั้นไม่ต้องอดยากอีกแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี นายโตมาจากที่นั่น ต้องผูกพันกับเด็กพวกนั้นแน่นอน ตอนนี้นายก็สบายใจได้แล้ว”
“เรื่องซื้ออาคารสำนักงานของอสังหาริมทรัพย์ฟ้าอนงค์ ก็ยังไม่มีคืบหน้าอะไร ฝ่ายนั้นยังไม่ยอมเพราะเราให้ราคาต่ำ คุณปู่ต้องไม่ให้เงินเพิ่มแน่ วันนี้ฉันเหนื่อยมาก เรายังต้องคิดเรื่องนี้อีก วันนี้ขอนอนก่อนละกัน” อารียาพูดจบก็พลิกตัวไปอีกทาง
เมื่อได้ยินเรื่องกลุ้มใจของเธอ แววตาของเขาก็เป็นประกาย อสังหาริมทรัพย์ฟ้าอนงค์ อย่างนั้นเหรอ ตระกูลลัดดาวัลย์ซื้อมันมาให้เขาแล้วนี่
เดิมทีเขาไม่ได้มีแผนว่าจะไป อสังหาริมทรัพย์ฟ้าอนงค์ เพื่อดำเนินการส่งมอบ แต่เมื่อเห็นภรรยากลุ้มใจเรื่องนี้ เขาจึงตัดสินใจจะไปที่นั่นในวันพรุ่งนี้
“นี่คุณ สองสามปีที่ผ่านมาคุณต้องโดนรังแกเพราะผม ผมสัญญาว่าต่อจากนี้ไปจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ผมจะแสดงให้คุณเห็นถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่” รพีพงษ์พูดขึ้นมา
เธอนิ่งไปสักพักแล้วพูดออกมาว่า “ฉันไม่ได้หวังให้นายทำเรื่องอะไรช็อกโลก ฉันแค่หวังให้นายใช้ชีวิตอย่างชายที่สง่าผ่าเผย อย่างน้อยก็อย่าให้คนมาด่าว่านายเป็นคนไร้ประโยชน์”
รพีพงษ์พยักหน้าแล้วพูดว่า “ตั้งแต่วันนี้ไป ผมจะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกคุณอีก”
“ฉันก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” อารียาตอบกลับนิ่งๆ
แววตาของรพีพงษ์แปรเปลี่ยนเป็นแววตาแห่งความแน่วแน่ สามปีมานี้เพราะเขา เธอถึงต้องโดนคนอื่นหัวเราะเยาะและมองด้วยสายตาเย็นชา วันนี้เขาจะทำอะไรเพื่อเธอบ้าง
เขาอยากให้ทุกคนรู้ไว้ว่า
อย่าทำให้ผู้หญิงของฉันต้องอับอาย