พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 169 แกว่าใครไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- ตอนที่ 169 แกว่าใครไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี
บทที่169 แกว่าใครไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี
นร้านเครื่องประดับ รพีพงษ์ยังไม่รู้เรื่องที่รถตนเองโดนทุบ เขากำลังตั้งใจดูเครื่องประดับให้กับอารียาอยู่
“รพีพงษ์ เครื่องประดับที่นี่แพงไปหน่อยหรือเปล่า หยกหนึ่งอันตั้งสามแสน ทางนู้นมีปิ่นปักผม ฉันเห็นว่ามันเหมือนกับที่ชรินทร์ทิพย์ใช้ปักผมเลย ที่แท้ก็ตั้งสองแสน นี่ฟุ่มเฟือยเกินไปแล้วป่ะ”
อารียาเห็นเครื่องประดับพวกนั้นที่แสดงอยู่ในร้าน เกิดความตะลึงบนใบหน้า
“เครื่องประกับที่นี่ไม่ก็เป็นวัตถุโบราณที่ล้ำค่ำ ไม่ก็เป็นผลงานของนักจิตรกรรมที่มีชื่อเสียง แพงขึ้นมาหน่อยเพราะมีเหตุผลในตัวของมัน คุณดูว่าชอบอันไหน ผมซื้อให้คุณ” รพีพงษ์หัวเราะพลางกล่าว
อารียาพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก แล้วกล่าว “ชั่งมันเถอะ เครื่องประดับที่นี่แพงเกินไป ไม่งั้นพวกเราไปดูร้านอื่นเถอะ ซื้อกี่อันที่ถูกๆหลอกๆแม่ฉันไปก็โอเคแล้ว”
รพีพงษ์ปฏิเสธความคิดของอารียาทันที แล้วกล่าว “ซื้อให้เธอ ต้องซื้อที่ดีที่สุด คุณไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องเงิน คุณแค่เลือกอันที่ชอบสักกี่แบบก็โอเคแล้ว แล้วก็เลือกอันที่จะให้แม่ด้วยละกัน”
อารียาเห็นรพีพงษ์ยังคงแน่วแน่แบบนี้ ทำได้เพียงดูเครื่องประดับเหล่านั้นที่อยู่ในร้านต่อไป เพียงแต่ดูอยู่นานแล้วแต่ก็ยังไม่อยากซื้อ เพราะมันค่อนข้างแพงมากจริงๆ
พนักงานสองคนที่กำลังตามรพีพงษ์อยู่นั้นมองพวงกเขาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ ในใจพลางคิดถ้าไม่มีปัญญาซื้อแล้วจะเดินวนอยู่ที่นี่ทำไม เสียเวลาพวกเธอ
ตอนนี้ภูรีเดินเข้ามาในร้าน เพราะเธอคือลูกค้าประจำของร้าน มีพนักงานสองคนเข้าไปต้อนรับทันที ทักทายอย่างกระตือรือร้น
“พี่ภูรี คุณมาอีกแล้ว ครั้งนี้คุณอยากซื้ออะไรหรอ?”
“พวกแกช่วยเหลือเครื่องประดับที่ดูดีสักกี่อันให้ฉันหน่อยสิ ฉันจะเอาไปให้คนอื่น” ภูรีกล่าว
พนักงานสองคนนั้นพยักหน้าทันที แล้วพาภูรีเดินรอบๆร้าน
รพีพงษ์เห็นอารียาแค่ดูแต่ไม่ซื้อ ก็พูดกับเธอว่า “คุณดูหรือยังว่าจะซื้ออันไหน? ถ้าคุณไม่บอก ผมจะตัดสินใจแทนคุณแล้วนะ”
อารียาเห็นรพีพงษ์พูดแบบนี้ ก็ยื่นมือชี้ไปที่ต่างหูคู่หนึ่งที่เคาน์เตอร์ตรงนั้น แล้วกล่าว “ฉันรู้สึกว่าต่างหูคู่นั้นสวยดี”
รพีพงษ์หันหลังไปพูดกับพนักงานร้านแล้วกล่าว “รบกวนช่วยพวกเราห่อต่างหูคู่นั้นด้วย ขอบคุณครับ”
เขาไม่แม้แต่จะดูว่าต่างหูคู่นั้นราคาเท่าไหร่ สำหรับเขาแล้ว แม้จะซื้อของในเรื่องทั้งหมดก็ไม่มีปัญหา
สุดท้ายพนักงานก็เห็นรพีพงษ์พวกเราซื้อของเสียที อารมณ์บนใบหน้าก็ดูอบอุ่นขึ้นมาทันที สุดท้ายก็ไม่เสียเวลาเปล่า
ตอนนี้ภูรีก็เดินถึงจุดนี้พอดี ดวงตาของเธอก็ส่องไปที่ต่างหูคู่นั้นเช่นกัน แล้วกล่าว “ต่างหูคู่นั้นไม่เลว ห่อให้ฉันด้วย”
พนักงานสองคนที่ติดตามเธออยู่ก็พยักหน้า จะไปห่อต่างหูคู่นั้นให้เธอ
พนักงานที่ติดตามรพีพงษ์พวกเขารีบกล่าวทันทีว่า “ขอโทษนะ ต่างดูคู่นี้พวกเขาดูแล้วชอบก่อน ต้องการที่จะซื้อแล้ว”
ภูรีรีบจ้องเขม็งไปที่พนักงานคนนั้น แล้วด่า “ไอ้เด็กผู้หญิงคนนี้ตาบอดหรือไง? ไม่รู้หรอว่าฉันเป็นใคร?”
พนักงานร้านคนนั้นเพ่งไปที่ภูรี ทันใดนั้นสีหน้าก็ถอดสี แล้วกล่าว “พี่ภูรี เมื่อกี๊ฉันไม่ได้ตั้งใจดู ไม่คาดคิดว่าเป็นคุณ พี่ภูรีได้โปรดยกโทษให้ด้วย”
ภูรีมองบนต่อเธอ แล้วกล่าว “งั้นตอนนี้ฉันต้องการต่างหูคู่นี้ ยังมีปัญหาอีกไหม?”
“ไม่……ไม่มีปัญหา” พนักงานตอบ
รพีพงษ์ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที แล้วกล่าว “ขอโทษครับ ต่างกูคู่นี้พวกเราเลือกก่อน ที่นี่น่าจะเน้นเรื่องมาก่อนได้ก่อนนะ”
พนักงานคนนั้นหันกลับไปมองรพีพงษ์ แล้วกล่าว “ไม่งั้นพวกคุณดูแบบอื่นไหม? พี่ภูรีคือลูกค้าประจำของร้านเรา พวกเราต้องบริการเธอก่อน”
“ผมรู้เพียงแค่มาก่อนได้ก่อน ภรรยาของผมชอบต่างหูคู่นั้น อย่างอื่นไม่ชอบ” รพีพงษ์กล่าวอย่างเยือกเย็น
ภูรีเห็นรพีพงษ์อยากได้ต่างหูนี่ ก็เริ่มเอ่ยปากด่าขึ้นมา
แต่ทว่าเธอยังไม่ได้เริ่มพูด พนักงานคนนั้นก็เริ่มว่ารพีพงษ์ “คุณทำไมเป็นคนแบบนี้ พี่ภูรีคือภรรยาของท่านพี่ใหญ่ตระกูลกุลสวัสดิ์ คุณมีสิทธิ์อะไรมาแย่งของกับเธอ? คุณเดินดูที่นี่ต้งนาน เพิ่งจะพูดว่าเอาต่างหูหนึ่งคู่ พี่ภูรีเค้ามาที่ร้านไม่กี่นาทีก็ซื้อไปหลายอย่างแล้ว คุณเทียบกับเธอได้หรอ?
รพีพงษ์รู็สึกค่อนข้างเสียอารมณ์ ไม่คาดคิดว่าพนักงานที่นี่จะว่าเขาไม่หยุด เดินตามตนเองแปปเดียว ก็มีความผิวแล้ว
“โอ้ว ที่แท้ก็เป็นไอ้พวกยากจนทั้งสอง ฉันคิดว่าพวกแกมีเงินมาก กล้าแย่งของกับฉัน แบบพวกแก ยังกล้าแย่งของที่ฉันชอบด้วยหรอ? ถึงแม้ตอนนี้ฉันจะให้คนโยนพวกแกออกไป ก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไร” ภูรีกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด
อารียาเห็นภูรีแตะต้องไม่ได้ ก็ดึงแขนของรพีพงษ์ แล้วกล่าว “ไม่งั้นพวกเราไม่เอาอันนั้นแล้วก็ได้ ดูแบบอื่นละกัน ให้เธอไปก็โอเคแล้ว”
รพีพงษ์หันไปดูอารียา แล้วกล่าว “สิ่งที่คุณชอบ ผมจะต้องช่วยคุณเอามาให้ได้”
ภูรีเบ้ปาก แล้วกล่าว “อุ๊ย น่าหัวเราะจริงๆ ไอ้เด็กน้อย เกรงว่าแกกำลังอยู่ในความฝันนะ? แกไม่ได้ยินที่เธอพูดเมื่อกี๊ว่าฉันเป็นใครหรอ? ฉันคือพี่สะใภ้หลักของตระกูลสุขสวัสดิ์ แกยังมีหน้ามาแข่งกับฉัน?”
“แล้วยังไง ถึงจะเป็นหัวหน้าตระกูลสุขสวัสดิ์อยู่ที่นี่ ก็ไม่กล้าพูดกับผมแบบนี้เหมือนกัน” รพีพงษ์กล่าวอย่างเยือกเย็น
“แกส่องกระจกบ้างนะ ดูลักษณะแก แกคิดว่าแกเป็นใคร รีบไสหัวไปซะ มิเช่นนั้น ฉันจะให้บอดี้การ์ดของฉันโยนแกออกไปทั้งคู่” ภูรีกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
“พวกแกยังดูอะไรอีก รีบไปสิ พวกแกแตะต้องพี่ภูรีไม่ได้หรอก” พนักงานสองสามคนก็ไล่ตาม
รพีพงษ์เพ่งมองไปที่บอดี้การ์ดทั้งคู่ที่อยู่หลังภูรีแล้วกล่าวหัวเราะดูแคลน พลางกล่าว “ผมก็อยากจะรู้ บอดี้การ์ดสองคนนี่ของคุณจะโยนผมออกไปได้ไหม?
ภูรีเห็นรพีพงษ์ไม่เกรงกลัวต่อบอดี้การ์ดของเธอแต่อย่างใด แล้วก็ขมวดคิ้ว
“แกชั่งกล้า เลนจ์โลเวอร์ที่จอดอยู่ด้านนอกคงจะไม่ใช่ของแกสินะ” ภูรีถามขึ้นมาทันที
รพีพงษ์พยักหน้าแล้วกล่าว “ไม่ผิด เป็นของผมเอง”
ทันใดนั้นภูรีก็หัวเราะขึ้นอย่างดัง แล้วกล่าว “ฉันว่าแล้ว ไม่แปลกที่แกแล้วได้ขนาดนี้ รถเลนจ์โลเวอร์ยังกล้าที่จะจอดในที่ข้างฉัน แกนี่มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลยนะ”
“ที่จอดรถข้างนอกเป็นที่ของสาธารณะ กลายเป็นของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่?” รพีพงษ์กล่าวอย่างเยือกเย็น
“ฉันพูดว่าเป็นของฉัน ก็ต้องเป็นของฉัน รถคันนั้นขอแกฉันทุบทิ้งไปล่ะ นี่คือผลของการที่แกกล้าแย่งของกับฉัน ฉันแนะนำให้แกรีบมาตรงนี้ มิเช่นนั้นอีกสักแปปสิ่งที่จะโดนทุบ ก็คือแกนั่นแหละ!” ภูรีกล่าวอย่างเหยียดหยาม
รพีพงษ์เงียบไปสักพัก แล้วเดินออกไปดูเดี๋ยวนั้น ค้นพบว่ารถของตัวเองโดนทุบจนไม่เหลือชิ้นดี
หลังจากที่เขากลับมา มองไปที่ภูรีอย่างเกรี้ยวกราด แล้วกล่าว “คุณคิดว่าคุณมีขนาดไหน ถึงได้ทำตัวไม่เคารพกฎหมาย?”
ภูรีแหงนหน้า กล่าว “ กฎหมาย? จะบอกให้แกรู้ไว้นะ ฉันนี่แหละกฏหมาย แกอยู่ตรงนี้ทำฉันเสียเวลา ฉันจะให้แกรับผลกรรมที่จะตามมา”
หลังจากเธอพูดจบ บอดี้การ์ดสองคนที่อยู่หลังเธอเดินตรงไปที่รพีพงษ์ จะลงมือกับเขา
ใบหน้าอารียาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด ไม่คาดคิดว่าเรื่องจะเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้
รพีพงษ์ก็ไม่เกรงใจ กระโดดไปชกบอดี้การ์ดสองคนล้มลงพื้นทันที
ภูรีเห็นบอดี้การ์ดของตนถูกรพีพงษ์จัดการอย่างง่ายดาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความแปลกใจ
เธอถอยหลังไปสองก้าว เพ่งไปที่รพีพงษ์อย่างค่อนข้างเกรงกลัว แล้วกล่าว “แก……แกกล้าต่อยบอดี้การ์ดของฉัน ฉันเป็นคนของตระกูลสุขสวัสดิ์ แกไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม!”
“ตระกูลสุขสวัสดิ์แล้วไง นี่เป็นข้ออ้างที่คุณไม่มีเหตุผลหรอ? รพีพงษ์กล่าวอย่างเยือกเย็น
ปกติภูรีไม่เคยถูกคนปฏิบัติแบบนี้มาก่อน ตอนนี้บอดี้การ์ดของเธอก็โดนต่อยล้มไปแล้ว เธอก็ไม่รู้จะทำไงต่อไป
“ที่นี่เกิดอะไรขึ้น?” ในชั่วขณะนี้ ก็มีเสียงดังขึ้นมา ทุกคนต่างหันมองไปที่ประตู
โยษิตาเดินเข้ามาในร้าน เมื่อกี๊เธอเห็นรถที่โดนทุบหนึ่งคันอยู่ที่ประตู คิดว่าในร้านเกิดเหตุอะไรขึ้น
หลังจากที่พนักงานหลายคนเห็นโยษิตาแล้ว รีบเข้าไปต้อนรับทันที เรียกอย่างยินดีว่า “เจ้านาย”
ภูรีไม่คาดคิดว่าโยษิตาจะปรากฏตัวที่นี่ แล้วพนักงานหลายคนก็เรียกเธอว่าเจ้านาย นี่ทำให้เธอรู้สึกสงสัย
แต่เธอก็รู้ถึงสถานะของโยษิตา ไม่กล้าลังเล แล้วรีบเดินเข้าไปแล้วกล่าวอย่างยินดี “คุณโยษิตา คุณมาที่นี่ได้ไง? ฉันยังคิดว่าอีกเดี๋ยวจะไปหาคุณ”
โยษิตามองไปที่ภูรี แล้วกล่าว “สองสามวันก่อนฉันมาเดินดูที่นี่ เห็นว่าไม่เลว เลยเทคโอเวอร์ที่นี่เลย ตอนนี้ฉันเป็นเจ้าของร้านนี้”
ภูรีตกใจ ในใจพลางคิดไม่แปลกที่เป็นคนของตระกูลลัดดาวัลย์แห่งเกียวโต ได้ทำการซื้อร้านเครื่องประดับที่ใหฯ่ที่สุดของเมืองริเวอร์ไว้ นี่ถือว่าฟุ่มเฟือยกว่าเธออีกเยอะ
“คุณโยษิตาเก่งกาจจริงๆ ซื้อที่นี่ไว้ ฉันยังคิดว่ามานี่เพื่อซื้อของขวัฯให้คุณสักกี่ชิ้น ตอนนี้ดูๆคงไม่ต้องแล้ว ร้านนี้เป็นของคุณโยษิตาแล้ว” ภูรีพูดอย่างเขินอาย
“รถข้างหน้าเกิดอะไรขึ้น?” โยษิตากล่าว
“คืองี้ รถคันนี้แย่งที่จอดกับฉัน ฉันโมโห จึงให้คนทำลายมันทิ้งซะ” ภูรีกล่าว
เธอคิดว่าโยษิตาเป็นคนเกียวโต น่าจะเข้าใจพวกคนรวยเกี่ยวกับความคิดแบบนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้ปิดบัง
โยษิตาขมวดคิ้ว เห็นชัดเจนว่าไม่พอใจกับการกระทำของภูรีเป็นอย่างมาก เธอมองไปที่ด้านใน หลังจากที่ได้เห็นรพีพงษ์กับอารียาแล้ว ในใจก็รู็สึกตกใจขึ้นมา
“ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น เมื่อกี๊ฉันได้ยินเหมือนพวกเธอกำลังทะเลาะกัน?” โยษิตาไม่รีบไปหารพีพงษ์ เพียงแค่ถามหนึ่งครั้ง
“เจ้านาย ข้างในสองคนนั้นต้องการแย่งของกับพี่ภูรี ถึงแม้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาเลือกไว้ก่อน แต่พี่ภูรีเป็นลูกค้าประจำของทางร้าน พวกเราจึงอยากที่จะเอาต่างหูคู่นั้นให้พี่ภูรี ผลลัพธ์คือสองคนนั้นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ยังไงก็ไม่ให้ จึงได้ทะเลาะกันขึ้นมา” พนักงานคนหนึ่งกล่าว
หลายๆคนคิดว่าโยษิตาจะต้องเข้าข้างภูรีแน่นอน ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจรพีพงษ์และอารียาทั้งคู่เลย
“พวกเธอพูดไม่ผิด สองคนนั้นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริงๆ ยังกล้าจะแย่งของกับฉันอีก” ภูรีกล่าวอย่างเหยียดหยาม
อารียาเห็นเจ้าของร้านเค้ามาแล้ว แล้วยังรู้จักกับภูรีอีก รู้ว่าถ้ายังทะเลาะต่อไปพวกเขาต้องเสียเปรียบแน่ๆ จึงอยากพารพีพงษ์ไปขอโทษภูรี
ในขณะเดียวกันนี้เอง ทันใดนั้นโยษิตาก็ยกมือขึ้น แล้วตบไปที่หน้าของพนักงานคนนั้น แล้วกล่าว “แกว่าใครไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง? พวกเขาคือหลานชายและหลานสะใภ้ของฉัน แกก็มีสิทธิ์ว่าเธอแบบนั้น?”