พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 145 ความเปลี่ยนแปลงของอารียา
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- ตอนที่ 145 ความเปลี่ยนแปลงของอารียา
บทที่ 145 ความเปลี่ยนแปลงของอารียา
รพีพงษ์หันไปมองอารียาแล้วพบว่าในแววตาของเธอมีอะไรแปลกไป เมื่อเห็นว่ารพีพงษ์กำลังมองตัวเอง เธอจึงหันหน้าไปมองทางอื่น
“เขาเป็นสวะแห่งเมืองริเวอร์ของพวกคุณไม่ใช่หรือไง ทำไมคุณถึงอยู่กับเขาล่ะ สู้หย่ากับเขาไปเลยดีกว่า ให้เขากลับไปกับฉัน ฉันสามารถหาผู้ชายที่ดีเลิศให้คุณได้นะ” โยษิตาพูดแล้วยิ้มให้กับอารียา
“เขาไม่ใช่สวะ” ท่าทีของอารียาแปรเปลี่ยนเป็นความเด็ดเดี่ยว
เมื่อโยษิตาเห็นท่าทีของอารียาก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “คิไม่ถึงว่าคณจะหลงเขาขนาดนี้ หวังว่าคุณจะเป็นแบบนี้ต่อไปนะ”
อารียาไม่เข้าใจสิ่งที่โยษิตาต้องการจะสื่อ อารียาจ้องเธอแล้วถามขึ้น “คุณกับรพีพงษ์เกี่ยวข้องอะไรกัน”
“อย่าบอกนะว่าคุณดูไม่ออก ฉันมารับเขากลับบ้านไง เขาไม่ได้มีบ้านที่นี่เพียงที่เดียวสักหน่อย” โยษิตาพูดติดตลก
อารียาขมวดคิ้วขึ้นทันที เธอรู้สึกว่าโยษิตากำลังปิดบังอะไรเธออยู่
อารียาหันไปมองรพีพงษ์ ชายหนุ่มจึงรีบพูดอธิบาย “เธอเป็นป้าของผม คุณไม่ต้องไปฟังเธอพูดเพ้อเจ้อ”
โยษิตาเดินเข้าไปยืนข้างอารียา จากนั้นโน้มหน้าเข้าไปข้างหูของเธอแล้วกระซิบเบาๆ ว่า “รพีพงษ์ไม่ใช่คนซื่อแบบที่เธอคิดไว้หรอกนะ อย่าเชื่อเขาไปเสียทุกอย่าง เขาไม่ใช่คนของที่นี่ ต้องไปจากที่นี่ไม่ช้าก็เร็ว”
รพีพงษ์ขมวดคิ้ว จากนั้นจึงยื่นมือออกไปดึงอารียามาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ผมพูดไปแล้วว่าผมกับพวกคุณไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กันอีก ต่อจากนี้อย่ามาวุ่นวายกับผมอีก”
จากนั้นเขาก็พาอารียาเดินออกไปจากห้อง
อารียามองทั้งสองคนเดินออกไปแล้วยิ้มออกมา เธอพูดพึมพำขึ้นมาว่า “หวังว่าภรรยาของนายจะเด็ดเดี่ยวแบบนายนะ”
……
ระหว่างทางกลับบ้าน อารียาเอาแต่คิดถึงคำพูดที่โยษิตาพูดกับเธอ เธอรู้สึกเหมือนว่าโยษิตากำลังบอกอะไรกับบางอย่าง
เธอหันหน้าไปหารพีพงษ์แล้วถามขึ้น “รพีพงษ์ คนนั้นเป็นป้านายจริงๆ เหรอ”
รพีพงษ์พยักหน้าแล้วพูดว่า “ว่างั้นก็ได้ แต่ว่าผมกับพวกเขาได้ตัดขาดความสัมพันธ์กันไปแล้ว จะพูดว่าไม่ใช่ก็ได้”
ถึงแม้ว่าอารียาจะสงสัยว่าทำไมเขาถึงตัดขาดความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวตัวเอง แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของรพีพงษ์แล้ว เธอจึงไม่ได้ถามอะไรต่อ
“งั้นคุณจะเป็นแบบนี้กับฉันตลอดไปไหม” อารียาถามขึ้น
รพีพงษ์หัวเราะแล้วพูดว่า “แน่นอนสิ ทั้งชีวิตของผมมีแค่คุณคนเดียว อย่าโดนคำพูดของโยษิตาหลอกเชียวนะ เขาอยากจะสั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างเรา”
เมื่อเห็นว่ารพีพงษ์เด็ดเดี่ยวเช่นนี้ อารียาจึงพยักหน้า แล้วไม่คิดอะไรเพ้อเจ้ออีก
ช่วงนี้รพีพงษ์ดีกับเธออย่างเห็นได้ชัด ถ้าเทียบกับคำพูดที่มีลับลมคมในของโยษิตา แน่นอนว่าเธอต้องเชื่อรพีพงษ์มากกว่าอยู่แล้ว
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ศศินัดดาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ด่ารพีพงษ์ยกใหญ่ จนทำให้รพีพงษ์กับอารียางงไปหมด
“แม่เป็นอะไร รพีพงษ์ไปทำอะไรให้แม่อีก กลับมาแม่ก็ด่าเขาแล้ว” อารียาพูดอย่างหงุดหงิด
ศศินัดดาจ้องรพีพงษ์แล้วพูดลอดไรฟันออกมา “ไอ้คนไม่เอาไหน แกออกไปก่อเรื่องข้างนอกอีกแล้วใช่ไหม เมื่อกี้ท่านปู่นภทีป์โทรมาหาฉันด้วยตัวเอง บอกว่ารพีพงษ์ทำให้เขาขายหน้า แถมยังด่าฉันยกใหญ่ แกว่าฉันควรจะด่ามันไหมล่ะ”
อารียารู้ทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนว่าหลังจากนภทีป์กลับไป คงจะโกรธแล้วมาระบายใส่ศศินัดดา
“แม่ เรื่องมันไม่ได้เป็นแบบที่แม่คิด รพีพงษ์ไม่ได้ก่อเรื่อง เพราะคุณปู่ทำเกินไปเท่านั้น” อารียาอธิบาย
“แกไม่ต้องมาแก้ตัวแทนไอ้สวะนี่ ฉันดูออกตั้งนานแล้วว่าแกโดนไอ้สวะนี่ล้างสมองไปแล้ว ไม่ว่ามันจะทำอะไร แกก็ออกตัวแทนมันตลอด” ศศินัดดาพูดอย่างไม่ได้ดั่งใจ
อารียารู้สึกน้อยใจ การที่เธอพูดแทนรพีพงษ์ก็เพราะว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดจริงๆ คิดไม่ถึงว่าแม่จะว่าเธอโดนเขาล้างสมอง
“พรุ่งนี้ปู่ของแกให้พวกแกไปหา อารี แกคงจะไปต่อกับมันไม่ได้อีกแล้วล่ะ ไม่งั้นมันจะทำลายชีวิตของแกทั้งชีวิต!”
ศศินัดดาพูดขึ้นมาอีกประโยค จากนั้นจึงเดินฟึดฟัดกลับไปที่ห้อง
อารียาสีหน้าเหนื่อยใจ เธอหันไปมองรพีพงษ์แล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าคุณปู่จะรู้สึกผิดเล็กน้อยเพราะเรื่องวันนี้”
รพีพงษ์หัวเราะแล้วพูดขึ้นมาว่า “คุณปู่รู้สึกผิดเหรอ เป็นเรื่องของเขา ผมไม่ได้ทำอะไรผิด แถมยังทำให้ตระกูลกุลสวัสดิ์เชิญพวกเขาไปร่วมงานเลี้ยงด้วย พวกเขาไร้เหตุผลเอง ถ้าพวกเขายังวุ่นวายแบบนี้ต่อไป งั้นผมก็จัดการให้ถึงที่สุด”
อารียาพยักหน้า ครั้งนี้เธอกะว่าจะสนับสนุนรพีพงษ์อย่างเต็มที่
วันต่อมา รพีพงษ์กับอารียาไปคฤหาสน์ตระกูลฉัตรมงคล
นภทีป์นั่งสีหน้าเคร่งขรึมอยู่บนโซฟา ชรินทร์ทิพย์กับธายุกรยืนขนาบข้าง สีหน้าของทั้งคู่ดูไม่สู้ดีนัก
อารียาและรพีพงษ์เดินเข้าไปหานภทีป์ จู่ๆ ชายชราก็ตบโต๊ะเสียงดังแล้วตะโกนออกมาว่า “รพีพงษ์ ไอ้คนบาป คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!”
“คุณปู่ ผมทำผิดอะไร” รพีพงษ์ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแล้วเอ่ยถาม
“รพีพงษ์ แกโง่จริงๆ หรือแกล้งโง่ เมื่อวานแกทำให้พวกเราขายหน้าในงานเลี้ยงที่บ้านตระกูลกุลสวัสดิ์ อย่าบอกนะว่าแกยังไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด” นภทีป์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เมื่อวานหลังจากที่พวกเขากลับจากงานเลี้ยง ก็เอาแต่ด่าว่าเป็นความผิดของรพีพงษ์ ถ้าไม่ใช่เพราะรพีพงษ์ ผู้นำของตระกูลกุลสวัสดิ์คงไม่พูดแบบนั้นออกมา
กลับกันนภทีป์คิดว่าการที่บ้านตระกูลกุลสวัสดิ์เชิญรพีพงษ์ แถมยังเห็นแก่หน้าของเขาถึงเชิญไปร่วมงาน มันทำให้เขารู้สึกไม่ยุติธรรม
เขาสั่งให้รพีพงษ์คุกเข่าก็เพราะว่าอยากจะยืนยันถึงอำนาจของตัวเองในตระกูล แต่รพีพงษ์กลับไม่ฟังคำพูดของเขา
“ผมทำให้พวกคุณขายหน้า? ผมอุตส่าห์ให้ผู้นำตระกูลกุลสวัสดิ์เชิญพวกคุณไปร่วมงานเลี้ยง แถมพวกคุณยังบอกว่าผมแอบเข้ามาแล้วยังไล่ผมกับอารียาออกไป ยังมาโทษผมได้อีกเหรอ” รพีพงษ์ซักถาม
ธายุกรเริ่มเก็บอาการไม่อยู่ เรื่องนี้มันหาเรื่องใส่ตัวเอง
“หึ ยังจะเสแสร้งอะไรอีก อย่าคิดว่าผู้นำตระกูลกุลสวัสดิ์อยู่ข้างแกแล้วจะมาพูดแบบนี้กับพวกเราได้นะ แกมันก็แค่หมาตัวหนึ่งในตระกูลกุลสวัสดิ์ เขาสามารถถีบแกออกไปได้ทุกเมื่อ รอให้ฉันแต่งงานกับตระกูลลัดดาวัลย์แห่งเกียวโตก่อนเถอะ ถึงจะเป็นตระกูลกุลสวัสดิ์ก็ไม่อยู่ในสายตาฉันหรอก แกมาผยองอะไรที่นี่” ชรินทร์ทิพย์พูดขู่
“พอแล้ว!” นภทีป์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “รพีพงษ์ แกจงใจให้ผู้นำตระกูลกุลสวัสดิ์เชิญฉันไปงานเลี้ยง แกถูกต่อว่าตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ พอผู้นำตระกูลกุลสวัสดิ์อยู่ข้างแก แกก็ใช้โอกาสนี้ในการแก้แค้นฉันใช่ไหม”
“คุณปู่ รพีพงษ์เขาให้ผู้นำตระกูลกุลสวัสดิ์เชิญคุณปู่ไปร่วมงานเลี้ยงด้วยความจริงใจจริงๆ นะคะ” อารียารีบเอ่ยขึ้น
“แกหุบปาก แกไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น” นภทีป์พูดเสียงดัง
เขามองรพีพงษ์อีกครั้ง
“ฉันไม่สนใจว่าผู้นำตระกูลกุลสวัสดิ์อยู่ข้างแกหรือไม่ ตอนนี้แกกินข้าวของตระกูลฉัตรมงคล ในบ้านนี้ทุกคนต้องฟังสิ่งที่ฉันพูด”
“ครั้งนี้การกระทำของแกทำให้ฉันโกรธ ฉันสามารถไล่แกออกไปจากบ้านได้ทุกเมื่อ แต่ก่อนหน้านี้แกหาหมอเทวดาชุมาช่วยรักษาฉัน ฉันจะไม่ถือสาแก แต่ว่าแกต้องไปคุยกับผู้นำของตระกูลกุลสวัสดิ์ ให้เขายอมรับฐานะของฉันในตระกูลฉัตรมงคล ให้เขามาขอโทษฉัน”
นภทีป์พูดเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเองออกมา ถ้ารพีพงษ์สามารถทำให้ผู้นำตระกูลกุลสวัสดิ์ยอมรับฐานะของเขาในตระกูลฉัตรมงคล และมาขอโทษเขาได้ ต่อจากนี้คนในเมืองริเวอร์จะได้มองตระกูลกุลสวัสดิ์สูงขึ้น ความอับอายครั้งนี้ก็ถือว่าไม่เป็นไร
“ขอโทษครับ ผมไม่สามารถทำได้ การที่คุณจะทำให้ผู้นำตระกูลกุลสวัสดิ์ยอมรับ คุณต้องตั้งใจพัฒนาบริษัทให้ก้าวหน้า ไม่ใช่มาใช้วิธีที่สกปรกแบบนี้” รพีพงษ์เอ่ยขึ้น
นภทีป์จ้องเขาเขม็ง คิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะกล้าปฏิเสธ
“คุณปู่ ผมบอกแล้วว่ามันก็แค่หมาตัวหนึ่งในตระกูลกุลสวัสดิ์ มันจะไปพูดให้ผู้นำตระกูลกุลสวัสดิ์มาขอโทษคุณปู่ได้ยังไงกัน” ชรินทร์ทิพย์บ่นพึมพำ
“ใช่ มันทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก พูดซะสวยหรู ทำเป็นอวดดี” ธายุกรพูดเสริม
สีหน้าของนภทีป์ยิ่งดูไม่ได้เข้าไปใหญ่ จึงพูดขึ้นมาว่า “ฉันไม่สนว่าแกจะทำได้หรือไม่ ถ้าแกทำไม่ได้ ฉันก็จะให้แกไสหัวออกไปจากบ้าน!”
รพีพงษ์คิดในใจว่าแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยเห็นตระกูลฉัตรมงคลอยู่ในสายตา ถึงจะออกจากบ้านนี้ไป เขาก็สามารถทำตัวได้อย่างปกติไม่มีปัญหาอะไรเสียด้วยซ้ำ
ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้ เขาก็ไม่อยากไว้หน้านภทีป์แล้วเหมือนกัน
แต่ทว่าเขายังไม่ทันได้พูดอะไรออกไป อารียาก็ก้าวเข้ามาแล้วพูดว่า “ถ้าคุณปู่ไล่เขาออกจากบ้าน หนูก็จะออกไปกับเขาด้วย!”
“อะไรนะ นี่แกกำลังขู่ฉันเหรอ” นภทีป์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“หนูไม่ได้ขู่คุณปู่ แต่การที่คุณปู่ทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับรพีพงษ์ คุณปู่อย่าลืมนะคะว่าเรื่องโครงการของบริษัทซันบับเบิลกรุ๊ป รพีพงษ์เป็นคนเจรจาสำเร็จ ถ้าตอนนี้เขาไปหนูก็จะไปกับเขา บริษัทซันบับเบิลกรุ๊ปต้องรีบยกเลิกความร่วมมือกับตระกูลฉัตรมงคลแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นตระกูลฉัตรมงคลจะต้องเผชิญกับอะไร คุณปู่น่าจะรู้ดีนะคะ” อารียาพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“คุณปู่คะ ไอ้คนต่ำตมนี่มันกล้าเอาโครงการของบริษัทซันบับเบิลกรุ๊ปมาข่มขู่คุณปู่ อย่าบอกนะว่ามันคิดว่าถ้าไม่มีมันแล้วตระกูลฉัตรมงคลจะอยู่ไม่ได้งั้นเหรอ หนูว่าต้องรีบไล่มันออกจากบ้านแล้วล่ะค่ะ” ชรินทร์ทิพย์ใช้โอกาสนี้พูดใส่ไฟ
ชรินทร์ทิพย์กับธายุกรอยากให้พวกเขาออกจากบ้านไปจนทนไม่ไหวแล้ว
แต่ทว่านภทีป์กลับรู้สึกลังเลขึ้นมา เพราะว่าถ้าไม่มีโครงการของบริษัทซันบับเบิลกรุ๊ป ตระกูลฉัตรมงคลก็อยู่ต่อไปไม่ได้จริงๆ
ชรินทร์ทิพย์กับธายุกรเอาแต่ประโยชน์จากบริษัท พวกเขาไม่เคยคำนึงถึงสภาพการณ์ของบริษัทด้วยซ้ำ
รพีพงษ์คิดไม่ถึงว่าอารียาจะเอาเรื่องโครงการมาข่มขู่นภทีป์ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการฉีกหน้านภทีป์
ถึงนภทีป์จะไม่ไล่พวกเขาออกจากบ้าน แต่ต่อจากนี้คงจะมองหน้ากันไม่ติด
ถึงแม้นภทีป์จะรู้อยู่แก่ใจ แต่ทว่าเขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา กลับมองอารียาด้วยความโมโหแล้วพูดว่า “อารียา แก่ปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะถึงกล้าพูดกับฉันแบบนี้ แกไม่เห็นฉันเป็นปู่แล้วใช่ไหม!”
“ถ้าปู่ยังยืนยันที่จะไล่เราออกไปจากบ้าน หนูก็ไม่เห็นปู่เป็นปู่ของหนู” อารียาพูดอย่างแน่วแน่
“ไสหัวไปซะ ไสหัวไปให้พ้น! ต่อไปอย่าพูดว่าแกเป็นหลานของฉันอีก ฉันไม่อยากเห็นหน้าแกอีกต่อไป!” นภทีป์ปัดแก้วที่อยู่บนโต๊ะลงบนพื้น
อารียาจับมือของรพีพงษ์แล้วเดินออกจากคฤหาสน์ตระกูลฉัตรมงคล
“คุณทำแบบนี้ ผมกลัวว่าต่อจากนี้คนในตระกูลจะเจาะจงคุณเป็นพิเศษ” รพีพงษ์พูดขึ้นมาระหว่างทางกลับบ้าน
“ถึงไม่ทำแบบนี้ พวกเขาก็เจาะจงฉันเป็นพิเศษอยู่แล้ว ฉันไม่อยากเผชิญสภาพแบบนั้นอีกแล้ว เป็นแบบนี้ก็ดี” อารียาหัวเราะแล้วพูดออกมา
รพีพงษ์หัวเราะออกมาเช่นกัน เห็นว่าอารียาเปลี่ยนไปเพราะเขา ในใจของชายหนุ่มก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที
นภทีป์คิดดูแล้วว่าจะไม่ไล่อารียากับรพีพงษ์ออกจากบ้านก่อน เพราะว่าโครงการกับบริษัทซันบับเบิลกรุ๊ปมันเกี่ยวข้องกับชะตาชีวิตของตระกูลฉัตรมงคล เขาไม่กล้าพอที่จะทำเช่นนั้น
แต่ทว่าต่อจากนี้ไป การประชุมหรืองานเลี้ยงใดที่เกี่ยวกับตระกูล เขาจะไม่เรียกอารียามา
เช้านี้อารียาพักผ่อน ศศินัดดาเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “อารี เดี๋ยวน้องชายแกจะมา แกขับรถไปรับเขาที่สถานีรถไฟด้วย”
“น้องชาย? ธีริทธิ์?” อารียาเอ่ยถาม
“ใช่ นอกจากเขาแล้วจะมีใครอีกล่ะ” ศศินัดดาพูด
อารียารีบขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เขามาบ้านเราทำไม”
ธีริทธิ์ ไม่เอาไหนตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นอารียาจึงไม่ชอบเขามาโดยตลอด
“เราอยู่คฤหาสน์ เขาบอกว่าจะมาเที่ยวสองสามวัน แกจะขมวดคิ้วทำไม ไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นน้องชายของแก รีบไปรับเขาเร็ว” ศศินัดดาพูดอย่างไม่สบอารมณ์
กว่าอารียาจะหาวันพักผ่อนได้มันไม่ง่ายเลย เธอไม่อยากไปรับน้องชาย ดังนั้นเธอจึงเอากุญแจรถให้รพีพงษ์ไปรับเขา
รพีพงษ์เอ็นดูอารียา เขารีบหยิบกุญแจรถจากนั้นก็ขับรถไปสถานีรถไฟ
รพีพงษ์ออกไปได้ไม่นาน บุษบากรก็ถึงดงเย็น
ผู้หญิงสองคนนั่งคุยกันอยู่บนโซฟา อารียาเอาแต่บ่นตัวเองที่ช่วงนี้เธอได้รับสายตาเย็นชาจากคนในบริษัท บุษบากรปลอบใจเธอ
ผ่านไปสักพัก บุษบากรจึงถามขึ้นมาว่า “อารี รพีพงษ์ไม่อยู่บ้านเหรอ”
อารียาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไปรับน้องชายฉันน่ะ”
บุษบากรกลอกตาไปมาแล้วหยิบมือถือออกมา “อ้อ ฉันนึกได้ว่าครั้งก่อนที่ไปเที่ยว ถ่ายรูปมาเยอะแยะเลย เธอดูสิ”