พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 140 อาจารย์ของนายสู้ฉันไม่ได้หรอก
- Home
- พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก
- ตอนที่ 140 อาจารย์ของนายสู้ฉันไม่ได้หรอก
บทที่140 อาจารย์ของนายสู้ฉันไม่ได้หรอก
นภทีป์คิดไม่ถึงว่าจู่ๆกุนลโรจน์จะไม่เกรงใจขนาดนี้ เขาแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนเต็ม กลืน ตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไม่ไหวติง
ธายุกรกับชรินทร์ทิพย์และคนบ้านฉัตรมงคลต่างยืนมองกุนลโรจน์ด้วยความตกตะลึง กุนลโรจน์เป็นคนเชิญพวกเขามาแท้ๆ แต่ตอนนี้เขากลับมาฉีกหน้านภทีป์ต่อหน้าคนจำนวนมาก ช่างเกินไปจริงๆ
ชรินทร์ทิพย์ไม่สบอารมณ์ เดินขึ้นหน้าแล้วพูดว่า“ท่านตระกูลกุลสวัสดิ์คะ ในเมื่อท่านเป็นคนให้บัตรเชิญกับครอบครัวฉัตรมงคลของเรา ก็เท่ากับว่าเรามีหน้ามีตาระดับหนึ่งแล้ว ตอนนี้ท่านกลับมาพูดแบบนี้ หมายความว่าอย่างไรคะ”
“นั่นสิครับ บ้านฉัตรมงคลเราสู้บ้านตระกูลกุลสวัสดิ์ไม่ได้ก็จริง แต่ก็ไม่ควรจะมาสร้างความอับอายให้กันแบบนี้นะครับ ในเมื่อท่านไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา แล้วท่านจะเชิญพวกเรามาทำไมครับ”ธายุกรก็รู้สึกโกธรจัดเช่นกัน
กุนลโรจน์ยิ้มเย็นชามองไปทางพวกเขา ท่าทีที่พวกเขามีต่อรพีพงษ์เมื่อครู่ เขารับรู้ได้หมด แล้ว คนพวกนี้ไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของรพีพงษ์ ถ้ารู้ก็คงไม่กล้า
ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจบ้านฉัตรมงคลมากมายเท่าไหร่นัก
“พวกคุณอย่ามาไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีอยู่ตรงนี้เลย ที่ผมเชิญพวกคุณมา เพราะเป็นความต้องการของคุณรพีพงษ์ ถ้าไม่ใช่เขาเอ่ยปาก คุณคิดว่าตระกูลเล็กๆอย่างฉัตรมงคล จะมีสิทธิ์มาร่วมงานหรือ”กุนลโรจน์พูดเสียงเย็นชา
คำพูดของเขาราวกับสายฟ้าฟาด ที่ฟาดเปรี้ยงลงกลางใจคนในตระกูลฉัตรมงคลแต่ละ คน
ร่างที่แข็งทื่อของนภทีป์ถอยผงะ โอนเอนไปมา ราวกับจะล้มฟาดลงบนพื้น
ธายุกรกับชรินทร์ทิพย์สองคนรีบเข้าไปพยุง ในใจต่างก็รู้สึกเหลือเชื่อ
“นี่……นี่เป็นไปได้ไง พวกเราได้รับเชิญมางานเลี้ยง เป็นเพราะรพีพงษ์อย่างนั้นเหรอ” ชรินทร์ทิพย์บ่นพึมพำ
“มันเป็นแค่สวะแท้ๆ ทำไมประมุขบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์ ถึงได้ให้ความสำคัญมันนัก”ธายุกรรู้สึกผิดหวัง
“หรือว่าประมุขบ้านฉัตรมงคลอย่างปู่ จะสู้สวะคนนึงไม่ได้”นภทีป์เสียงสั่น
ตอนนี้ในใจคนบ้านฉัตรมงคลต่างรู้สึกสับสน พวกเขาไม่อยากเชื่อว่าสู้รพีพงษ์ไม่ได้
และเมื่อกี้ประมุขบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์ก็ได้พูดแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะรพีพงษ์ พวกเขาไม่มีสิทธิ์มาด้วย ซ้ำ
นี่เป็นการตบหน้าพวกเขาอย่างแรงชัดๆ
คนรอบๆเมื่อๆได้ฟังคำพูดของกุนลโรจน์ ต่างก็ตีตัวออกห่างจากบ้านฉัตรมงคล
ประมุขบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์ยังไม่อินังขังขอบกับพวกเขาเลย คนอื่นๆยิ่งตีตัวออกห่าง
กุนลโรจน์หันตัวกลับ มองไปทางรพีพงษ์กับอารียา แสดงแววตาที่อ่อนน้อม พูดขึ้น“ขอโทษจริงๆนะครับ สร้างความเดือดร้อนให้คุณอีกแล้ว ผมดูแลไม่ดีเอง ถ้ามีอะไรที่ไม่พอใจ ก็พยายามบอกผมนะครับ ผมจะพยายามชดเชยให้”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่เป็นอะไร”รพีพงษ์เอ่ยปาก
เห็นรพีพงษ์ไม่ถือสา กุนลโรจน์จึงโล่งอกไปที
“คุณรพีพงษ์ครับ เมื่อกี้ผมเห็นคนบ้านฉัตรมงคลดูเหมือนจะไม่เป็นมิตรกับภรรยาคุณสักเท่าไหร่นะครับ จะให้ผมไล่ออกไปไหมครับ ”กุนลโรจน์เปิดปากถาม
รพีพงษ์ส่ายหน้า พูดขึ้น“ไม่ต้องหรอกครับ ให้พวกเขาอยู่ในงานเลี้ยงต่อเถอะครับ อย่างไรก็เป็นบ้านฉัตรมงคลของเรา ไม่อยากจะเสียน้ำใจต่อกันมากไป”
“ครับ งั้นผมไม่ยุ่งกับพวกเขาแล้วนะครับ”กุนลโรจน์พยักหน้า
รพีพงษ์กับอารียาไม่อยากจะวุ่นวายใจกับเรื่องนี้ พอเดินไปตรงระเบียงทางเดิน ทั้งสองคนจึงพูดขึ้นมา
หลังจากที่ธายุกรหายตกใจ สีหน้าก็แสดงความชิงชังขึ้น
เขาจ้องไปที่รพีพงษ์ผู้เดินอยู่ตรงระเบียงทางเดิน กัดฟันกรอดๆ“ไม่รู้จริงๆว่าไอ้สวะนั่นมีโชคอะไรของมัน ถึงได้เกาะประมุขบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์แจขนาดนี้ เห็นท่าลำพองมันแล้วน่าหมั่นไส้”
“หึ ได้ประมุขบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์เป็นพวกแล้วไง ก็เป็นแค่หมาตัวนึงอยู่ดี รอให้ประมุขบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์อารมณ์ไม่ดีก่อนเถอะ จะได้โดนถีบออกมา ไม่เห็นมีอะไรน่าโอ้อวดเลย”ชรินทร์ทิพย์พูด
ทั้งสองคนต่างคิดว่า รพีพงษ์สามารถเกาะติดประมุขบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์ขนาดนี้ เป็นแค่โชคเฉยๆ ส่วนโชคนั้นก็แค่แป๊บเดียว แล้วรพีพงษ์ก็จะถูกไสหัวไปเอง
ส่วนคนบ้านฉัตรมงคลต่างแอบโทษรพีพงษ์อยู่ในใจเงียบๆ คิดว่าวันนี้ที่งานเลี้ยงเขาพลาดบุคคลสำคัญขนาดนี้ เป็นเพราะรพีพงษ์คนเดียว
นภทีป์ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะฟื้นคืนสติ เขาถอนใจออกมาอย่างอ่อนใจ พูดขึ้น“พวกเราไปกันเถอะ ในเมื่อเขาไม่ได้ตั้งใจเชิญพวกเรา พวกเราก็ไม่ควรอยู่ให้ขายหน้า”
“แต่เขาไม่ได้ไล่เรานี่คะ คุณปู่ งานเลี้ยงแบบนี้โอกาสหายาก พวกเราอยู่ต่ออีกหน่อยเถอะค่ะ”ชรินทร์ทิพย์เอ่ยปาก
นภทีป์จ้องเขม็ง เปิดปากพูด“อยู่ต่ออะไรล่ะ แกไม่กลัวขายหน้าเหรอ ไปให้หมด!”
พูดจบ นภทีป์จึงหมุนตัวกลับเดินออกไปด้านนอก โดยไม่มีใครเข้ามารั้งพวกเขาเอาไว้
“เชอะ เพราะสวะรพีพงษ์คนเดียวแท้ๆ”ชรินทร์ทิพย์บ่นพึมพำ แล้วรีบเดินตาม ออกจากบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์ไป
ไม่นานนัก กุนลโรจน์เริ่มแนะนำคนที่เชิญมาให้แต่ละคนรู้จัก งานเลี้ยงมีไว้เสาะหาคอนเนคชั่น มีการแนะนำจากกุนลโรจน์ คนพวกนั้นจะมีค่าขึ้นมามากทันที และอยากจะมีแต่คน สมาคมด้วย
กุนลโรจน์เดิมทีจะแนะนำรพีพงษ์ แต่รพีพงษ์ไม่ได้อยากคบหาสมาคมกับใครที่นี่ จึงปฏิเสธกุนลโรจน์ไป
“คิดไม่ถึงเลยว่าปรมาจารย์วัตถุโบราณมือหนึ่งของเมืองริเวอร์จะมาร่วมงานด้วย ได้ยินชื่อเสียงมานาน ท่านอาจารย์จาง พวกเราก็ชอบสะสมของเก่าเหมือนกันครับ แต่ด้านการพิสูจน์ พวกเราสู้ท่านอาจารย์จางไม่ได้แน่นอน วันนี้ท่านอาจารย์แสดงฝีมือให้เราชมหน่อยได้ไหมครับ ให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตา”มีคนเอ่ยขึ้น
คนจำนวนไม่น้อยเห็นด้วย
จารุพิชญ์เห็นทุกคนแห่เข้ามา จึงหัวเราะ พูดขึ้น“ในเมื่อทุกคนมีน้ำใจ ผมก็จะแสดงให้ดูแล้วกัน ใครที่นำของโบราณที่ไม่รู้วันเดือนปีมาแล้วไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือปลอม เอาให้ผมดูได้นะครับ”
“ผมนำมาครับ ไปได้มาจากตลาดโบราณพอดีวันนี้ งั้นรบกวนอาจารย์ดูให้หน่อยครับ!”ชายวัยกลางคนร่างท้วมคนหนึ่งพูดขึ้น
เขาจึงให้ผู้ติดตามรีบยกลังเข้ามา พอเปิดลัง ด้านในมีของโบราณเต็มไปหมด
เวลานี้จารุกิตติ์มองไปทางรพีพงษ์ จำคำพูดโผงผางที่รพีพงษ์พูดตอนอยู่ในห้องโถงได้ ใน ใจไม่สบอารมณ์
แม้ว่าเขาจะสู้รพีพงษ์ไม่ได้ แต่จารุพิชญ์สู้ได้แน่นอน ตอนนั้นรพีพงษ์เป็นคนบอกว่าจะประลองเอง และนี่ก็เป็นโอกาสที่จะให้รพีพงษ์ขายหน้า
เขาเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง เดินไปกระซิบข้างหูจารุพิชญ์ พูดขึ้น“อาจารย์ครับ ตอนนั้นที่รพีพงษ์บอกจะแข่งกับอาจารย์ ใช้โอกาสนี้ประลองสิครับ วัดฝีมือกัน”
จารุพิชญ์เองก็นึกถึงคำพูดรพีพงษ์ในห้องโถงคราวนั้น ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการ ย่อมไม่เกรงชนรุ่นหลังอยู่แล้ว จึงพยักหน้าให้จารุกิตติ์
จารุกิตติ์ยิ้มอย่างมีความหวัง แล้วพูดกับทุกคนว่า“ทุกท่านครับ ทุกท่านคงไม่รู้ว่า ตอนที่คุณชายจับรพีพงษ์ ที่จริงเขาเป็นนักพิสูจน์มือฉมัง ตอนนั้นเขายังท้าทายอาจารย์ของผมอยู่เลย”
“ในเมื่อตอนนี้อาจารย์ผมกำลังจะแสดงฝีมือพอดี ก็ลองให้เขาสองคนประลองกันสักตั้ง พวกเราจะได้ดูชมด้วย เป็นไงครับ”
ทุกคนต่างเห็นด้วย ตะโกนก้องให้ประลองกัน
จารุกิตติ์หันไปหารพีพงษ์ พูดว่า“รพีพงษ์ นายกล้าประลองกับอาจารย์ไหม”
รพีพงษ์ยิ้ม พูดขึ้น“อาจารย์คุณสู้ผมไม่ได้หรอก คุณกำลังขุดหลุมพรางให้ท่านด้วยมือคุณเอง”