พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก - ตอนที่ 138 พวกเขาลอบเข้ามา
บทที่138 พวกเขาลอบเข้ามา
จารุพิชญ์มองรพีพงษ์อย่างอึดอัดพร้อมพูดขึ้น “ไม่ต้องหรอก ลูกศิษย์ผมพูดส่งเดชไปเองคุณอย่าถือสาเลย”
รพีพงษ์ไม่ทันได้พูดอะไร ดึงอารียาออกไป
จารุกิตติ์จ้องรพีพงษ์อย่างเกรี้ยวกราด พูดขึ้นว่า“อาจารย์ครับ ผมว่าเจ้านี่มันจงใจ เขารู้ว่างานเลี้ยงอาหารค่ำกำลังจะเริ่ม อาจารย์ไม่มีเวลาแข่งกับเขาหรอก ก็เลยจงใจพูด”
จารุพิชญ์จ้องจารุกิตติ์เขม็ง พูดเสียงเย็นชา“พอได้แล้ว หุบปากของแกซะ ถ้าแกทำให้ท่านตระกูลกุลสวัสดิ์ขุ่นเคืองขึ้นมา ฉันจะไม่ปกป้องแก”
จารุกิตติ์รีบยักไหล่ทันที ไม่กล้าพูดอะไร ในใจคิดว่ารพีพงษ์นี่ดวงดีจริงๆ ท่านตระกูลกุลสวัสดิ์ดีกับเขา ขนาดนี้
ในสวนของตระกูลกุลสวัสดิ์ คนที่มาร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำต่างทยอยกันเข้ามา ไฟในสวนก็สว่างไสวขึ้น ดูแล้วช่างครื้นเครง
คนที่มาร่วมงานต่างก็เป็นบุคคลแนวหน้าของเมืองริเวอร์ทั้งนั้น ทุกคนให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงนี่มาก ต่างก็รีบขวนขวายหาคอนเนคชั่นกันใหญ่
นภทีป์พาคนบ้านฉัตรมงคลยืนอยู่ตรงกลาง ยิ้มและทักทายคนโดยรอบ
“นี่สิถึงจะเรียกว่างานเลี้ยงอาหารค่ำของตระกูลใหญ่ ที่มาล้วนแต่เป็นชนชั้นนำทั้งนั้น คิดไม่ถึงว่าฉันเองก็มีโอกาสได้ร่วมงานกับเขาด้วย”ชรินทร์ทิพย์พูดเสียงใส
“อย่าดูถูกตัวเองไปหน่อยเลย พวกเราก็เป็นชนชั้นนำเหมือนกัน ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นหรอก”ธายุกรกล่าว
“นั่นสินะ พวกเราก็ถือว่าอยู่ในวงสังคมชั้นสูงเหมือนกัน คิดว่าป่านนี้อารียาน่าจะกำลังร้องไห้อยู่แน่ๆ โอกาสดีๆแบบนี้ แต่ไม่ได้มา คิดแล้วขำ”ชรินทร์ทิพย์หัวเราะ
ธายุกรหัวเราะตาม พูดขึ้น“มันมีสิทธิ์อะไรที่จะมาสถานที่แบบนี้เล่า ก็แค่บริหารให้บริษัทแค่โครงการเดียว ความสามารถแบบมัน ฉันก็ทำได้ตลอดเวลานั่นแหละ”
“แล้วไหนจะรพีพงษ์อีก สะเออะบอกว่าตระกูลกุลสวัสดิ์เชิญมัน เมื่อกี้ฉันออกไปดูข้างนอกรอบหนึ่ง ไม่เห็นแม้แต่เงามัน ถ้ามันมาที่แบบนี้ได้ ก็แปลกละ”
ชรินทร์ทิพย์แสดงสีหน้ารังเกียจออกมาเห็นได้ชัด พูดขึ้นว่า“พูดถึงรพีพงษ์แล้วหมั่นไส้ ถือหางว่าตัวเองมีความสำคัญ นอกจากโม้เก่ง ก็ไม่มีความสามารถอะไรหรอก”
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังถกกันอยู่ ต่างแสดงทัศนะซึ่งกันและกัน รพีพงษ์ก็จูงมืออารียาเข้ามา ในห้องโถง
กุนลโรจน์ต้องรับอาคันตุกะท่านอื่นๆ จึงให้รพีพงษ์กับอารียาดื่มและกินตามสบาย
ทั้งคู่เดินง่วนอยู่ในสวน หยิบขนมหวานกิน
ในเวลานี้เอง ชรินทร์ทิพย์เห็นรพีพงษ์กับอารียา จึงเบิ่งตาโพลงขึ้น
“ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม พี่ดูสินั่นใช่รพีพงษ์กับอารียาหรือเปล่า”ชรินทร์ทิพย์พูดขึ้น
ธายุกรรีบมองไปตามสายตาของชรินทร์ทิพย์ หลังจากที่เห็นว่าเป็นอารียกับรพีพงษ์จริงๆจึงรู้สึกตกตะลึง
“พวกเขามาได้ไงน่ะ ไม่มีบัตรเชิญ เข้ามาไม่ได้สักหน่อย”ธายุกรพึมพำ
“คงไม่ได้ลอบเข้ามาหรอกมั้ง ถ้าประมุขตระกูลกุลสวัสดิ์ค้นพบเข้า คงจะไม่ปล่อยไว้แน่ๆ”ชรินทร์ทิพย์พูดคาดการณ์
“แม่งเอ๊ย สงสัยว่าพวกมันอิจฉาพวกเราแน่ๆที่ได้มางานเลี้ยง ก็เลยแอบลอบเข้ามา ถ้าคนตระกูลกุลสวัสดิ์เจอเข้า อาจจะซวยมาถึงพวกเราด้วยก็ได้ เรื่องนี้ต้องบอกคุณปู่แล้ว” ธายุกรตัดสินใจ
ทั้งคู่รีบเดินไปหานภทีป์ แล้วรีบบอกเรื่องที่รพีพงษ์กับอารียาลอบเข้ามา
นภทีป์รีบมองไปทางรพีพงษ์และอารียา พูดขึ้นอย่างเดือดดาล“ไอ้ตัวไม่เอาถ่านสองตัว ถึงขั้นกล้าลอบเข้ามาเชียวหรือ หรืออยากจะทำให้บ้านฉัตรมงคลซวยอีกรอบ!”
“คุณปู่ครับ ผมเห็นว่าตอนนี้เราน่าจะเดินไปกระชากหน้ากากพวกมันนะครับ ไม่งั้นถ้าให้ตระกูลกุลสวัสดิ์มาเห็น จะสายเกินไป”ธายุกรเปิดปากพูด
“นั่นสิ ฉีกหน้ากากพวกมัน ถึงจะไม่เกี่ยวกับพวกเราบ้านฉัตรมงคล ”ชรินทร์ทิพย์พูดเสริม
นภทีป์แค่นเสียงเย็นชา พาคนบ้านฉัตรมงคลเดินไปทางรพีพงษ์กับอารียา
อารียาอยู่ไกลออกไปหากแต่สัมผัสได้ถึงรังสีพิฆาต พอหันหลังไปดู ก็เห็นนภทีป์ จึงออกปากเรียก“คุณปู่คะ”
“ไอ้ฉิบหายสองคน!ใครให้พวกแกสองคนลอบเขามาห๊ะ พวกแกต้องการจะทำให้บ้านฉัตรมงคลฉิบหายหรือไง!”นภทีป์ตะคอก
อารียาอธิบายทันที“คุณปู่คะ พวกเราไม่ได้ลอบเข้ามานะคะ”
“อารียา เธอหยุดแก้ตัวที่นี่ได้แล้ว ถ้าพวกเธอไม่ลอบเข้ามาแล้วเข้ามากันยังไง พวกเธอมีบัตรเชิญหรือไง”ชรินทร์ทิพย์ถาม
อารียารู้สึกลำบากใจขึ้นมา เธอกับรพีพงษ์มากับรถที่ตระกูลกุลสวัสดิ์ไปรับมา แน่นอนว่าไม่ต้องใช้บัตรเชิญอะไร
“พวกเรามานี่ไม่ต้องใช้บัตรเชิญค่ะ ประมุขตระกูลกุลสวัสดิ์ส่งรถมารับพวกเรา”รพีพงษ์เปิดปากพูด
ธายุกรรีบเบ้ปาก พูดขึ้น“รพีพงษ์ แกโม้เก่งขึ้นทุกวันนี่ แกอย่าบอกนะว่าแกนั่งรถลินคอร์นมา แกมีสิทธิ์ด้วยเหรอ”
นภทีป์เห็นว่ารพีพงษ์กับอารียกล้าลอบเข้ามา สีหน้าก็ดูบูดเบี้ยวขึ้นมาทันที พูดเสียงเย็นชา“แคลร์ ปู่คิดเสมอว่าแกเป็นเด็กดี แต่ตอนนี้แกมาเสียคนเพราะไอ้สวะรพีพงษ์ แกรู้ไหมว่าการลอบเข้ามาแบบนี้ถ้าโดนคนบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์จับได้ จะมีจุดจบยังไง”
“คุณปู่คะ พวกเราไม่ได้ลอบเข้ามานะคะ เมื่อกี้พวกเรายังเรียกประมุขบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์ ต้องเชื่อหนูนะคะ”อารียาพูดร้อนรน
“ยิ่งพูดยิ่งเหลวไหล ฉันยังไม่เจอประมุขบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์ เลย แกจะไปเจอได้ไง หัดโกหกแบบหน้าไม่แดงได้อย่างรพีพงษ์แล้วนะ!”นภทีป์ตะคอกเสียงโกธร
ธายุกรกลอกลูกตา ยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ มองไปรอบๆตัว ตะโกนเสียงดัง“ทุกคนมาดูนี่มา ทางนี้ สวะที่ขึ้นชื่อที่สุดในเมืองริเวอร์ พวกมันไม่มีสิทธิร่วมงานเลี้ยงด้วยซ้ำ คุณปู่จับเอาไว้ มันยังไม่ยอมรับ ทุกคนมาดูสวะหน้าด้านนี่เร็ว!”
ทุกคนต่างถูกดึงดูดด้วยคำพูดของธายุกร ต่างก็ล้อมวงกันเข้ามา จ้องรพีพงษ์กับอารียา เขม็ง
อารียาดูโมโห ตะคอกใส่ธายุกรว่า“จะบ้าไปแล้วหรือไง เรียกคนมาเยอะแยะทำไม!”
“ทำไม ใจหวิวละสิ ถ้าพวกแกไม่ลอบเข้ามา แล้วจะกลัวอะไร”ธายุกรหัวเราะเย็นชา
อารียาเงียบไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
ผู้คนต่างจ้องรพีพงษ์ แล้วเริ่มถกกันขึ้นมา
“นั่นมันสวะชั้นหนึ่งของเมืองริเวอร์เหรอ กล้าเข้ามาในที่แบบนี้ ไม่กลัวตายหรือไง”
“อยากจะเข้ามาสัมผัสสังคมชั้นสูงมั้ง ช่างน่าขัน เขาคิดว่าเขาลอบเข้ามา แล้วจะมานั่งทัดเทียมพวกเราเหรอ สวะก็คือสวะ”
“เหอะๆ แม้แต่งานเลี้ยงบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์ยังกล้าลอบเข้ามา ถ้าคุณท่านรู้เข้า ไม่ปล่อยพวกมันแน่ๆ”
……
รพีพงษ์เห็นทุกคนกำลังถกเรื่องเขากับอารียา เขาจึงไม่ใส่ใจ แต่เห็นได้ชัดว่าอารียาไม่อยากโดนวิจารณ์ จึงพูดเสียงเคร่งขรึม“พวกเราได้รับเชิญมาจากประมุขบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์ ไม่ได้ลอบเข้ามา ถ้าไม่เชื่อ ไปถามดูได้”
ชรินทร์ทิพย์อมยิ้ม พูดขึ้น“รพีพงษ์ นายคิดว่านายเป็นใคร เป็นแค่สวะคนนึง พูดมาได้ว่าประมุขตระกูลกุลสวัสดิ์เชิญมา ยังจะมาเถียงอีก”
ทุกคนพยักหน้า รู้สึกว่ารพีพงษ์โกหก
อย่างไรเสียพวกเขาไม่กล้าพูดว่าได้รับเชิญมาจากประมุขบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์ ได้แต่บอกว่าได้รับ เชิญมาจากคนบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์
“ถ้าได้รับเชิญมาจริง ก็เอาบัตรเชิญออกมาสิ เอามาให้ทุกคนดู”มีคนตะโกน
ธายุกรกับชรินทร์ทิพย์สองคนยิ้มเยอะไปทางรพีพงษ์ พวกเขารู้ดีว่ารพีพงษ์ไม่มีบัตรเชิญแน่นอน
ตอนนี้เองกุมุทเดินมาถึงที่สวน วันนั้นหลังจากที่กุนลโรจน์พาเขากลับมา ก็ซ้อมเขาอย่างหนัก ตอนนี้หน้ายังเขียวอยู่เลย
กุนลโรจน์ไม่ยอมบอกฐานะที่แท้จริงของรพีพงษ์ให้กุมุทรู้ ได้แต่เตือนว่าต่อไปอย่าแหย่ รพีพงษ์อีก ครั้งนี้ที่กุนลโรจน์เชิญรพีพงษ์มางานเลี้ยง กุมุทเองก็ไม่รู้
เขาเห็นคนรอบๆตีวงล้อมเขามา จึงเดินเข้าไป มุงดู
พอเห็นรพีพงษ์กับอารียายืนอยู่ กุมุทตกตะลึง เขาเดินไปยืนข้างธายุกร ถามขึ้น“เกิดอะไรขึ้น”
ธายุกรเห็นกุมุทเดินมา ดวงตาจึงเป็นประกาย รพีพงษ์ไม่ได้รับเชิญ กุมุทต้องรู้แน่นอน จึงถามขึ้น“คุณชาย รพีพงษ์บอกว่าได้รับเชิญมางานเลี้ยง แต่ผมสงสัยว่ามันลอบเข้ามา ที่นี่เป็นบ้านคุณชาย คุณชายบอกมาเลยว่าเขาได้รับเชิญหรือไม่”
กุมุทได้ฟังธายุกรพูด จึงหัวเราะขึ้น งานเลี้ยงเชิญใครบ้างแน่นอนว่าเขาย่อมไม่รู้ แต่เขาคิดว่า บิดาเขาไม่น่าจะเชิญสวะแบบนี้มาหรอก
แม้ว่ากุนลโรจน์จะเคยเตือนเขา ไม่ให้เขาแหย่รพีพงษ์ แต่ว่าด้วยอารมณ์คุณชาย เขารู้สึก ลงให้ไม่ได้
กุนลโรจน์ก็ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับฐานะรพีพงษ์ เขาเลยคิดว่าที่กุนลโรจน์ไม่ให้เขาแหย่รพีพงษ์ เพราะไม่อยากให้เขารังแกคนอื่นก็แค่นั้น
ทุกคนต่างมองไปทางกุมุท เพื่อรอคำตอบจากกุมุท
กุมุทพูดเสียงดัง“บ้านเราแต่ไหนแต่ไรไม่เคยเชิญสวะมาร่วมงานเลี้ยง พวกมันต้องลอบเข้ามาเองแน่ๆ”
กลุ่มคนคุยเสียงจ้อกแจ้กจอแจ คิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะกล้าลอบเข้ามาแบบนี้ แถมยังพูดราวกับเป็นสิ่งที่ถูกควรอีกด้วย เมื่อกี้มีหลายคนที่เชื่อว่ารพีพงษ์ได้รับเชิญมางานเลี้ยงจริงๆ
“ในเมื่อลอบเข้ามาจริงๆ ก็สมน้ำหน้า เป็นไงถูกคุณชายจับได้แล้ว หนีไปไหนไม่รอดหรอก”คนจำนวนไม่น้อยต่างแสดงความสมน้ำหน้าขึ้นมา
ธายุกรเห็นกุมุทยอมรับว่าบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์ไม่ได้เชื้อเชิญรพีพงษ์มา จึงรีบพูดกับนภทีป์“ คุณปู่ครับ คุณชายบอกว่าไม่ได้เชิญรพีพงษ์มา ตอนนี้คงไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้วนะครับคุณปู่รีบไล่พวกมันออกไปสิครับ”
สีหน้านภทีป์มองรพีพงษ์กับอารียาด้วยความบึ้งตึง รู้สึกว่าวันนี้พวกเขาได้ทำเรื่องอับอายขายหน้าให้กับบ้านฉัตรมงคลเข้าแล้ว
“พวกแกสองคน ยังมัวตะลึงอะไรกันอยู่ รีบไสหัวออกไปสิ ยังจะมาแก้ตัวอะไรอีก!” นภทีป์เอ่ยปาก
อารียาคิดไม่ถึงว่ากุมุทจะกล้าพูดว่าบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์ไม่ได้เชื้อเชิญพวกเขา จึงไม่รู้ว่าทำ อย่างไรดี
“รอสักครู่”กุมุทเอ่ยปากพูด
“พวกมันเข้ามาในบริเวณสวนของบ้านตระกูลกุลสวัสดิ์ ถือว่าบุกรุกสินะ จะจัดการอย่างไร ฉันควรเป็นคนตัดสินใจสินะ”
กุมุทหัวเราะแล้วมองนภทีป์ แววตามีความหมายลึกซึ้ง
นภทีป์ตกตะลึง ถอนหายใจออกมาอย่างใจหาย เรื่องนี้ต้องให้เจ้าบ้านเป็นคนตัดสิน จริงๆ
เขามองกุมุท เปิดปากพูด “ทำให้คุณชายเห็นเป็นเรื่องน่าขันเสียแล้ว พวกเขาบุกรุกเข้ามาที่นี่ แน่นอนย่อมต้องให้คุณชายเป็นผู้จัดการ ไม่ต้องไว้หน้าคนแก่คนเฒ่าอย่างผมหรอกครับ”
กุมุทเบ้ปาก เขาไม่ไว้หน้านภทีป์อยู่แล้ว เขาไม่เคยเห็นบ้านฉัตรมงคลอยู่ในสายตา ด้วยซ้ำ
“รพีพงษ์ แกกล้าดีนะ กล้าบุกรุกเข้ามาบ้านฉัน วันนั้นถ้าไม่ใช่เพราะแก พ่อฉันก็ไม่อัดฉันหนักขนาดนี้ วันนี้ฉันจะให้แกลิ้มรสความร้ายกาจของกุมุทเสียบ้าง!”
กุมุทโบกมือเรียกยามที่ยืนนวดกำปั้นอยู่แต่ไกล ยามพวกนั้นจึงแห่กันเข้ามา
รพีพงษ์หัวเราะใส่กุมุท พูดขึ้น“เชื่อฉันสิ ถ้าแกกล้าแตะฉันแม้แต่ปลายก้อย แกก็จะถูกพ่อซ้อมอีก”
“ไปตดเถอะแก!พ่อฉันจะมาซ้อมฉันเพราะสวะอย่างแกอีกรอบได้ไง อย่าฝันหวานไปหน่อยเลย!จับมันสองคนไว้!”กุมุทตะโกนลั่น
ในเวลานี้เอง กุนลโรจน์รับแขกเสร็จพอดี เดินเข้ามาในสวน