ม้าตัวหนึ่งวิ่งอุตลุดสร้างความแตกตื่นกลางค่ำคืนใน
ฤดูใบไม้ผลิของเมืองหลวง บ่าวไม่สนใจเสียงก่นด่าของผู้คน ยังคง
สะบัดแส้เร่งให้ม้าวิ่งเร็วสุดแรง
ไปทางไหนดี ไปหาใครมาช่วยดี
บ้านตระกูลเฉิง…
“เร็วหน่อย วิ่งให้เร็วกว่านี้ ไม่อย่างนั้นท่านชายของเจ้าต้องถูก
ทำร้ายจนตายแน่”
เสียงเร่งเร้าของสาวใช้ยังคงดังก้องขึ้นที่ข้างหูตลอดเวลา
บ่าวเบะปากร่ำไห้
ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี
ก่อนออกจากบ้านท่านชายเฉิงสี่เพิ่งจะทำให้ฮูหยินรองโกรธ
ถ้ากลับไปแบบนี้จะหาคนมาช่วยได้จริงหรือไม่ จะไปบ้านตระกูลเฉิงไม่ได้ ต้องไปหาแม่นางใหญ่ ไปหา
แม่นางใหญ่!
แม่นางใหญ่อยู่ที่บ้านตระกูลโจว ซึ่งเขารู้ดีว่าบ้านตระกูลโจว
อยู่ที่ไหน เพราะตอนไปครั้งแรกท่านพี่ปั้นฉินพาเขาเดินวนอยู่หลาย
รอบจนเขาจำ ทางได้แม่น
ตอนนั้นเขายังบ่นอุบอิบว่าท่านพี่ปั้นฉินแกล้งให้เขาเหนื่อย แต่
บัดนี้เขาคิดว่าท่านพี่ปั้นฉินต้องรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเป็นแน่
บ่าวใช้แส้ตีม้าอย่างโหดเหี้ยม มันจึงพุ่งผ่านหน้าร้านขาย
ของกินเล่นในตลาดกลางคืนที่เพิ่งเปิดร้านไปอย่างรวดเร็ว
“นี่เป็นของขวัญจากข้า”
ท่านชายโจวหกสูดหายใจเข้าเต็มปอด พลันผลักกล่องที่วาง
อยู่ตรงหน้าออกไป
“เยอะไหม”
เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ราวกับไม่สนใจสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยถาม
“ไม่เยอะหรอก นี่คือทั้งหมดจากสามปีนี้”เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เขาจึงเงยหน้าขึ้น พลันยื่นมือไปหยิบกล่องใบ
นั้น
กลับคืนมา
“ไม่ได้ ไม่ได้ พูดอย่างกับข้าคิดถึงนางตลอดสามปีที่ผ่านมา”
เขาพึมพำขึ้น “จะพูดละเอียดขนาดนั้นทำไม!”
ท่านชายโจวหกขมวดคิ้วครู่หนึ่ง สูดหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง
แล้วจึงผลักกล่องตรงหน้าออกไปอย่างรุนแรง
“อะ ให้เจ้า” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สนใจใยดี
“ถามอะไรมากมาย บอกว่าให้เจ้าก็รับไป ไม่ได้เยอะอะไรหรอก
”
พูดจบจึงเงียบไปครู่หนึ่ง พลันยื่นมือไปดึงกล่องกลับมา
“ผู้หญิงคนนี้โกรธง่าย พูดแบบนี้ไปนางอาจจะโยนของกลับมา
เลยก็ได้” เขาขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น พูดถึงตรงนี้พลันอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาอีก
“จะโยนกลับมาก็โยนไปสิ พูดอย่างกับต้องมอบของนี้ให้นางให้ได้!
ไม่อยากได้ก็ไม่ต้องเอา!”
“คิดไม่ถึงว่าจะเตรียมของขวัญให้ชายสิบสาม แถมชายสิบ
สามยังให้อะไรกลับมาอีก”ขณะที่เขากำลังพึมพำอยู่คนเดียว เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจาก
ด้านนอก
“ท่านชายหก ท่านชายหก” บ่าวตะโกนขึ้น “แม่นางเฉิงมาถึง
แล้ว…”
นางมาแล้ว! นางมาแล้ว!
คิดไม่ถึงว่านางจะมาหาเขาด้วยตัวเอง!
ท่านชายโจวหกรีบลุกขึ้นยืน พลันนึกอะไรบางอย่างออก
จึงยื่นมือไปหยิบกล่องขึ้นแล้วหาที่ซ่อนอย่างตื่นตระหนก แต่เขาไม่รู้
จะเอาไปซ่อนที่ไหน ขณะที่รีบก้าวเท้าเดิน เขาเกิดสะดุดจนเซ ทำให้
ฝากล่องเปิดออก ของด้านในกล่องหล่นออกมากองบนพื้น
กำไลเงิน กำไลทอง ปิ่นปักผม ตุ๊กตาไม้แกะสลัก ของเหล่านี้
หล่นกระจัดกระจาย
ท่านชายโจวหกรีบนั่งยองๆ ลงเพื่อเก็บของเข้าไปในกล่องอย่าง
ร้อนใจ แต่บัดนี้มีคนยืนอยู่ที่ประตูเรียบร้อยแล้ว
“นี่ไม่ใช่ของที่จะให้เจ้าหรอก!” ท่านชายโจวหกรีบตะโกนขึ้น
พลันเงยหน้าบ่าวซึ่งยืนอยู่ที่ประตูมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ให้อะไรข้าหรือ” เขาเอ่ยถาม
ท่านชายโจวหกชะเง้อมองด้านหลังบ่าว เห็นภาพบริเวณบ้านที่
เงียบสงบในยามกลางคืน สาวใช้สองสามคนหัวเราะพึมพำกันอยู่ที่
ใต้ระเบียง ไม่มีเงาผู้อื่นอีก
“แม่นางเฉิงอยู่ที่ไหน” เขาเอ่ยถาม
“มีคนมาหานายหญิงเฉิง ทั้งร้องไห้ทั้งตะโกนเรียก…” บ่าวรีบ
เอ่ยตอบ
ท่านชายโจวหกส่งเสียงไม่พอใจพลันนั่งลง
“มาก็มาสิ เกี่ยวอะไรกับข้า!” เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
ตกใจหมด!
“ท่านชาย แต่นายหญิงเฉิงตามคนที่มาหาออกไปอย่างรีบร้อน
แถมยังพาคนไปด้วยหลายคน ทุกคนต่างพกอาวุธอยู่ในมือ” บ่าวรีบ
เอ่ยต่อ เขาเพียงได้ยินบ่าวผู้นั้นร้องไห้พลางเอ่ยถึงหอเต๋อเชิ่ง
นางโลม ท่านชายเกา จะฆ่าให้ตาย เกรงว่าจะเกิดเรื่องกับท่านชาย
ให้รีบไป…เมื่อท่านชายโจวหกได้ยินว่าเฉิงเจียวเหนียงตามบ่าวที่มาหา
ออกไปอย่างรีบร้อนแล้ว ก็ถึงกับกระโดดขึ้นมามองไปด้านนอก
ยามบ่าวพูดต่ออย่างล่องลอยจนจบ ก็พบว่าคนตรงหน้าได้เดิน
จากไปแล้ว แต่เมื่อหันหลังก็เห็นเขาวิ่งกลับมา
“นางไปที่ไหน” ท่านชายโจงหกตะโกนถาม
“หอเต๋อเชิ่ง” บ่าวเอ่ยตอบอย่างเด็ดขาด
…
เสียงกรีดร้องดังขึ้น จากนั้นก็เงียบลงในทันใด
ชายเมาสุราบนสะพานสายรุ้งในหอเต๋อเชิ่งส่ายหัว พลันหัน
มองซ้ายขวา เห็นว่าห้องโถงด้านล่างมีคนนั่งเต็มหมดแล้ว บัดนี้
งานเลี้ยงกำลังครึกครื้น ส่วนห้องรับรองด้านซ้ายขวาก็เก็บเสียงได้
อย่างดี ดูเงียบสงบ ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา
“ท่านชาย เป็นอะไรหรือ”
นางโลมที่พยุงตัวเขาอยู่เอ่ยถาม
“ไม่เป็นไร ข้าคงหูแว่วไป” ชายเมาสุราคนนั้นเอ่ยพลางหัวเราะ
และยื่นมือไปโอบเอวนางโลมคนนั้น “จะมีเสียงกรีดร้องในหอเต๋อเชิ่งได้อย่างไร”
เขาเพิ่งพูดจบ ก็เห็นประตูห้องรับรองฝั่งตรงข้ามเปิดออก
พร้อมคนกลุ่มหนึ่งที่กรูกันออกมา
“รีบไป” ชายผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้นอย่างโหดเหี้ยม
ชายด้านหลังสองคนเดินตามอย่างระมัดระวัง ด้านหลัง
พวกเขามีชายกลุ่มหนึ่งหามร่างผู้ชายสามคนอยู่
“นี่ นี่…” ชายเมาสุราขยี้ตา “ทำไมดูเหมือน…”
“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนเมาหรือ” เมื่อเห็นเขามองมา ชายผู้
เป็นหัวหน้าหันมาทำหน้าดุตะโกนใส่
โหดเหี้ยมเสียจริง ชายเมาสุราโอบกอดนางโลมพลันหลบทาง
ให้ แต่ยังคงหันมองกลุ่มชายหนุ่มที่ถูกหามอยู่
สองคนแรกยังดูพอไหว มีกลิ่นปัสสาวะลอยโชยมาจากร่าง
พวกเขา แต่คนสุดท้ายนั้น ทั้งหัวและแขนต่างห้อยลงมาอย่างไร้
เรี่ยวแรง…
ดูไม่เหมือนคนเมาเลย…
ชายเมาสุราพึมพำในใจอย่างอดไม่ได้ทันใดนั้นเอง ด้านล่างก็เกิดความวุ่นวายขึ้น
“ทำอะไร พวกเจ้าเป็นใคร…”
ชายเมาสุราหันไปมองอย่างอดไม่ได้ เห็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งกรู
เข้ามาจากด้านนอก ถือคันธนูอยู่ในมือ
ธนูหรือ
“พวกเขานี่แหละ!” บ่าวเงยหน้าขึ้นมองไปทางใต้ระเบียง พลัน
ชี้นิ้วตะโกนเสียงสูง “ท่านชายสี่!”
เสียงร้องราวกับจะขาดใจลอยตรงเข้าหูของชายเมาสุราภายใต้
ความโกลาหลในหอเต๋อเชิ่ง
ทำอะไรกัน
ชายเมาสุราถลนตาหันไปมอง เห็นเหล่าคนที่กรูเข้ามายกธนูใน
มือขึ้นเล็งมาทางเขา ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ ลูกธนูก็ลอยกรูเข้ามา
ราวกับดาวตก
ให้ตายเถอะ!
ชายเมาสุราใช้มือโอบหัวพลันฟุบตัวลงกรีดร้อง เขารู้สึก
ร้อนผ่าวที่สะโพก กลิ่นปัสสาวะที่ปลายจมูกสลายหายไป เขาสร่างเมาในทันใด แต่รู้สึกวิงเวียนขึ้นทันที
เสียงตุ้บดังขึ้น ประตูเปิดออก เสียงยั่วยวนจากภายในห้อง
รับรองพรั่งพรูออกมา
“ท่านชายสิบสี่! เกิดเรื่องแล้ว!”
เสียงนี้ทำให้ท่านชายเกาซึ่งกำลังถูกโสเภณีคนหนึ่งป้อนเหล้า
ใส่ปากหันกลับมามอง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เขาเอ่ยถามอย่างไม่สนใจใยดี
ยังไม่ทันพูดจบ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นด้านนอก
“พวกเจ้าทำอะไร หยุดเดี๋ยวนี้…”
เสียงตะโกนตามมาด้วยเสียงทุบตีและเสียงโอดครวญ
เกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ !
ผู้คนภายในห้องพากันได้สติ ท่านชายเกาเองก็ผลักนางโลม
ออก หันมานั่งตัวตรง ยังไม่ทันได้ถามอะไร คนด้านนอกก็เดินเข้ามา
แล้ว
“พวกเจ้าเป็นใคร ต้องการจะทำอะไร”แม่นางม่อตะโกนถามเสียงสูงขณะหันมองเหล่าชายหนุ่มที่ยืน
ถือคันธนูอยู่ในห้องโถง
“พวกเจ้าไม่ใช่ทหาร ลักลอบครอบครองธนู แล้วยังกล้าทำร้าย
คนในหอเต๋อเชิ่งอีก ข้าจะเอาเรื่องพวกเจ้า!”
ไม่มีใครสนใจนาง
“นายหญิงมาแล้ว”
ท่ามกลางเสียงตะโกน เหล่าชายหนุ่มรีบพากันเปิดทางให้
ผู้คนที่ล้อมวงมาดูทั้งด้านล่างด้านบนรู้สึกเหมือนมีแสงวาบขึ้น หญิง
สาวคนหนึ่งพลันปรากฏตัวให้เห็น
ภายในหอเต๋อเชิ่งอันสว่างไสว ท่ามกลางสาวงามน้อยใหญ่ที่
แต่งองค์ทรงเครื่องกันอย่างดงาม หญิงสาวร่างผอมบางในชุดคลุม
สีเขียวเข้มกับกระโปรงยาวลายดอกไม้กลายเป็นจุดสนใจของทุกคน
หอเต๋อเชิ่งมิได้กีดกันลูกค้าผู้หญิง เพียงแต่ปกติลูกค้าผู้หญิง
จะมาในช่วงกลางวันหรือช่วงเทศกาลชมไฟเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้ว
ที่นี่เป็นแหลงความบันเทิงของผู้ชายเท่านั้น โดยเฉพาะเวลากลางคืน
เยี่ยงนี้เพิ่งจะเคยเห็นหญิงสาวที่เรียบร้อยเพียงนี้มาที่นี่เป็นครั้งแรก
แถมยังพาเหล่าองครักษ์ที่มีอาวุธเต็มมือมาอีก ด้านหนึ่งดูอ่อนโยน
อีกด้านดูแข็งแกร่ง อยู่คู่กันแล้วดูขัดกันอย่างชัดเจน ให้ความรู้สึก
งดงามอันแปลกประหลาด
ผู้คนทั้งชั้นบนชั้นล่างมองดูนางอย่างเคลิบเคลิ้ม ทำให้
บรรยากาศเงียบขึ้นกว่าเดิม
“นายหญิง”
ชายหนุ่มสองคนหามท่านชายเฉิงสี่เข้ามา
“ท่านชายสี่!” บ่าวร้องไห้คลานเข้าไป เห็นชายหนุ่มหลับตา
ไม่ขยับตัว พลันปล่อยโฮออกมา
“มีบาดแผลบนตัวเท่านั้น ไม่มีบนใบหน้า เป็นเพียงแผลถลอก
ด้านเท่านั้น” องครักษ์เอ่ย เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดชะงัก สายตาหยุด
อยู่ที่มือของท่านชายเฉิงสี่ “เพียงแต่ข้อมือความถูกทุบตีจนหัก”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ปั้นฉิน” นางเอ่ยสาวใช้ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังขานรับ พลันก้าวขึ้นมาเงี่ยหูฟังเฉิง
เจียวเหนียงเอ่ยบางอย่าง จากนั้นจึงหันหลังวิ่งออกไป
นายหญิง
แม่นางม่อซึ่งถูกมองข้ามมาโดยตลอดราวกับนึกบางอย่างขึ้น
ได้
“แล้วเจ้ารู้ไหมว่าน้องสาวของท่านชายข้าเป็นใคร”
เสียงบ่าวดังก้องขึ้นในหูอีกครั้ง
หรือว่าตอนนั้นบ่าวต้องการอวดจริงๆ ไม่ใช่คนบ้าหรือพูดผิด
งั้นหรือ
หรือว่าผู้หญิงคนนี้คือ…
แม่นางม่อจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า แต่หญิงสาวผู้นั้นไม่ได้
หันมองนาง เพียงแต่ยืนตัวตรงอย่างสง่าผ่าเผย ทำให้ผู้คนรู้สึก
เกรงขาม
“เขาอยู่ที่ใด” นางเอ่ยถาม
ได้เวลาถามแล้ว! ได้เวลาทำร้ายข้าแล้ว!เป็นแบบนี้เสมอ เมื่อเกิดเรื่อง คนที่ซวยเป็นคนแรกก็คือพวก
นาง
พวกนางเป็นเหยื่อเสมอ ไม่ว่าจะเวลาไหน ไม่ว่าเหตุจะเกิด
เพราะพวกนางหรือไม่ พวกนางก็จะถูกลากไปทุบตีด่าทอเป็นกลุ่ม
แรก เป็นไก่ที่ถูกเชือดให้ลิงดู
แม่นางม่อตะโกนขึ้นในใจ พลันก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าจะทำอะไร…” นางตะโกนเสียงสูง
ยังไม่ทันพูดจบ หญิงสาวผู้นั้นก็เดินผ่านนางไปแล้ว
แม่นางม่อตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
เดินผ่านไปแล้วหรือ
นางหันมองตาม เห็นหญิงสาวผู้นั้นสาวเท้าก้าวเข้าไป
ท่ามกลางกลุ่มองครักษ์ เสื้อคลุมลอยพลิ้ว ขอบเสื้อสีทองโผล่ให้เห็น
เป็นครั้งคราวใต้แสงไฟ
ขุนนางเฉิง…
เฉิงหรือ
นายหญิงตระกูลเฉิงหรือเฉิง…!
นายหญิงเฉิง!
คงไม่ใช่นายหญิงเฉิงคนนั้นหรอกกระมัง!
แม่นางม่อดวงตาเบิกกว้าง
เจียงโจวคนโง่!
“แบบนี้ ก็แปลว่าเป็นตระกูลคนบ้าจริงๆ …” แม่นางม่อพึมพำ
ขึ้น
“พวกเจ้าเป็นใคร”
ท่านชายเกาเอ่ยถามเสียงเนิบ
หันมองกลุ่มชายหนุ่มที่ยืนถือคันธนูอยู่ในห้องโถงเล็งมาทาง
เขา
หลังจากหวาดผวาอยู่ครู่หนึ่ง ผู้คนภายในห้องก็สงบลง เพราะ
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มเหล่านี้เป็นเพียงบ่าว ต่อให้ดูโหดเหี้ยมแข็งแรง
แค่ไหน ก็ไม่สามารถทำให้พวกเขากลัวได้
และที่นี่คือเมืองหลวง อยู่แทบเท้าฮ่องเต้ ดังนั้นจึงไม่มีทาง
สร้างความวุ่นวายถึงขั้นฆ่าคนตามใจชอบได้คำถามของท่านชายเกาถูกตอบด้วยการโยนคนสองสามคน
เข้ามาในห้อง
เมื่อเห็นคนเหล่านี้ ท่านชายเกาหรี่ตามอง พลันเข้าใจในทันที
คนเหล่านี้คือองครักษ์ที่เขาสั่งให้ไปจัดการสั่งสอนท่านชายเฉิง
เมื่อครู่ แต่บัดนี้ดูท่าจะพ่ายแพ้กลับมา
แต่ร่างกายพวกเขากลับไม่มีร่องรอยบาดแผล หลังจากถูกโยน
เข้ามาในห้อง พวกเขาเพียงโอบข้อศอกตัวเองลุกขึ้นยืนอย่าง
ยากลำบาก ดูลักษณะแล้วคงถูกของหนักทุบใส่
นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาช่วยท่านชายเฉิงเร็วเพียงนี้ แถมยังมากัน
ไม่น้อยเสียด้วย
แต่เขาไม่ได้หวาดกลัว ในเมืองหลวงนี้ไม่เคยมีเรื่องไหนที่ทำให้
เขากลัวเลย
คนพวกนี้ก็คงรู้ดี มิเช่นนั้นลูกธนูบนคันธนูที่พวกเขาถืออยู่คง
ไม่ถูกหักปลายหัวแบบนี้
หากกล้าทำร้ายเขาหรือคนของเขาจริงๆ เมื่อปล่อยลูกธนู
ออกมาก็คงไม่มีหนทางย้อนกลับแล้วท่านชายเกาเผยยิ้มเหยียดหยามที่มุมปาก
“พวกเจ้าเป็นคนของท่านชายเฉิงอะไรนั่นใช่ไหม” เขาเอ่ยถาม
“พวกเจ้าจะทำอะไร”
“ข้าต้องการถาม ว่าพวกเจ้าทำอะไรกันอยู่”
เสียงดังขึ้นจากด้านนอก
ท่านชายเกาหลุดหัวเราะออกมา แต่รอยยิ้มของเขาก็หุบลงใน
ทันใด
เสียงผู้หญิงหรือ
คนที่มาช่วยเป็นผู้หญิงหรือ
ความคิดบางอย่างแวบขึ้นในหัวขณะที่ใครคนหนึ่งเดินเข้า
ประตูมา
เป็นผู้หญิงจริงๆ
เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้ ท่านชายเกาก็ถึงกับใจลอย
หญิงสาวอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปียืนกุมมืออย่างสง่างาม
ภายใต้แสงไฟ เสื้อคลุมสีเขียวเข้มตัวใหญ่ กระโปรงยาวลายดอกไม้
ที่ดูธรรมดา ผมมัดมวยปักด้วยปิ่นปักผมที่ทำจากไม้ ใบหน้าเหมือนทาแป้ง แต่ก็ดูเหมือนไม่มี ใบหน้าขาวนวล ริมฝีปากสีแดงอ่อน ติ่งหู
ขาวนวล ทั้งร่างไม่มีเครื่องประดับอื่นอีก นางยืนอย่างสงบอยู่ตรงนั้น
สีหน้าไร้อารมณ์ ราวกับเป็นคนในรูปวาด
ภายในห้องเงียบสงัด เห็นได้ชัดว่าพากันมองหญิงสาวจน
ใจลอย
นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นสาวงามเช่นนี้ในหอเต๋อเชิ่ง…
“เจ้าคือท่านชายเกาใช่ไหม” หญิงสาวเอ่ยถาม
ประโยคนี้ทำให้บรรยากาศกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ผู้คนพากัน
ได้สติกลับมา
ไม่ใช่ภาพวาด เป็นคนจริงๆ
“ใช่แล้ว เจ้า…” ท่านชายเกาสีหน้าอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย
ถึงอย่างไรเขาก็ยังอ่อนโยนกับหญิงสาว โดยเฉพาะสาวงาม
“เจ้าเป็นคนสั่งให้คนทำร้ายท่านพี่ข้าใช่ไหม” เฉิงเจียวเหนียง
เอ่ยถาม
ขณะที่เอ่ยประโยคนี้ ท่านชายเฉิงสี่ก็ถูกคนหามเข้ามาเมื่อเห็นท่านชายเฉิงสี่ถูกหามเข้ามา แม่นางจูซึ่งคุกเข่า
เหม่อลอยอยู่ข้างๆ ท่านชายเกาก็ได้สติขึ้นมาทันที
“ท่านชายเฉิง” นางตะโกนขึ้น พลันพุ่งตัวเข้าไปอย่าง
โซซัดโซเซ
แต่ยังเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ถูกท่านชายเกายื่นมือมาจับตัวไว้
เสียงกรีดร้องดังขึ้นเมื่อร่างของนางถูกดึงกลับมาอย่างรุนแรง
แต่สีหน้าท่านชายเกากลับไม่เปลี่ยนแปลง
ท่านพี่หรือ
ที่แท้ก็เป็นน้องสาว
ท่านชายเกาหัวเราะขึ้น พลันคุกเข่าเปลี่ยนท่านั่งให้สบาย
มีที่ไหนกัน ผู้ชายถูกคนรังแกแต่กลับให้น้องสาวมาออกหน้า
ตระกูลท่านชายเฉิงอะไรนี่ช่างน่าสนใจเสียจริง
“ข้าเป็นคนสั่งให้ทำเอง แม่นางต้องการอะไรหรือ” เขาเอ่ย
ถามพลางหัวเราะ
“ข้าขอถามให้ชัดก่อน ถึงจะรู้ว่าต้องการอะไร” เฉิงเจียวเหนียง
เอ่ยท่านชายเกาหัวเราะร่า
แม่นางผู้นี้ช่างน่าสนใจเสียจริง สีหน้าไม่กระวนกระวายและไม่
ฟูมฟาย ท่าทางจะต้องการมาถามจริงๆ
น่าสนใจ
“ได้สิ เจ้าถามมาได้เลย” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ
MANGA DISCUSSION