“นับว่าสำ เร็จไปหนึ่งเรื่องแล้ว”
พร้อมกับเรื่องของเหล่าจิ้นซื่อหน้าใหม่ได้เสร็จสิ้นลง เฉินเซ่าก็
ทอดถอนใจออกมา แต่ก็ทำได้แค่ถอนใจเท่านั้น
“เรื่องในราชสำ นักยังรบกวนจิตใจอยู่หรือเจ้าคะ” ฮูหยินเฉิน
ถือชาเข้ามา แล้วเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
เกาหลิงปอถูกไล่ออกไปแล้ว แต่เดิมทีเพราะเกาหลิงปอเรื่อง
การเมืองบางเรื่องที่พัวพันไม่เพียงแต่จะลดลง ตรงกันข้ามยังเพิ่ม
มากขึ้นอีก
เรื่องเหล่านี้คนรับใช้พวกนั้นของเกาหลิงปอจงใจกระทำ และ
เป็นสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงด้วย นี่เป็นสิ่งที่เฉินเซ่าได้ประมาณการไว้นาน
แล้ว
เรื่องบรรเทาภัยยังไม่ได้รับข่าวดีใดๆ ส่งมา อารมณ์ของฮ่องเต้
แปรปรวนหนักขึ้นเรื่อยๆ ขัดแย้งกันเรื่องและการเมืองกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน โทสะที่ไร้ที่มาที่ไปก็มากขึ้นเรื่อ อยๆ ด้วย
“ยามนี้ในราชสำ นักท่านก็แข็งแกร่งนัก โทสะของฮ่องเต้ย่อมไป
รวมอยู่กับท่านอยู่แล้ว” ฮูหยินเฉินทอดถอนใจพลางเอ่ย
“แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ไม่อาจให้สกุลเกาเข้าราชสำ นักมาได้อยู่ดี”
เฉินเซ่าเอ่ยขึ้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “นี่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น จัดการ
ตัวการใหญ่ไป พวกลูกสมุนที่เหลือก็ค่อยๆ ปรับแต่ง จะต้องจัดให้
เข้าหลักแหล่งได้อย่างมีเหตุผลแน่นอน”
พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มบาง
“ก็ดูอย่างตะวันออกเฉียงเหนือสิ ยามนี้ไม่ใช่ว่าเข้าที่เข้าทาง
แล้วหรือ”
“นายท่านลำบากแล้ว” ฮูหยินเฉินแย้มยิ้มด้วยความสงสาร
พลางเอ่ย
พูดถึงตะวันออกเฉียงเหนือ ก็นึกไปถึงหญิงนางนั้น แม้
จะดูเหมือนว่าไม่เกี่ยวอะไรกับนาง แต่ด้านทางการทหาร
ตะวันออกเฉียงเหนือกลับเกี่ยวข้องเต็มๆ ทำให้เจียงเหวินหยวนต้อง
จัดการเรื่องบุคลากรใหม่ ซ้ำ ยังประดิษฐ์ธนูเสินปี้และหินระเบิดออกมาอีก ทำให้กองทัพตะวันออกเฉียงเหนือได้รับชัยชนะมา านับครั้ง
ไม่ถ้วน ทำบุคลากรให้มั่นคง
ดังนั้นแล้ว เรื่องตะวันออกเฉียงเหนือนางมีคุณูปการ
ใหญ่หลวงมาก
“แม่นางสิบแปดจะแต่งงานวันที่ยี่สิบหก ข้าได้ส่งเทียบเชิญไป
ให้แม่นางเฉิงแล้ว” ฮูหยินเฉินเอ่ย
จริงด้วย ยังมีเรื่องการแต่งงานของลูกสาวอีก นี่ก็ต้องกังวล
หัวหมุนด้วยเช่นกัน
“แม่นางสิบแปดบอกว่าพอแต่งงานแล้ว จะไม่กลับหลูโจวกับ
พ่อตาแม่ยายชั่วคราวหรือ” เฉินเซ่านึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยขึ้น
ฮูหยินเฉินพยักหน้า
“ยังต้องสอนหนังสือผิงอ๋องต่ออยู่” นางอมยิ้มบอก มีลูกสาวที่
ควรค่าแก่การชื่นชมคนหนึ่งเป็นความภาคภูมิใจของมารดาทุกคน
“ยามนี้กุ้ยเฟยที่ดูแลอาหารการกินบอกว่าบรรดาองค์หญิงภายในวัง
ก็ควรจะได้รับความรู้แล้ว ดังนั้นจึงให้นางสอนไปด้วยกันเลย”
เฉินเซ่าส่ายหน้า“เป็นสาวเป็นนางในเมื่อออกเรือนแล้วก็ควรอยู่บ้านดูแลสามี
สั่งสอนบุตร เคารพพ่อแม่สามี อยู่ที่เมืองหลวงต่อเช่นนี้จะดีหรือ”
เขาเอ่ย
“ไม่ได้จะไม่กลับไปเสียหน่อย ก็แค่อยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก
เท่านั้นเอง พอมีลูกแล้ว นางย่อมต้องกลับอยู่แล้ว” ฮูหยินเฉินเอ่ย
“อีกอย่าง ข้ายังหักใจให้นางไปไกลถึงเพียงนั้นในทันทีไม่ได้เลย พอ
ไปแล้วก็จะไม่ได้เจออีกหลายปีเลย”
เฉินเซ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
“เป็นอะไรไปรึ” ฮูหยินเฉินเอ่ยถาม
มักจะรู้สึกว่าแม่นางสิบแปดยามนี้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม…
“นางจะแต่งงานอยู่แล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยเหมือนเมื่อก่อน
อีกต่อไปแล้ว ยังจะเหมือนเดิมอะไรได้อีก” ฮูหยินเฉินยิ้มเอ่ย
เฉินเซ่าหัวเราะ
“ในกวีทั้งสามร้อยบทในคัมภีร์กวี ประโยคเดียวสามารถนิยาม
ได้ ก็คือความคิดบริสุทธิ์ไม่คิดร้าย” เขาเอ่ยอย่างช้าๆ “สิ่งที่ยาก
ที่สุดในโลกใบนี้ก็คือมีความคิดบริสุทธิ์ไม่คิดร้ายนี่แหละ”วันที่ยี่สิบหกเดือนสามแค่พริบตาก็มาถึง เรือนตระกูลฉิน
ประดับผ้าไหมและดอกไม้แดงจัดงานมงคลขึ้น
นอกเรือนคึกคักครื้นเครง ภายในเรือนกลับเงียบสงบสมเป็น
งานมงคล
“แม่นางสิบแปด ไหนดูหน้าที่แต่งสิ”
เหล่าฮูหยินประคองแม่นางเฉินสิบแปดพานางหันไปยังกระจก
สำ ริด
ในกระจก หญิงที่แต่งตัวประดับประดาอย่างประณีตดวงหน้า
งดงามดั่งบุปผา
แม่นางเฉินสิบแปดแย้มยิ้มบาง
“…แม่นางเฉิงศิษย์เทวดาคนนั้นมาแล้ว…”
“…รีบไปดูเร็ว…”
เสียงกระซิบพูดคุยกันจากด้านนอกดังเข้ามา แม่นางเฉินสิบ
แปดหันไป
นางมาแล้วหรือ“…แม่นางเฉิงผู้นี้อายุน้อยกว่าแม่นางสิบแปดปีหนึ่งกระมัง ก็
ควรจะออกเรือนได้แล้วนะ”
“ไม่รู้ว่าจะได้คนแบบใดมา”
“มีไทเฮาอยู่ตรงนั้นด้วย ก็ยากจะพูด…”
เสียงซุบซิบดังขึ้นไม่หยุด แม่นางเฉินสิบแปดรู้สึกรำคาญยิ่ง
หญิงพวกนี้ ในสายตาในจิตใจมีแต่งเรื่องแต่งงาน ไม่รู้ว่าใน
สายตาหญิงนางนั้นจะสำ คัญอะไรหรือไม่
สถานการณ์ของราชสำ นัก นางพูดขับไล่ขุนนาง ได้คุณูปการ
มานับไม่ถ้วน ทำให้ไทเฮายอมสยบ ฮ่องเต้ชื่นชม องค์ชายราชนิกุล
ต่างแย่งกันผูกสัมพันธ์
ในสายตานางมีดินฟ้าอันยิ่งใหญ่
แม่นางเฉินสิบแปดลุกขึ้นยืน มีเหล่าฮูหยินที่หัวเราะพูดคุย
ร้องเพลงอวยพรสวมชุดแต่งงานให้ นางมองลอดหน้าต่างไป
ด้านนอก
ปลายเดือนสามแสงแห่งวสันตฤดูเจิดจ้า ร่มเงาไม้ภายใน
ลานบ้านโบกไหว ดอกไม้เบ่งบาน ฮูหยิน เหล่าเด็กๆ และหญิงที่บ้างนั่งบ้างยืนมีอยู่เต็มอาณาบริเวณ
ท่ามกลางผู้คนมากมาย นางมองเห็นหญิงนางนั้นในทันที แม้
จะยืนอยู่ใต้ต้นไม้ด้านหลังฮูหยินสองคนและเด็กสาวจำ นวนหนึ่ง
เสื้อผ้าที่สวมใส่นับได้ว่าสวยสดใส แต่ยังคงเป็นคนที่ดึงดูดสายผู้คน
ที่สุดท่ามกลางฝูงชนอยู่เช่นเคย
สิ่งที่นางทำได้ ข้าก็ทำได้
นางสามารถถูกจิ้นอันจวิ้นอ๋องเชิญไปดูแลชิ่งอ๋อง ตนก็
สามารถถูกกุ้ยเฟยเชิญไปสอนหนังสือบรรดาองค์หญิงได้ แม้ว่า
จะเทียบนางไม่ได้ แต่ก็สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำได้ ขอแค่
มานะบากบั่น ขอเพียงตั้งใจ ก็จะสามารถประสบความสำ เร็จได้
เช่นกัน
เสียงจอแจด้านนอกดังขึ้น
“ฮ่องเต้ประทานของกำนัลมาแล้ว!”
ทุกคนในห้องที่ได้ยินข่าวนี้ต่างยินดีปรีดา มีคนไม่มากที่ได้รับ
พระราชทานของกำนัลในงานแต่งงาน“แม่นางสิบแปด ยินดีด้วยจริงๆ” เหล่าฮูหยินพากันคำนับ
อวยพร
แม่นางเฉินสิบแปดแย้มยิ้มบาง
นั่นเพราะบิดานางคือเฉินเซ่า
นางก้มหน้าลง ปล่อยให้เหล่าฮูหยินสวมมงกุฎหนักให้ ผ้าคลุม
ศีรษะสีแดงผืนใหญ่บดบังสายตาเอาไว้ ทำให้ความคึกคักถ้วนทั่วดู
ไกลออกไปคล้ายใกล้เข้ามา
ฟากฟ้ามืดลง เจ้าบ่าวที่มารับตัวเจ้าสาวเข้าบ้านมา รับเจ้าสาว
ขึ้นรถ
ทางด้านผู้คนที่มาส่งตัวก็เตรียมตัวจะกลับแล้วเช่นกัน
ฮูหยินรองเฉิงทักทายหัวเราะพูดคุยสานสัมพันธ์กับบรรดา
ฮูหยิน หลักๆ คือแนะนำหญิงด้านหลังทั้งสามให้แก่ทุกคน นาง
หันหน้าไปอีกครั้งไม่เห็นเฉิงเจียวเหนียง
“แม่นางสี่ ดูน้องๆ เจ้าเอาไว้นะ” นางรีบสั่งแม่นางเฉิงสี่พลาง
มองซ้ายมองขวา ในที่สุดก็เห็นเฉิงเจียวเหนียงที่ยืนอยู่ด้านล่าง
ระเบียงกำลังจะเดินออกไป“เจียวเจียว” นางเอ่ยเรียกเดินเข้าไปหา ยื่นมือไปดึงไว้
“ฮูหยินรอง” ปั้นฉินรีบเดินเข้ามาปัดมือนางออกทันที
“เจ้าจะไปไหน” ฮูหยินรองรีบถามขึ้น
เฉินตันเหนียงที่เป็นญาติเจ้าสาวกำลังจะไปร่วมส่งตัว เฉิงเจียว
เหนียงก็กำลังจะกล่าวลาเช่นกัน
“กลับบ้านเถิด” ฮูหยินรองเฉิงยื่นมือไปอีกรอบ อมยิ้มเอ่ยว่า
“พักอยู่บ้านท่านลุงเจ้านานเพียงนี้ ควรกลับบ้านได้แล้ว”
“ฮูหยิน” ปั้นฉินร้อนรนไปดึงแขนนางไว้อีกครั้ง
พวกนางเดิมทีก็เป็นจุดสนใจของผู้คนอยู่แล้ว ยามนี้ฉุดรั้ง
ไปมาสายตารอบด้านมากมายมองมาทั้งที่ลับที่แจ้ง
เฉิงเจียวเหนียงจึงได้เอ่ยขึ้น ในมุมหนึ่งมีคนลุกคนมาสะบัดมือ
ฮูหยินรองเฉิงทิ้ง
“ควรจะกลับได้แล้ว จะมามัวโอ้เอ้อยู่ไย”
ท่านชายโจวหกตะหวาดใส่อย่างไม่สบอารมณ์ พลางถลึงตา
มองฮูหยินรองเฉิงคราหนึ่ง
“อยู่ให้ห่างข้าหน่อย”เด็กคนนี้เหตุใดจึงวิ่งมายังเรือนหลังของบรรดาญาติผู้หญิงได้
ฮูหยินรองเฉิงก้าวถอยหลังไปอย่างอดไม่ได้ เด็กบ้าบิ่นคนนี้
เคยด่านางว่าเป็นแม่เลี้ยงไร้ตัวตน หากยามนี้ก่อเรื่องโวยวายอย่าง
น่าไม่อายขึ้นมา แม้ว่าเขาจะได้รับการลงโทษ แต่นางเองก็ได้ขาย
ขี้หน้าย่อยยับแน่
ท่านชายโจวหกสาวเท้ายาวๆ จากไป เฉิงเจียวเหนียงคำนับให้
ฮูหยินรองเฉิง
“ผู้นั้นคือใครกัน เหตุใดจึงโหดเหี้ยมกับผู้หลักผู้ใหญ่เช่นนี้”
“ผู้หลักผู้ใหญ่รึ เจ้าอย่ามาล้อเล่นเลย นั่นคือท่านชายหก
ตระกูลโจว ฮูหยินรองเฉิงคนนี้นับว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่อะไรของเขา
ได้กัน”
“ต่อให้เป็นแม่เลี้ยง เหตุใดแม่นางเฉิงเห็นอยู่ตำตาแล้ว
ไม่ปกป้องเสียหน่อยเล่า ทำเช่นนี้ก็เสียมารยาทเหมือนกันนะ”
“เสียมารยาทอะไรกัน นั่นคือตระกูลโจว ปีนั้นสกุลโจว
ทะเลาะเบาะแว้งกับตระกูลเฉิงให้เป็นหนี้ไม่รู้กี่คราแล้วเพราะเรื่องแม่นางเฉิงกับแม่ของนาง เมื่อสองตระกูลคู่อาฆาตมาเ เจอกัน
ความบาดหมางก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น”
“คนหนึ่งเป็นลุง อีกคนเป็นพ่อแท้ๆ คนเป็นลูกจะทำอย่างไรได้”
จ้อกแจ้กจอแจแต่ละคนวิจารณ์กันออกมา ไม่ได้ตำหนิโทษ
นายหญิง ปั้นฉินจึงถอนใจเงียบๆ มองสีหน้าของ
ฮูหยินรองเฉิงที่ทั้งกระอักกระอ่วนและเดือดดาลทว่าก็จนใจ
ต้องหลบให้ แล้วหันไปมองท่านชายโจวหกที่เดินอาดๆ ไปด้านหน้า
“มีเพียงตระกูลโจวที่จะจัดการแทนนายหญิงได้ มีเพียงตระกูล
โจวที่จะแบกรับชื่อเสียงไม่ดีแทนนายหญิงได้ พวกเขาทำอะไรล้วน
ไม่เป็นไร แต่นายหญิงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้…”
คำพูดของสาวใช้ดังขึ้นข้างหู ปั้นฉินมองท่านชายโจวหกเบื้อง
หน้าที่ดูราวกับทนไม่ไหวหันกลับมาเร่ง ภายใต้แสงตะวันยามอัสดง
นี่เป็นครั้งแรกที่นางมองเด็กหนุ่มคนนี้เต็มตาหลังจากหลายปีได้ผ่าน
ไป คล้ายว่าได้ย้อนกลับไปวันนั้นที่เคยเกิดขึ้นอีกครั้ง
เด็กหนุ่มกดตามองต่ำด้วยอำนาจที่บีบบังคับและหยิ่งยโส ยืน
นิ่งอยู่ในเรือนตระกูลเฉิง‘หากไม่อาจทวงความเป็นธรรมให้น้องสาวได้ ก็ไม่ใช่ชาย
อกสามศอกแล้ว!’
เฉิงเจียวเหนียงที่เดินไปสองสามก้าวแล้วหันกลับมามอง ปั้น
ฉินหลุดจากภวังค์รีบสาวเท้าตามไป
“ท่านชายโจวหก”
เพิ่งจะเดินออกจากประตูไปก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียก
ท่านชายโจวหกเงยหน้ามองไป เห็นท่านชายฉินสิบสามในอาภรณ์
สีสดสว่างมองมาจากหลังม้า
“เจ้าเด็กนี่ เหตุใดจึงแต่งตัวเสียเหมือนเจ้าบ่าวเช่นนี้” ท่านชาย
โจวหกยิ้มเอ่ยพลางเดินเข้าไปหา
“ข้าเป็นเพื่อนร่วมงานกับเจ้าบ่าว ดังนั้นจึงได้รับเชิญมารับตัว
เจ้าสาวด้วย” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเอ่ย พลิกตัวลงจากหลังม้า ยิ้ม
ให้เฉิงเจียวเหนียง
เฉิงเจียวเหนียงคำนับให้
“พรุ่งนี้เจ้ามีธุระหรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยถาม “ดอกอิง
ฮวาที่วัดห้าลี้นอกเมืองบานแล้ว เราไปชมดอกไม้กันดีหรือไม่”เฉิงเจียวเหนียงยังไม่ทันตอบ ท่านชายโจวหกก็มายืนบัง
สายตาเขาไว้แล้ว
“ข้ามีธุระ” เขาถลึงตาบอก
“เจ้ามีธุระก็ไปจัดการเสีย ข้าไม่ได้ถามเจ้าเสียหน่อย”
ท่านชายฉินสิบสามยิ้มเอ่ย เอียงคอมองข้ามไหล่ท่านชายโจวหกไป
ยังเฉิงเจียวเหนียง “เจ้าไม่มีนัดหรอกกระมัง”
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มพลางส่ายหน้า
“ไม่มีเจ้าค่ะ” นางบอก
“เช่นนั้นไปด้วยกันได้หรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามยิ้มถาม
“ได้เจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
ท่านชายโจวหกยื่นมือไปผลักศีรษะท่านชายฉินสิบสาม
“เจ้ามาทำอะไรกันแน่” เขาถาม
“รับตัวเจ้าสาวนะสิ เจ้าไม่เห็นหรือไร” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ย
ท่านชายโจวหกแค่นเสียงเฮอะ เงยหน้าขึ้น
“ข้ายังมองไม่เห็นจริงๆ นั่นแหละ เพราะคนที่รับตัวเจ้าสาวเขา
จะไปกันหมดแล้ว เจ้ายังยืนว่างๆ อยู่ตรงนี้อยู่เลย” เขาเอ่ยเสียงกลองดังขึ้นพร้อมกับประทัด รถม้าเคลื่อนตัว ผู้คนบน
ถนนห้อมล้อมด้วยความเปรมปรี
ท่านชายฉินสิบสามขี่ม้าตามอย่างรวดเร็ว พลางหันกลับไปยิ้ม
ให้พวกเขา แล้วขี่ไกลออกไป
“ไปได้แล้ว” ท่านชายโจวหกหันกลับมาบอก กลับเห็นเฉิงเจียว
เหนียงมองขบวนรับตัวเจ้าสาวที่ไกลออกไปอย่างเหม่อลอย
สีหน้าท่าทางไม่แข็งทื่อเหมือนเมื่อก่อนแล้ว นางดูคล้าย
ไม่สบายใจ
ปีนี้นางสิบแปดปีแล้ว อายุน้อยกว่าแม่นางเฉิงสิบแปดปีเดียว
แม้ยามนี้ประเพณีจะเปิดกว้าง แต่แต่งงานตอนสิบเก้าก็นับว่าช้าไป
มากแล้ว
ส่วนนางยามนี้ยังไม่มีใครมาทาบทามเลย ภายหน้านานไปกว่า
นี้ก็คงจะไม่มีใครมาทาบทามแล้วกระมัง
“มีอะไรน่าดูกัน” ท่านชายโจวหกเอ่ยเสียงขุ่น
“ชุดแต่งงานงามนัก” เฉิงเจียวเหนียงตอบชุดแต่งงานเมื่อสามร้อยปีก่อนก็สวยมากเช่นกัน หรืออีกนัยคือ
ไม่ว่าจะเป็นชุดแต่งงานช่วงเวลาไหนก็ล้วนสวยงาม
เฉิงเจียวเหนียงมองขบวนรับตัวเจ้าสาวไกลออกไป ก็แย้มยิ้ม
น้อยๆ หลุบตาลง
ชุดแต่งงาน…
ท่านชายโจวหกเดินกลับมาอย่างอดไม่ไหว
“ไม่สวยเลยสักนิด” เขาพูดขึ้นสียงดัง ยื่นมือไปดึงแขนเสื้อนาง
“ไปได้แล้ว”
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้ามองเขาแล้วแยิ้มยิ้ม เดินตามไปโดย
ไม่ได้พูดอะไร
“ช่างน่าโมโหนัก!”
พอเข้าประตูลงจากม้ามา ฮูหยินรองเฉิงก็อดไม่อยู่เอ่ยขึ้นอย่าง
แค้นเคือง
“ฮูหยิน ท่านระงับอารมณ์หน่อยเจ้าค่ะ ตระกูลโจวก็เป็นแบบนี้
อย่าไปสนใจพวกเขาเลย…” แม่นมรีบตามไปปลอบ“ตระกูลโจวก็เป็นแบบนี้รึ หากนางไม่ได้ให้ท้าย ตระกูลโจว
จะกล้าทำเช่นนั้นหรือไร” ฮูหยินรองเฉิงยิ้มเย็น “คิดว่าข้าโง่หรือ ใน
เมื่อนางไร้ปรานีก็อย่ามาโทษข้าไร้คุณธรรม…”
“ป้าสะใภ้”
เสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน
ฮูหยินรองเฉิงตกอกตกใจยกใหญ่ จึงได้เห็นท่านชายเฉิงสี่เดิน
ออกมาจากทางด้านประตูเรือน
“ชายสี่นี่เอง เจ้าจะออกไปข้างนอกรึ” นางเอ่ย
ท่านชายเฉิงสี่พยักหน้า
“จะไปเจอกับพวกเพื่อนร่วมชั้น” เขาบอก มองฮูหยินรอง
เฉิงเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดออกมา
“ควรไปพบปะสังสรรค์ ไปมีความสุขเปรมปรีเสียหน่อย” ฮูหยิน
รองเฉิงยิ้มเอ่ย “ไปเรือนนางฟ้าของบ้านเราสิ ไม่ต้องเสียเงินด้วย”
ท่านชายเฉิงสี่สีหน้ากระอักกระอ่วนครู่หนึ่ง
“ป้าสะใภ้ ความจริงน้องสาวดีมาก ขอแค่พวกท่านดีต่อนาง
นางก็จะดีต่อท่านมากๆ” เขากัดฟันเอ่ยฮูหยินรองเฉิงสีหน้าพลันไม่พอใจ
“ชายสี่ เจ้ากำลังจะบอกว่าพวกเราไม่ดีต่อนางอย่างนั้นรึ” นาง
เอ่ย “เจ้ากำลังใส่ร้ายพวกเราแล้ว!”
“เอาล่ะๆ ป้าสะใภ้พวกท่านรู้แก่ใจก็พอ” ท่านชายเฉิงสี่ทิ้งไว้
ประโยคหนึ่งก็ก้มหน้าคำนับ ไม่รอให้ฮูหยินรองเฉิงพูดอะไรอีกก็เดิน
อย่างรีบร้อนออกไป
“ไอ้เด็กอกตัญญู เป็นจิ้นซื่อแล้วก็ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
ไม่เคารพแม้กระทั่งญาติผู้ใหญ่แล้ว”
ท่านชายเฉิงสี่ได้ยินฮูหยินรองเฉิงด่าไล่หลังมา ก็ไม่สนใจเดิน
จากบ้านไปอย่างไม่สบอารมณ์ ยืนถุยน้ำลายลงบนถนน
ถูกต้อง เป็นจิ้นซื่อแล้ว เขาก็กล้าหาญขึ้นแล้ว หากพวกนาง
มาทำให้น้องสาวลำบากอีก เขาก็จะด่าให้
“ท่านชาย พี่ปั้นฉินจองห้องที่เรือนนางฟ้าให้ท่านเรียบร้อยแล้ว
ขอรับ” บ่าวรับใช้เอ่ยเสียงสั่น
ท่านชายได้เป็นจิ้นซื่อแล้ว บ่าวรับใช้อย่างเขาก็ได้คุณ
งามความดี ถูกพี่ปั้นฉินมอบเงินรางวัลให้มากมาย ยินดีจนนอนไม่หลับไปหลายวัน
ท่านชายเฉิงสี่พยักหน้าสาวเท้าจะเดินไป ทันใดนั้นมุมหนึ่งก็มี
เงาคนปรากฏขึ้น
ท่านชายเฉิงสี่กับบ่าวรับใช้ตกใจกันยกใหญ่ กำลังจะตะโกนขึ้น
คนผู้นั้นก็พลันคุกเข่าลง
“ท่านชายสี่! ขอท่านโปรดช่วยนายหญิงของข้าด้วยเถอะ”
เสียงหญิงร้องไห้เอ่ยขึ้นพลางโขกหัว
MANGA DISCUSSION